Author Topic: สภาวะที่เกิดในขณะที่ไม่ได้อยู่ในสมาธิ  (Read 8817 times)

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีค่ะ คุณลุง

หนูได้ไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ กับหลวงพ่อมา จากนั้นก็นำมาปฏิบัติเองที่บ้าน มีความคืบหน้าตามลำดับขั้น เห็นสภาวะต่างๆ ในสมาธิเป็นลำดับขั้นเช่นกัน สิ่งที่รู้สึกได้ เหมือนมีช่องว่างกั้นระหว่างหนูกับโลกค่ะ มันห่างๆ กัน อะไรๆ เข้ามาแล้วก็ดับไปซะงั้น คราวนี้หนูเกิดมี 2 สภาวะค่ะ
1. สภาวะที่เมื่อหลับไปแล้ว เกิดเห็นร่างกายตัวเองนอนหลับ เห็นว่าพลิกไปมา หลายรอบ เห็นท่านอน และเห็นว่าสิ่งที่มาประกอบเป็นรูปร่างนั้น มันออกจะเป็นท่อนๆ ไม่ได้เห็นเป็นกระดูกนะคะ แต่เห็นเป็นท่อนๆ เนื้อบ้าง ท่อนบ้าง ยาวๆ กลมๆ แท่งก็มี มารวมๆกัน หนูเห็นอย่างนี้เกือบทั้งเดือนเลยค่ะ คือหนูรู้สึกว่าไม่ได้นอนทั้งคืน คิดว่าจะต้องเหนื่อยแน่ๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ตื่นเช้ามาไม่เป็นอะไรเลย สบายดี สภาวะนี้กำลังจะบอกอะไรกับหนูหรือไม่คะ
2. สภาวะนี้เกิดในขณะที่ขับรถไปทำงาน, นั่งทำงานเงียบๆ, เดินไปทานข้าว คือเหมือนจิตกับกายเค้าไม่เสมอรวมกัน จิตเค้าคอยจะแยกออกมา พอเค้าแยก หนูเห็นกายทำงานแบบทื่อๆ เลยค่ะ แต่พอเกิดผัสสะ (คนเข้ามารบกวนในห้องทำงาน) จิตกับกายจะรวมกันทันที จากนั้นพอเงียบอีก เอาอีกแล้วค่ะแยกออกไปอีกแล้ว เค้ารวมๆ แยกๆ อย่างนี้ทั้งวันเลยค่ะ หนูไม่แน่ใจว่าสภาวะจิตนี้เกินจริงไปหรือไม่ หนูมองดูเฉยๆ ค่ะ ดูเค้ารวมๆ แยกๆ บางทีก็อยากจะหัวเราะกับตัวเองมาก ไม่รู้สภาวะเป็นอะไรไปคะ
ขอบพระคุณคุณลุงค่ะ

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
หนูได้ไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ กับหลวงพ่อมา จากนั้นก็นำมาปฏิบัติเองที่บ้าน มีความคืบหน้าตามลำดับขั้น เห็นสภาวะต่างๆ ในสมาธิเป็นลำดับขั้นเช่นกัน สิ่งที่รู้สึกได้ เหมือนมีช่องว่างกั้นระหว่างหนูกับโลกค่ะ มันห่างๆ กัน อะไรๆ เข้ามาแล้วก็ดับไปซะงั้น

อนุโมทนา สาธุครับ  _/|\_

1. สภาวะที่เมื่อหลับไปแล้ว เกิดเห็นร่างกายตัวเองนอนหลับ เห็นว่าพลิกไปมา หลายรอบ เห็นท่านอน และเห็นว่าสิ่งที่มาประกอบเป็นรูปร่างนั้น มันออกจะเป็นท่อนๆ ไม่ได้เห็นเป็นกระดูกนะคะ แต่เห็นเป็นท่อนๆ เนื้อบ้าง ท่อนบ้าง ยาวๆ กลมๆ แท่งก็มี มารวมๆกัน หนูเห็นอย่างนี้เกือบทั้งเดือนเลยค่ะ คือหนูรู้สึกว่าไม่ได้นอนทั้งคืน คิดว่าจะต้องเหนื่อยแน่ๆ แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ตื่นเช้ามาไม่เป็นอะไรเลย สบายดี สภาวะนี้กำลังจะบอกอะไรกับหนูหรือไม่คะ

