สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะลุงถนอม
สวัสดีครับ
ช่วงนี้ก็ สติไม่ค่อยเกิด ความตั้งมั่นไม่ค่อยมีค่ะ แต่ก็ฝึกซ้อมทุกวันค่ะ ใจก็พอมีความเป็นกลางกับสภาวะที่สติไม่ค่อยเกิด หลงนาน พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็พอรับได้ค่ะ ไม่ยินร้ายเท่าไร ก็เริ่มต้นดูต่อไป
อนุโมทนาครับ
ช่วงเย็นก็ไปเดินจงกรม วันพระก็ไปทำวัดเย็น สลับกันไปค่ะ สภาวธรรมยึดอะไรเอาไว้ไม่ได้สักสภาวะนะคะ แม้สติ สามธิ ก็มิเที่ยงแท้ให้ยึด
อนุโมทนาครับ
การเห็นไตรลักษณ์โดยการยังใช้การเปรียบเทียบอยู่ ก็เกื้อต่อการเจริญปัญญาได้เช่นกัน เข้าใจถูกมั้ยคะ
เข้าใจถูกนะครับ แต่ตอนนี้ขอให้เป็นการเปรียบเทียบที่จิตเขาทำเองนะครับ ไม่ต้องไปช่วยจิตเขาเปรียบเทียบนะครับ คือ หากว่าต่อจากนี้ไป จิตเขาเห็นแค่สภาวะบางอย่างมีอยู่ ก็แค่รู้ว่าอะไรบางอย่างนั้นมีอยู่ จิตเขาเห็นสภาวะบางอย่างหายไปแล้ว ก็แค่รู้ว่าอะไรบางอย่างนั้นหายไปแล้ว เท่านั้นนะครับ แต่ถ้าจิตเขาจะเปรียบเทียบ เขาจะคิด เขาจะระลึกถึงสภาวะนั้นในอดีต ก็แค่รู้ตามไปครับ ว่าจิตเขาทำของเขาเอง
ลิลลี่ไม่เห็นไตรลักษณ์แบบที่เห็นจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นดับไปแบบที่สันตติขาดที่ละขณะๆ แต่เห็น ขันธ์แต่ละขันธ์แยกกันออกเป็นส่วนๆ
แค่นี้ก็เห็นว่า "สิ่งที่เป็นตัวเรา" นั้นไม่มีอยู่จริง เห็นเป็นไตรลักษณ์แล้วล่ะครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ (แต่ต้องให้จิตเขาเห็นของเขาเองนะครับ) อนุโมทนาครับ
แล้วก็มีจิตที่ละลึกรู้ ส่วนใหญ่จะเห็นแค่สติละลึกรู้สิ่งที่ถูกรู้ดับลง แล้วก็เปลี่ยนจากขณะทีสติเกิดเป็นหลง แล้วก็รู้สึก สลับกันไปต่อเนื่อง
นี่ก็เห็นได้เยี่ยมยอดแล้วนะครับ (เห็นเยี่ยมยอด = เห็นอย่างยิ่ง = วิปัสสนา แล้วนะครับ วิปัสสนา แปลว่า เห็นอย่างยิ่ง แปลเป็นสำนวนไทย คือ เห็นอย่างเยี่ยมยอด ก็คือ เห็นตามความเป็นจริง) อนุโมทนาครับ
เก่งกว่าลุงถนอมเสียอีกแน่ะครับ
ช่วงที่ตั้งมั่น ก็เห็นชัดว่ามันเป็นคนละขณะ สิ่งที่ถูกรู้จะดับลงก่อนสติดับลงแต่มันก็ต่อเนื่องกันไวมากเหมือนเกิดพร้อมกัน
ก็ถูกนะครับ แต่ถ้าให้พูดยิ่งกว่า พูดตามตำราก็ต้องบอกว่า จิตที่ไปรู้สภาวะดับลง เกิดจิตอีกดวงหนึ่งที่รู้จิตดวงก่อนที่ไปรู้สภาวะ... กลายเป็นจิต 2 ขณะ แต่ในการภาวนาของจริง เราเห็นเหมือนเป็นขณะเดียวกัน ต่อเนื่องมา แล้วมาเห็นดับลงไป เท่านี้ก็พอแล้ว เพราะสาระสำคัญไม่ใช่ต้องเห็นการดับจริงทุกๆขณะ
