ความจริิงแล้ว การย้อนกลับมาดูจิต มิใช่การหันเหจากสิ่งที่รู้ หรือ ย้ายจุดโฟกัส นะครับ หากแต่เมื่อจิตเกิดความอึดอัด กระวนกระวาย เรามักจะรู้ตรงนี้อยู่แล้ว แต่เราปฎิเสธที่จะรับรู้ ด้วยการไปพยายามทำอย่างอื่น พยายามที่จะทำให้จิตนิ่ง พยายามที่จะทำให้จิตสงบ พยายามที่จะทำให้จิตไม่ทุกข์ หรือหากเป็นนักดูจิต ก็พยายามจะหันมาดูจิต ความจริง หากเฉลียวใจว่าในขณะนั้น ก็ได้รู้ตามความเป็นจริงแล้ว ว่าจิตกำลังกระวนกระวาย ไม่ต้องหันไปดูจิตที่ไหนเลย
จิต ไม่ได้อยู่กลางอกเสมอไป เวลาที่จิตรู้อะไรอยู่ที่ตรงไหน จิต ก็อยู่ที่ตรงนั้นด้วย
จิต และเจตสิก เกิดควบคู่กันเสมอ หมายความว่า เมื่อใดที่เกิดจิตขึ้นมา เจตสิกก็เกิดขึ้น ที่ใดที่เกิดเจตสิกขึ้นมา ที่นั้นก็มีจิตเกิดขึ้นมาด้วย ดังนั้น นักดูจิต เมื่อเริ่มต้นหัดรู้หัดดูจริงๆ ก็อาศัยการรู้การเกิดหรือมีอยู่ของเจตสิก ต่อๆไปก็จะสามารถรู้การเกิดการดับของจิตได้
และความจริงแล้ว เมื่อเรารู้การเกิดการดับของจิต ไม่กี่ขณะ ก็มักจะถึงอริยผลนะครับ การรู้ทันการเกิดการดับแท้จริงของจิต (มิใช่เจตสิก) จิตจะเดินอริยมรรคอย่างเต็มภาคภูมิอยู่ เดินแค่ไม่กี่ขณะจิต ก็ตัดเข้าอริยผลเลย เว้นแต่ผู้นั้นปราถนาเดินเส้นทางโพธิสัตว์ จิตจะเดินในอริยมรรคโดยไม่เกิดอริยผลแต่อย่างใด แต่จิตจะไปถึงสังขารุเปกขาญาณแล้วถอยออกมา
ส่วนผู้ที่ทำอนันตริยกรรมทั้งหลาย รวมทั้งผู้ที่จงใจปรามาสพระรัตนตรัยอย่างแรงกล้านั้น แม้แต่อริยมรรคก็ไม่เกิดขึ้นครับ
ดังนั้น หากจิตกระวนกระวาย ให้รู้ทัน ความกระวนกระวายของจิตนะครับ ตรงนี้สำคัญมากๆครับ เพราะอย่างน้อยก็เป็นผมคนหนึ่ง ที่เคยพลาดให้กับจุดนี้มาเป็นเดือนๆเหมือนกันครับ
ขอให้เจริญในธรรมครับ