อย่าไปพยายามตีความอะไรมากกว่าที่เห็นเลยครับ เดี๋ยวจะพลาดให้กับการหลงคิดไปเสียเปล่าๆครับ จิตเขาทำอะไร เราก็รู้ตามไป มีปรากฎการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็รู้ตามไป สิ่งสำคัญที่เราต้องฝึกฝนในยามนี้ก็คือ รู้ตามความเป็นจริง เพื่อให้จิตฉลาดขึ้น มองเห็นความเป็นจริงคือเห็นสามัญลักษณะของสรรพสิ่งที่มีความเกิด ว่าล้วนแต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ตัวเราไม่มี

2. สภาวะนี้เกิดในขณะที่ขับรถไปทำงาน, นั่งทำงานเงียบๆ, เดินไปทานข้าว คือเหมือนจิตกับกายเค้าไม่เสมอรวมกัน จิตเค้าคอยจะแยกออกมา พอเค้าแยก หนูเห็นกายทำงานแบบทื่อๆ เลยค่ะ แต่พอเกิดผัสสะ (คนเข้ามารบกวนในห้องทำงาน) จิตกับกายจะรวมกันทันที จากนั้นพอเงียบอีก เอาอีกแล้วค่ะแยกออกไปอีกแล้ว เค้ารวมๆ แยกๆ อย่างนี้ทั้งวันเลยค่ะ

อนุโมทนาสาธุครับ  _/|\_

นูไม่แน่ใจว่าสภาวะจิตนี้เกินจริงไปหรือไม่

ก็ถ้าหากไม่มีความจงใจให้แยก ไม่จงใจให้รวม แค่ตามสังเกตไป ก็ไม่มีอะไรผิดนะครับ ทำต่อไปครับ

หนูมองดูเฉยๆ ค่ะ ดูเค้ารวมๆ แยกๆ บางทีก็อยากจะหัวเราะกับตัวเองมาก ไม่รู้สภาวะเป็นอะไรไปคะ

ครับ ตามดูไปโดยไม่ไปยุ่งกับเขานั้นถูกแล้วนะครับ เห็นเขาทำงาน เห็นเขาเป็นไป โดยที่เราไม่ได้สั่ง ไม่ได้บังคับ ไม่ได้อะไร อย่างนี้ถูกแล้วครับ เขาไม่ใช่เรา จิตไม่ใช่เรา ครับ

ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ หนูจะพยายามต่อไป

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
คุณลุงคะ หนูมีอีก 1 สภาวะ หลังจากเพียรพยายามอย่างมาก คือหนูเริ่มเห็นสภาวะเกิด-ดับ ในสมาธิแล้ว สภาวะนี้เห็นยากมากเพราะเค้าเกิด-ดับเร็ว ก่อนหน้านี้ดูไม่ทัน ก็คิดว่าติดนิ่ง ก็ไม่ละความเพียรค่ะ จนได้เห็น คราวนี้เกิดมีสภาวะข้างเคียงคือ จิตนิ่ง สงบ ปราศจากความปรุงใดๆ พอถึงตรงนี้จะรู้สึกเป็นสุข สงบมากจนไม่อยากกลับออกมา หนูกำลังเข้าไปติดความเพลินอยู่ใช่มั้ยคะ ถ้าตายตอนนี้ไปติดเป็นพรหมใช่มั้ยคะ ต้องแก้อย่างไรดี

