ห้องรับแขก > คุยกันในสวน

ขออนุญาติสนทนากับลุงถนอมค่ะ

(1/3) > >>

Angie:
ก่อนอื่น ขอกราบระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ และขอกราบเท้าหลวงพ่อปราโมทย์ โดยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ
แองจี้ โชคดีมากที่ได้มีโอกาสได้ฟังธรรมของหลวงพ่อ และได้นำธรรมนั้นมาปฏิบัติ (ไม่สนใจในปริยัติเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่ถ้าได้อ่านเจอเรื่องการปฏิบัติ จิตนี้มีความสนใจมาก) ขณะนี้ ปฏิบัติมาถึงตรงที่จิตนี้คอยไประลึกรู้การทำงานของจิต และเมื่อระลึกรู้แล้ว จิตกลับมาระลึกรู้กายแบบสบายๆ ค่ะ (แต่ไม่ได้รู้ตลอดนะคะ รู้บ้างเผลอบ้าง) และในระหว่างนี้ จิตนี้รู้แต่ทุกข์ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทุกข์ทั้งสิ้น จนกระทั่งจิตรู้ถึงขนาดที่ว่า "ความทุกข์นี้ไม่มีที่ที่เท้าจะหยั่งลงถึงได้" ทุกข์จนไม่สามารถบรรยายได้เลยค่ะ หลังจากนั้นจิตเขาไม่สนใจสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้น รู้แต่ว่าอะไรจะเกิดก็ช่าง ไม่ทบทวน (ทบทวนบ้างบางครั้ง) แต่ส่วนใหญ่รู้แล้วก็ผ่านเลยค่ะ (คือเหมือนกับว่า ทุกข์ก็ช่างมัน สุขก็ช่างมัน)  มาถึงตรงนี้ จิตคอยแต่มารู้ที่ปัจจุบัน ทีนี้จิตเขาสรุปว่า "ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันธรรมเท่านั้น ที่เป็นธรรมสูงสุด" ทีนี้เมื่อนั่งสมาธิแล้ว จิตระลึกรู้ว่ากายนี้เป็นของหนัก ทุกอย่างหนักไปหมด แต่ตัวจิตเองนั้นกลับไม่เข้าไปยึดสิ่งที่หนักนั้น คือเหมือนกับว่าได้แต่ยืนดูความรู้สึกหนักนั้นอยู่เฉยๆ นะค่ะ พอมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ไม่ทราบว่าต้องทำยังไงต่อคะ และสิ่งที่จิตไปรู้เข้านั้น คืออะไรคะ
ขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ
แองจี้ _/|\_

ลุงถนอม:
ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่า ปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ล่วงๆไป ไม่ได้ตั้งอยู่ได้จริง มีแต่ปัจจุบันที่เดี๋ยวก็กลายไปเป็นอดีตไปหมดแล้ว

สิ่งที่จิตรู้ คืออะไร ไม่มีอะไรน่าสนใจที่จะค้นคว้าเลยครับ

นับจากนี้ ให้ดูจิตที่แปรปรวน เปลี่ยนแปลง จิตที่เคลื่อนไหว จิตที่ไปรู้สิ่งอื่นๆ นะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_

Angie:
ขอบพระคุณค่ะ  _/|\_

Angie:
คือหมายถึงว่า ให้จิตไปรู้จิตใช่ไหมคะ คือจิตจะคอยมาระลึกรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวจิต ทีนี้ไม่ทราบว่าเดินมาถูกทางหรือไม่คะ เพราะเมื่อนั่งสมาธิไปสักระยะ จะรู้สึกถึงความหนักที่มีอยู่ในกายนี้ตลอดเลยค่ะ บางครั้งแม้ออกจากสมาธิแล้วก็ยังเป็นอยู่ จำได้ว่าหลวงพ่อสอนว่าถ้ามีอาการหนักแน่น แสดงว่าต้องมีอะไรผิดแล้ว ขอบพระคุณค่ะ  _/|\_

ลุงถนอม:
คือให้รู้ลงไปที่ความรู้สึกของจิตอีกที หลังจากที่เห็นสภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น รูป หรือ นาม, กาย หรือ ใจ ก็ตาม คือ ดูลงไปว่า ยินดี ยินร้าย หรือดูไม่ออกว่ายินดีหรือว่ายินร้าย ซึมๆ หรือว่าเป็นกลาง ครับ

อย่ามัวแต่พอเห็นกายหนักๆ แล้วไปพยายามหาอะไรทำต่ออีกนะครับ มันสุดทางแค่นั้น หากดูเฉยๆไม่ได้ เห็นกายเป็นก้อนทุกข์เฉยๆไม่ได้ เห็นกายเป็นก้อนทุกข์โดยที่ไม่ได้เป็นทุกข์ ไม่อินในความรู้สึกหนักไม่ได้ จิตเกิดความกระวนกระวาย หรือหาอะไรทำ ก็ต้องย้อนกลับมาระลึกถึงความรู้สึกของจิตในขณะนั้นๆ

แต่ถ้าจิตเฉยๆ ไม่ยินดี ยินร้าย นิ่งอยู่อย่างนั้น ก็ต้องคอยสังเกตจิตที่เคลื่อนไปรู้โน่นรู้นี่ ที่โน่น ที่นี่ ในชีวิตประจำวันอีกทีครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_

Navigation

[0] Message Index

[#] Next page

Go to full version