แต่สาระสำคัญอยู่ตรงที่ได้เห็นตามความเป็นจริงว่า "สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดับไป" เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น (แม้แต่ความเป็นตัวเรา แม้แต่ตัวจิต) เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับลงไป เสมอๆ ครับ(เห็นแต่ดับไม่เห็นเกิด)
ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นทั้งเกิดและดับ และที่จริงแล้วส่วนใหญ่ก็จะเห็นแต่ดับ ไม่เห็นเกิด นะครับ เพราะต้องสังเกตเห็น "มี" เสียก่อน แล้วจึงสังเกตเห็นว่า "ไม่มี" ตามไป และจะบอกว่า เห็นแค่มีอยู่แล้วดับๆ แบบนี้ ก็เพียงพอที่จะเข้าอริยมรรคได้ หากมรรคองค์อื่นๆพร้อม และสติระลึกรู้งวดเข้ามาๆจนถึงตัวจิต(เข้ามาเองนะครับ ไม่มีความจงใจ) อริยมรรคก็พร้อมจะเกิดแล้วนะครับ (แต่จะเกิดจริงหรือไม่ เกินปัญญาลุงถนอมแล้วนะครับ เรื่องในวงเล็บนี้ ต้องถามท่านผู้รู้ตัวจริงครับ ลุงถนอมเป็นผู้รู้ตัวปลอม เป็นแค่ของเทียมเลียนแบบครับ)
เห็นได้แบบนี้แม้ไม่เห็นสันตตติขาด ก็เดินไปต่อได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ
ที่เห็นเนี่ย เขาเรียกว่าเห็นความสืบเนื่องมันขาดตอนลงไปแล้วนะครับ สันตติ คือ ความสืบเนื่อง เราเห็นว่าสิ่งหนึ่งมีอยู่แล้วดับไป (หรือหายไป) แล้วเดี๋ยวก็มีสิ่งๆหนึ่งปรากฎขึ้น ไม่เรียกว่า
นิยายรักขาดตอน แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะครับ
ก็ได้เห็นสันตติมันขาดลงไปแล้วนั่นล่ะครับ
ก็เดินไปต่อได้เหมือนกันใช่มั้ยคะ คือยังอาศัยการเปรียบเทียบ คือ มันยังเจือด้วยการคิดว่าเมื่อเห็นสิ่งถูกรู้ดับ( เห็นได้จริง) สติเกิดขึ้นมา ( ไม่เห็นจริงๆเปรียบเทียบเอาว่าสิ่งถูกรู้ดับ สติเกิด ) จะเห็นอีกทีก็ตอน สติดับลง แล้วก็เป็นหลงไป
เดินต่อไปได้แล้วนะครับ เพียงแต่ไม่ต้องช่วยจิตคิดอีกต่อไปแล้วนะครับ และหากผมเข้าใจไม่ผิดนะครับ ประเด็นนี้น่าจะเป็นว่าคุณ Lily ได้ย้อนกลับไประลึกถึงสภาวะที่เพิ่งเห็นสดๆร้อนๆมากกว่านะครับ แบบว่า พอเห็นแล้วก็ย้อนกลับไประลึกถึงสิ่งที่เห็น (แล้วบางทีก็เติมความเห็นลงไปกับปรากฏการณ์ที่เพิ่งเห็นมาสดๆร้อนตรงนั้น) ตรงนี้แก้ไม่ได้นะครับ จิตเขาทำไปเองตามวาสนา (บุคลิกนิสัยที่ทำมาจนเป็นประจำ) มันเลิกไม่ได้ครับ ก็แค่รู้ไป ว่าจิตเขาทำของเขาเอง
เมื่อเห็นสิ่งถูกรู้ดับ( เห็นได้จริง) จะเห็นอีกทีก็ตอน สติดับลง แล้วก็เป็นหลงไป