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
คราวนี้เกิดมีสภาวะข้างเคียงคือ จิตนิ่ง สงบ ปราศจากความปรุงใดๆ พอถึงตรงนี้จะรู้สึกเป็นสุข สงบมากจนไม่อยากกลับออกมา หนูกำลังเข้าไปติดความเพลินอยู่ใช่มั้ยคะ ถ้าตายตอนนี้ไปติดเป็นพรหมใช่มั้ยคะ ต้องแก้อย่างไรดี

ไม่ต้องแก้อะไรเลยครับ แค่คอยรู้สึกตัว อย่าให้ลืมเนื้อลืมตัว ก็พอแล้วครับ

จากนั้น ในชีวิตประจำวัน คอยรู้สึกถึงกายที่เคลื่อนไหวเอาไว้ คอยรู้สึกถึงกายบ่อยๆ ต่อๆไปก็จะเห็นว่า กายนั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่เรา นะครับ จากนั้นคอยสังเกตเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่า กายที่ถูกรู้ มีจิตเป็นผู้รู้ เห็นจิตผู้รู้บ่อยเข้าๆ ก็จะเห็นว่า จิตผู้รู้ ก็ไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่ถูกรู้ (แต่อย่าไล่จ้องจิตที่กำลังทำหน้าที่รู้นะครับ ไม่งั้้นจะพลาดให้กับวิญญาณัญจายตนะ เป็นการเข้าอรูปฌานอีกอย่างหนึ่งครับ)

อนุโมทนาครับ _/|\_
ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
แต่อย่าไล่จ้องจิตที่กำลังทำหน้าที่รู้นะครับ ไม่งั้้นจะพลาดให้กับวิญญาณัญจายตนะ ...... เอ่อ  ::)งงทันทีเลยค่ะคุณลุง

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
คือ เวลาที่เราเห็นอารมณ์ที่ถูกรู้ บางครั้งก็จะเห็นจิตผู้รู้ หรือรู้สึกว่า กำลังมีอะไรบางอย่างดูอยู่ หากแค่นี้ ไม่เป็นไร แต่บางคนมีสติกล้าแข็งมาก และมีความโลภเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว พอไปรู้จิตผู้รู้แล้ว สังเกตเห็นว่า ยังมีผู้ที่ไปรู้จิตผู้รู้อีก ก็วกกลับมารู้ที่จิตผู้รู้ดวงใหม่ที่เฉลียวใจเห็น พอไปรู้จิตผู้รู้ด้วยใหม่ที่เกิดขึ้นอีก ก็สังเกตเห็นอีกว่า จิตผู้รู้ดวงใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น กลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ มีจิตผู้รู้อีกดวง เป็นผู้รู้จิตดวงที่กำลังถูกรู้นั้นอีก ก็วกจิตกลับมารู้จิตผู้ดวงใหม่นี้อีก

กระบวนที่เป็นอย่างนี้ จะเห็นว่ามีจิตผู้รู้ ซ้อนจิตผู้รู้ หรือเกิดจิตผู้รู้ขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ที่เรียกว่า วิญญาณเป็นอนันต์ คือนับไม่ถ้วน เกิดขึ้นใหม่มากมาย หรือที่บอกว่า วิญญาณไม่สิ้นสุด เป็นวิธีการเข้าวิญญาณัญจายตนะ หรืออรูปฌานที่ ๖ น่ะครับ

แต่้ถ้้าแค่รู้ ว่ามีผู้รู้ ผู้ดู แล้วไม่ได้สนใจที่จะดู หรือที่จะรู้ ก็ถูกต้องแล้วนะครับ กรณีนี้พูดดักเอาไว้ก่อนเท่านั้นเองครับ
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
โห กระจ่างมากเลยค่ะคุณลุง อธิบายได้ชัดเจน หนูเป็นอย่างแรกที่คุณลุงพูดค่ะ "คือเวลาที่เราเห็นอารมณ์ที่ถูกรู้ บางครั้งก็จะเห็นจิตผู้รู้ หรือรู้สึกว่า กำลังมีอะไรบางอย่างดูอยู่ " หนูเคยตกอยู่ในสภาวะสงสัยเหมือนกันค่ะ ว่าใครกำลังดูจิตผู้รู้อยู่ แล้วหนูก็สรุปเองว่า จิตที่กำลังดูจิตผู้รู้น่าจะเป็น "เรา" และหนูก็คิดเองเออเองอีกว่า แสดงว่ายังมี "เรา" อยู่ ถ้างั้นก็ยังละสักกายทิฐิไม่ได้ เพราะยังเห็นว่ามี เรา อยู่ ตั้งแต่นั้นหนูก็เลยเพียรใหม่ ไม่สนใจว่าใครจะดูผู้รู้ ปล่อยไปเลยค่ะ

หนูยังไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเข้าไปซับซ้อน ในการเข้าวิญญาณัญจายตนะด้วย ตอนนี้หนูยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปเพื่ออะไร แต่หนูจะไม่ละความเพียรค่ะ หนูว่าซักวันหนูคงจะรู้ได้

ขอบคุณ คุณลุงนะคะ คุยกับคุณลุงแล้วกระจ่างมากสามารถต่อยอดได้ทันที...

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
โห กระจ่างมากเลยค่ะคุณลุง อธิบายได้ชัดเจน หนูเป็นอย่างแรกที่คุณลุงพูดค่ะ "คือเวลาที่เราเห็นอารมณ์ที่ถูกรู้ บางครั้งก็จะเห็นจิตผู้รู้ หรือรู้สึกว่า กำลังมีอะไรบางอย่างดูอยู่ " หนูเคยตกอยู่ในสภาวะสงสัยเหมือนกันค่ะ ว่าใครกำลังดูจิตผู้รู้อยู่

ภาวนามาถึงจุดหนึ่ง ก็จะสังเกตเห็นกันทุำกคนแหละครับ และหากว่าไปสนใจ ไปวิเคราะห์ หรือไม่ก็ไปสืบค้นหา ก็จะพลาด หลุดออกจากวิปัสสนาไปไกลเลยครับ ความจริงแล้ว หลักการสำคัญที่เราต้องศึกษาให้เข้าใจก็คือ ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจ ที่เรายึดถือว่าเป็นตัวเราน่ะครับ เพราะหากเราไม่ยึดถือกาย ไม่ยึดถือใจ ว่าเป็นตัวเรา ว่าเป็นของเรา ว่าเป็นอัตตา เราก็ไม่ต้องภาวนาแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว จริงมั้ยครับ

แล้วหนูก็สรุปเองว่า จิตที่กำลังดูจิตผู้รู้น่าจะเป็น "เรา"

ก็สรุปได้ถูกต้อง และเกือบถูกน่ะครับ ว่าสรุปถูกก็คือ จิตที่กำลังดู (คือจิตผู้รู้ในปัจจุบัน) ไประลึกถึงจิตผู้รู้ดวงก่อนที่เพิ่งดับไป (ที่เรียกว่ากันว่า "ปัจจุบันสันตติ" คือ ปัจจุบันที่สืบเนื่องมา แม้จะไม่ใช่ปัจจุบันแท้ๆเหมือนดูกาย แต่จะทำให้จิตได้เรียนรู้ความเป็นไตรลัษณ์ของจิตได้ครับ) แต่ที่บอกว่า "น่าจะเป็นเรา" อันนี้ไม่ได้ตรงนัก เพราะที่ชัดเจนมากกว่าก็คือ จิตที่กำลังรู้ หรือที่เป็นผู้รู้ มีความรู้สึกว่า "เป็นเรา" เกิดขึ้นร่วมด้วย อย่างเหนียวแ่น่น หรือเป็นเนื้อเดียวกันครับ

ถ้างั้นก็ยังละสักกายทิฐิไม่ได้ เพราะยังเห็นว่ามี เรา อยู่ ตั้งแต่นั้นหนูก็เลยเพียรใหม่ ไม่สนใจว่าใครจะดูผู้รู้ ปล่อยไปเลยค่ะ