ความจริงแล้ว เห็นเท่านี้ก็พอนะครับ เพียงพอแล้วจริงๆ ที่เหลือก็คือ เพียรให้สม่ำเสมอ ไม่ทิ้ง เท่านั้นเองครับ แล้วทำไปให้เหตุนั้นพอสมพอควรกับผล จิตก็จะเข้าอริยมรรคได้เอง (คือเข้าโดยปราศจากความจงใจ)เลยนะครับ
คือ ไม่ได้กังวลอะไรหรอกค่ะ ก็เห็นเท่าที่เห็นได้ แต่อยากได้ความรู้ว่า เห็นแบบ แยกออกเป็นส่วนๆ ว่ามันก็เดินอยู่ในทางไปต่อได้เช่นกันนะคะ
นี่เป็นวิธีการเจริญสติปัฏฐาน เจริญปัญญา อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ ที่เรียกว่า
วิพัชวิธี ใครจะกล้ามาบอกว่าไม่พอ เจริญวิปัสสนาม่ได้ ก็บอกมาครับ ไม่มีใครกล้าว่าหรอกครับว่า ทำตรงนี้ไม่อยู่ในทาง ต้องทำอย่างอื่น ก็บอกมาครับ
เพราะมีกัลยาณมิตรบางท่านสอนว่า เห็นแบบนี้ก็ไปได้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเห็น สันตติขาด บางคนเห็นสันตติขาดตอนเกิดอริยะมรรคเลยก้มีแล้วแต่คน
ใช่ครับ แล้วสันตติขาดตอนก่อนเกิดอริยมรรค ก็คือ เห็นจิต(แท้ๆ)เกิดดับ เห็นเองนะครับ สติไปจดจ่อกับจิตผู้รู้ แล้วเห็นจิตผู้รู้เกิดแล้วก็ดับ ขาดไป(สันตติขาด) ความรู้สึกว่าจิตผู้รู้เป็นตัวเราถูกตัดทำลายตรงนั้นเลย จิตก็จะเดินอริยมรรคเอง
แต่มีบางท่านกล่าวว่าจะขึ้นวิปัสสนาแท้ๆได้ หรือ เกิดอริยะมรรคได้ต้องเห็นเกิดดับแบบสันนติขาดเท่านั้น
เขาก็พูดถูกนะครับ แต่เป็นไปตามที่อธิบายข้างบนนะครับ บางท่านแค่เห็นว่า "เราเป็นสิ่งที่ถูกรู้" พอเห็นจนพอ จิตเองเลิกสนใจ "เรา" ไปสนใจในสิ่งที่ยึดถือเป็นเรา ไปเห็นสิ่งที่ยึดถือเป็นตัวเราแน่นหนามัน "เกิดแล้วก็ดับ" จิตก็เดินอริยมรรคทันทีเลยครับ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะสะสม ศีล สมาธิ และปัญญา มาแก่กล้าพอแล้ว พอเห็นความจริงเพิ่มเติมอีกนิดเดียว สังโยชน์ก็ขาดด้วยปัญญา ด้วยอริยมรรค เกิดอริยผล เลยครับ
ลิลลี่สับสนค่ะด้วยปัญญาน้อยนิดที่ไม่เคยเรียนปริยัติเลย เลยมาขอความกรุณาไว้เป็นความรู้ค่ะ
รู้แล้ว ก็วางทิ้งไปเลยนะครับ ไม่สำคัญ (สำคัญแค่พอให้หายรำคาญใจเท่านั้นครับ) เดินหน้าภาวนาตามทางของตน (ที่อยู่ในทางที่พระพุทธเจ้าท่านชี้ไว้ให้) ต่อไปครับ
เท่าที่เห็นทุกข์มา ภวนามาเรื่อยๆ เจริญแล้วเสื่อมๆ ใจก็ค่อยๆวางได้นิดหน่อยค่ะ ว่าไม่คอยจะดิ้นรนหนีทุกข์เอาสุข เพราะรู้ก็สุขก็ยึดไม่ได้เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นทุกข์ได้อีก ( วางได้นิดหน่อยค่ะ อิอิ เป็นบางขณะ )
เก่งกว่าลุงถนอมตั้งเยอะแน่ะ
ขอให้เพียรเข้านะครับ อย่าตึงอย่าหย่อน จนเกินไป
ขอให้เจริญในธรรมครับ