ตรงนี้เป็นท่าทีที่ไม่ถูกต้องนักนะครับ จะบอกว่าไม่ถูกเลยก็ใช่ที่ แต่จะบอกว่าถูกต้องก็ไม่ใช่อีก ความจริงก็คือ จะรู้ ก็รู้ ไม่รู้ ก็ไม่รู้ ไม่แสวงหา แต่ไม่ปฏิเสธ อย่าลืมหลัก "ก่อนรู้ไม่ดักรอดู" และ "หลังรู้ไม่แทรกแซง" นะครับ

ความจริง ถ้าไม่ปฏิเสธที่จะดู "เรากำลังรู้สิ่งอื่น" อยู่ ต่อๆไปก็จะเห็นได้เอง ว่า "เราเป็นสิ่งที่ถูกรู้" เหมือนๆกับสภาวะอื่นๆครับ แต่บอกอย่างนี้แล้วอย่าไปตั้งใจเอานะครับว่า ต่อไปจะคอยดูแต่ "เรา" ที่จิตผู้รู้ เพื่อให้ "เรา" เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เพราะนี่คือความจงใจ เกิดจากโลภะเจตนา ทำวิปัสสนาไม่ได้ครับ ตัณหาบางอย่างก็จะงอกงามดีด้วย (บอกอย่างไม่อายเลยครับว่า ลุงถนอมก็เคยพลาดท่าให้กับตรงนี้มาแล้ว แม้ว่าในระดับของความคิดจะรู้ว่าไม่ควรทำ แต่จิตก็แอบไปทำ จนเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่างของจิต แต่ตอนแรกก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ติดอยู่เป็นเดือน เลยได้รู้ว่าพลาดท่าให้กับกิเลสไปอีกแล้ว)


หนูยังไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเข้าไปซับซ้อน ในการเข้าวิญญาณัญจายตนะด้วย

เขาไม่ได้ตั้งใจไปทำอะไรซับซ้อนหรอกนะครับ แต่เป็นการเพ่งจิตผู้รู้เพื่อให้นิ่ง แต่จิตมีธรรมชาติเกิดดับ ดังนั้นเมื่อเพ่งจิต แล้วจิตดับไป หากเพ่งต่อไปตรงจุดที่จิตดับไป ก็จะเข้าอากาสานัญจายตนะ แต่ถ้าตั้งใจจะเพ่งที่จิตผู้รู้อย่างต่อเนื่อง ก็ต้องวกกลับมาหาจิตผู้รู้ดวงใหม่ที่เกิดขึ้น ก็จะเหมือนว่าไล่ตามจิตผู้รู้อยู่เรื่อยๆ วกกลับมาเรื่อยๆ  ดังนั้น ผู้ที่เดินมาถึงตรงนี้แล้ว บางท่านก็จะเห็นว่า วิญญาณไม่สิ้นสุด ก็ไม่ใช่การสิ้นสุดของทุกข์ (เพราะรู้สึกว่าจิตยังต้องทำงานอยู่) ก็จะเพิกเฉยต่อทั้งอารมณ์ที่ถูกรู้ และจิตผู้รู้ จิตก็จะเข้าสู่ความไม่มีอะไร อันเป็นอรูปฌานที่ละเอียดปราณีตขึ้นไปอีก เป็นฌานที่ ๗ หรืออรูปฌานที่ ๓ ที่ชื่อ อากิญจัญญายตนะครับ อันนี้ไม่ได้เพ่งที่ความว่าง หรืออากาสานัญจายตนะ (ซึ่งเพ่งไปตรงที่จุดที่จิตดับไป) ในฌานที่ ๕ หรืออรูปฌานที่ ๑ ครับ ตรงนี้ต่างกันครับ

ก็ปล่อยๆเขาไปเถอะครับ (แต่จิตระดับนี้นะครับ กำลังมหาศาลมากนะครับ) แต่พระพุทธเจ้าของเราท่านก็ทิ้งมาแล้วครับ เพราะมันไม่พ้นทุกข์ครับ
« Last Edit: Fri 4 Mar 11, 18:30:22 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะคุณลงุ เพิ่งเข้าใจคำว่า วิญญาณไม่สิ้นสุด  คุณลุงคะ หนูขอสารภาพ ว่าถึงตอนนี้หนูก็ยังไม่รู้ว่าหนูอยู่ตรงส่วนไหนของการปฏิบัติ ไม่รู้จะเรียกชื่อว่าอะไร เราต้องรู้ชื่อสภาวะในแต่ละขั้นด้วยมั้ยคะ เช่นว่า มาถึงตรงนี้เรียก ปฐมฌาน มาอีกที่หนึ่งเรียกทุติยฌาน แล้วคนธรรมดาๆ นี่เข้าฌานได้ด้วยใช่มั้ยคะ คือหนูไม่รู้จริงๆ หนูรู้แต่ว่า ไม่ว่าจะได้สภาวะใดๆ มา จิตใจหนูมันผ่องใส โปร่งเบา เป็นสุข ละวางได้ และไกลจากกิเลสมากทีเดียว คืออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน แต่หนูมีจุดหมายที่ไกลกว่านั้น หนูก็เลยต้องการไปให้ถึงสภาวะที่พ้นทุกข์ พ้นอาสวะ และไม่ต้องกลับมาอีก....เอ่อ จุดหมายของหนูไกลไปมั้ยคะเนี่ย :-[

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
คุณลุงคะ หนูขอสารภาพ ว่าถึงตอนนี้หนูก็ยังไม่รู้ว่าหนูอยู่ตรงส่วนไหนของการปฏิบัติ ไม่รู้จะเรียกชื่อว่าอะไร เราต้องรู้ชื่อสภาวะในแต่ละขั้นด้วยมั้ยคะ เช่นว่า มาถึงตรงนี้เรียก ปฐมฌาน มาอีกที่หนึ่งเรียกทุติยฌาน

ในภาคการปฏิบัติ ไม่จำเป็นต้องรู้ชื่ออะไรสักอย่าง แค่เห็น something เกิดขึ้น something ก็ดับไป ก็พอแล้ว เพราะในยามที่พระโสดาบันอุทาน เมื่อได้บรรลุโสดาปัตติผลใหม่ๆ จะอุทานว่า "สิ่งใดเกิด สิ่งนั้นดับ" แ่ค่สั้นๆ หรือหากเขียนเป็นภาษาที่สละสลวยหน่อย ก็เขียนว่า "สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา" นะครับ

แต่เมื่อใด เราต้องสื่อสารกับคนอื่นๆ โดยทั่วไป ตรงนั้นต่างหากที่จะต้องรู้บัญญัติของมันครับ ซึ่งยังไม่ใช่ประเด็น หรือยังไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นห่วงในตอนนี้ครับ

แล้วคนธรรมดาๆ นี่เข้าฌานได้ด้วยใช่มั้ย

ที่เคยรับทราบมา ก็เห็นมีแต่คนธรรมดาๆนี่ล่ะครับ ที่เข้าฌานได้ ส่วนคนประหลาดๆ เห็นมีแต่ฟุ้งซ่านจนไม่รู้จักความรู้สึกตัว ทั้งนั้นแหละครับ  ;D

หนูรู้แต่ว่า ไม่ว่าจะได้สภาวะใดๆ มา จิตใจหนูมันผ่องใส โปร่งเบา เป็นสุข ละวางได้ และไกลจากกิเลสมากทีเดียว คืออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน

ต้องไม่ห่างไกลจากครูบาอาจารย์มากนักนะครับ เพราะเมื่อไหร่ที่จิตไม่ถึงฐาน หรือไปเพลินอยู่กับอารมณ์ที่ละเอียดปราณีต จิตจะไม่เดินปัญญา ก็ต้องให้ครูบาอาจารย์ผู้มีความสามารถช่วยชี้แนะ หรือเคาะให้กลับมาเข้าที่ เป็นพักๆนะครับ

หนูก็เลยต้องการไปให้ถึงสภาวะที่พ้นทุกข์ พ้นอาสวะ และไม่ต้องกลับมาอีก....เอ่อ จุดหมายของหนูไกลไปมั้ยคะเนี่ย

อนุโมทนาครับ  _/|\_ เป็นจุดหมายสูงสุดของพวกเราอยู่แล้วครับ และไม่ไกลเกินเอื้อมด้วยครับ
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
จิตไม่ถึงฐาน?? หนูเคยได้ยินหลวงพ่อพูดทักผู้คนไม่น้อยเกี่ยวกับจิตไม่ถึงฐาน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตเราไม่ถึงฐานคะ เรารู้เองดูเองได้หรือไม่คะ หรือต้องให้หลวงพ่อตรวจดูให้ แต่ถ้าให้หลวงพ่อดูให้ หนูจะไปบอกหลวงพ่ออย่างไรดีคะ คือหนูต้องเล่าอะไรให้ท่านฟังหรือคะ หนูไม่รู้จะบอกกับใคร อย่างไรดี.... :-[

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
คุณลุงช่วยอธิบาย "กายะคตาสติ" เราต้องปฏิบัติอย่างไรคะ _/|\_ ใช่การดูความเคลื่อนไหวของกายหรือไม่คะ

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
จิตไม่ถึงฐาน?? หนูเคยได้ยินหลวงพ่อพูดทักผู้คนไม่น้อยเกี่ยวกับจิตไม่ถึงฐาน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตเราไม่ถึงฐานคะ

เท่าที่ฟังๆมา แ้ล้วก็จับใจความมาได้นะครับ (ลุงถนอมเองไม่เคยโดนท่านทักเรื่องนี้ แต่เคยเห็นคนที่ท่านทักหลายคนอยู่) จิตไม่ถึงฐานหมายถึงจิตออกไปรู้นอกกายนอกใจ เป็นจิตชนิดที่มีความรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว มีความสว่าง (เพราะจิตมีโมหะน้อย หรือไม่มี เพราะสัมปชัญญะหรือความรู้สึกตัว เป็นศัตรูโดยตรงกับโมหะ) จิตจะจ้าออกไปภายนอก แล้วไปอยู่กับความสบายๆ ความโล่งๆ ว่างๆ เคยได้ยินท่านพูดว่า จิตมันจ้าออกไปอยู่ข้างหน้า (จิตมันจ้าออกไป นั่นคือ จิตสว่าง) เพราะดูแต่สภาวะ พอสภาวะดับไป ก็ไปอยู่กับความว่าง ความโล่ง ที่อยู่ข้างหน้าครับ ท่านบอกว่า จิตไม่ย้อนกลับเข้ามารู้กายรู้ใจ

แต่วิธีการภาวนา ก็มิใช่ต้องดึงจิตกลับมารู้กายรู้ใจนะครับ เพียงแต่แค่สังเกตเห็นว่าจิตไม่ถึงฐาน ก็ใช้ได้แล้ว เพราะนั่นกลับมารู้ที่จิตแล้ว เพียงแต่วิธีการที่ท่านให้สังเกต เบื้องต้นท่านให้สังเกตว่า จิตไม่ยอมย้อนกลับมาดูกายดูใจ ลองตั้งใจดู ก็จะเห็นว่าจิตไม่เ้ข้ามา แต่วิธีการนี้ เป็นเพียงแค่การแนะนำเพื่อให้เจ้าตัวรู้ว่าจิตไม่ถึงฐานจริงๆในขณะนั้นเท่านั้น ท่านไม่ได้แนะนำให้ใช้วิธีนี้เพื่อแก้อาการจิตไม่ถึงฐานแต่อย่างใด ในแง่ของการภาวนาแล้ว แค่รู้ทัน (คือจิตจำลักษณะของจิตไม่ถึงฐานได้แล้ว และจิตสังเกตเห็น) จิตก็จะถึงฐานแล้ว โดยไม่ต้องไปดึงจิตกลับมาให้รู้ในร่างกาย หรือในใจ

เรารู้เองดูเองได้หรือไม่คะ หรือต้องให้หลวงพ่อตรวจดูให้

เราดูเองก็ได้ครับ วิธีการสังเกต ก็อาศัยวิธีการตามที่บอกไว้ข้างบนนั่น นอกจากนั้นยังมีอีก ก็คือ สังเกตเห็นว่าตัวเองมีความสุข เคลิ้มๆ ทั้งวัน ดูเหมือนความสุขเที่ยง ไม่แปรปรวน เปลี่ยนแปลง ก็ให้รู้เลยครับว่า จิตไม่ถึงฐานเหมือนกัน (แต่ว่าจะเป็นความสุขที่ไหน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ บางคนก็สุขลอยอยู่ข้างหน้า บางคนก็สุขลึกอยู่ข้างใน ก็มี) หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า หากมีความสุขตลอดเวลา สุขไม่แปรปรวน แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติแล้ว เพราะในภูมิของเรา ไม่มีสุขที่ถาวรหรอก (มีแต่พระอรหันต์ ที่ท่านถึงพระนิพพานแล้วจริงๆเท่านั้น)

หนูจะไปบอกหลวงพ่ออย่างไรดีคะ คือหนูต้องเล่าอะไรให้ท่านฟังหรือคะ หนูไม่รู้จะบอกกับใคร อย่างไรดี

ส่งการบ้านไปตามปกติครับ แล้วท่านจะบอกเอง หากจิตไม่ถึงฐาน

คนที่จิตไม่ถึงฐาน จะมีอาการบางอย่างที่สังเกตเห็นได้นะครับ ถ้ามีประสบการณ์ในการสอนคนบ่อยๆ จะมองออกไม่ยากเลยครับ ไม่ต้องไปคิดว่าท่านจะใช้วิธีอุตริมนุสธรรมหรือเปล่า? เพราะความจริงแล้ว สภาพจิตใจนั้นย่อมสะท้อนออกมาทางสีหน้า แววตา และอากัปกริยาการเคลื่อนไหวทางกายอยู่แล้วครับ

คุณลุงช่วยอธิบาย "กายะคตาสติ" เราต้องปฏิบัติอย่างไรคะ

ต้องอ่าน กายคตาสติสูตรแล้วล่ะมั้งครับ แบบนี้

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=14&A=4182&Z=4496
เวลาอ่าน อ่านหมดรวดเดียวได้ แต่เวลาภาวนา เลือกเอาที่ภาวนาแล้วจิตสงบ ไม่กระสับกระส่าย (อ่านแล้วก็จะเห็นว่า ในกายคตาสติสูตร พระพุทธเจ้าก็สอนอานาปานสติด้วย เหมือนที่ปรากฎในมหาสติปัฏฐานสูตร และยังมีส่วนอื่นๆที่เป็น กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเหมือนกัน เช่น การรู้ร่างกายที่คู้ที่เหยียด เป็นสัมปชัญญบรรพ ในมหาสติปัฏฐานสูตร นะครับ)

ใช่การดูความเคลื่อนไหวของกายหรือไม่คะ

ก็เป็นส่วนหนึ่งของกายคตาสติสูตรนะครับ (ในมหาสติปัฏฐานสูตร กายานุปัสสนา สัมปชัญญะบรรพ ท่านก็สอนอย่างนี้เหมือนกันครับ)

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline Aporn

  • Newbie
  • *
  • Posts: 24
  • คะแนนความนิยม: +1/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบคุณค่า ... กลับไปฝึกต่อค่ะ แล้วถ้ามีติดขัดอีก ต้องรบกวนคุณลุงอีกค่า _/|\_

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
อนุโมทนาครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา