Author Topic: รบกวนถามว่ามาถูกทางไหมครับ  (Read 5403 times)

Offline nopphakan

  • Newbie
  • *
  • Posts: 6
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
สวัสดีครับ คุณลุงถนอม ผมเพิ่งมาสมัครสมาชิกใหม่นะครับ แต่ก็ได้อ่านๆเรื่องต่างๆมาแล้วบ้าง
เรื่องของผมนี้น่าจะเข้าข่ายอยู่นะครับ..
สิ่งที่ติดขัดก็คือเรื่องการเดินปัญญา คือตอนนี้ในขณะลืมตานะครับ เวลาขันธ์ห้าเค้ามาเนี่ยผมก็ ใช้สติในการระลึกรู้ ปล่อยให้จิตเค้ารับรู้ไป
ซึ่งขันธ์เนี่ย เค้าก็จะมาตั้งแต่ผมตื่นนอนจนกระทั้งผมหลับ ซึ่งมาตอนไหนผมก็ระลึกรู้ตอนนั้น ผมว่าผมทันเค้าทุกเรื่องนะครับ ส่วนถ้ามีความคิด
จากจิตเข้าไปร่วมผมก็ดับความคิดจากจิตก่อน แล้วค่อยตามดูขันธ์ ซึ่งตอนนี้ เวลาที่ผมระลึกรู้ดูขันธ์นั้น ดวงจิตเค้าจะกระเพื่อม (คือผมผ่านทุกอาการมาแล้ว
ตั้งแต่แยกจากกายอย่างเด็ดขาด และเห็นขันธ์ห้าเข้ามาด้วยซึ่งอยู่ข้างๆดวงจิตเค้าตอนเข้าฐานอารมย์นั้น และต่อมาเห็นความคิดเค้าผุดคิดมาจากจิตด้วย และยังเคยพาเค้าออกไปเที่ยวเล่นดูโน้น ดูนี่มาแล้ว ซึ่งผมฝึกดับจนทันตั้งแต่ จะเริ่มก่อตัว) และเค้าก็จะกระเพื่อมไม่เท่ากันแล้วแต่สภาวะธรรมในปัจจุบันที่ผมประสบในขณะนั้น ถ้าเรื่องไหนเป็นจุดอ่อนผมเค้าจะกระเพื่มแรงหน่อย..
 ซึ่งทีหลังผมมาลองศึกษาดู พบว่าการที่ผมทำอย่างนี้ ก็ถือว่าผมทำถูกแล้ว(ผมคิดเองนะครับ)เป็นการเดินวิปัสสนา ผมก็ระลึกรู้ไปเรื่อย แต่ว่าผมเข้าใจว่าเค้ายังไม่สามารถ ที่จะเดินปัญญาต่อไปได้ เพราะว่าจิตผมเค้ายังไม่นิ่งหรือเปล่าครับ..ทั้งที่เค้าก็น่าจะเห็นว่าขันธ์ ห้า ก็เกิดดับ เกิดดับ และบังคับไม่ได้ ..แต่ผมก็ไม่ได้ท้อนะครับ รู้สึกสนุกไปอีกแบบ มาอีกก็ดูอีก ดูแล้วดูอีกอยู่นั่น จิตก็กระเพื่อมตลอด มีอยู่ครั้งเดียวเรื่องเดียว นะครับ ที่มีเรื่องเข้ามากระทบ แล้วผมไม่ได้สนใจเท่าไร แล้วไประลึกรู้ตอนท้ายๆ แล้วอยู่ดีๆเหมือนจิตเค้าพูดเองได้แล้วตอนนั้นก็รู้สึกตัวเย็นวาบไปทั้งตัวและเบามากเหมือนๆจะลอยได้ และผมสังเกตุว่าเรื่องทำนองนั้น
ไม่เกิดขี้นมาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น..มาตอนนี้ผมเลยนั่งสมาธิให้ต่อเนื่องขี้นเพื่อข่มให้เค้านิ่งขี้น แต่ขันก็ยังตามมากวนอีก แต่ก็ทำให้เค้ากระเพื่อมน้อยลง แต่ก็ยังกระเพื่อมอยู่ ส่วนขันธ์เค้าก็ สลับเรื่องกันไป สลับกันมา เปลี่ยนลำดับเรื่องที่มา แต่ว่าเนื้อเรื่องก็เหมือนเดิม  เพียงแต่ว่าในเรื่องเดียวกันที่ผมสังเกตุเห็นคือ เค้าก็เกิดดับ เกิดดับ หลายครั้ง
ผมจะถามว่าผมทำมาถูกทางนะครับ และควรจะต้องทำอย่างไรต่อ..เพราะผมได้ยินมาว่า ถ้าเค้ายังไม่นิ่งจริงๆ ดวงจิตเค้าจะยังพิจารณาอะไรไม่ได้ เพืยงแต่เค้ารับรู้เฉยๆ โดยที่สติคอยระลึกรู้ไปเรื่อยๆ..
 ถ้าผมคิดถูก มีวิธีการทำให้เค้านิ่งจริงๆ และเป็นกลางได้อย่างไร...
ปล.เรื่องสัมผัสพิเศษต่างๆและการรับรู้เกี่ยวกับวิญญาน เนี่ยเกิดขี้นเองกับผมนะครับ โดยที่ผมไม่ได้ไปฝึกอะไรเลย ทั้งทางหู ทางตา ทางจมูก ทั้งขณะลืมตา และหลับตา ซึ่งผมคิดว่าไม่ใช่เส้นทางหลักจริงๆที่จะทำให้ละกิเลส
ได้.ถึงจะเป็นการรับรูแบบพิเศษแต่ก็เป็นเรื่องของภายนอกทั้งนั้นซึ่งผมก็ฝืนมาจนไม่รู้สึกกลัวแล้ว.ผมเลยไม่กล่าวถึงแค่เอาไว้ไปพูดเป็นแนวทางในห้องแซทที่อื่นๆ เพื่อเป้าหมายให้คนฟัง คนอ่านได้ระลึกรู้ว่า ปาบ บุญมีจริง.เท่านั้น
ปล.ผมไม่ได้พิจารณากาย ณ ครับเพราะนั่งสมาธิผมไม่เกิดนิวรณ์ครับ  มีครั้งเดียวตอนที่ได้พิจารณากายตอนที่เค้าแยกกันกับกาย(ช่วงหลังนี้ผมบังคับให้เค้า
อยู่ในร่างกายได้พอถึงฐานอารมย์นั้น ไม่เหมือนครั้ง สองครั้งแรก นั้นเค้าออกไปข้างนอกทันที)ให้จิตเค้าดูอวัยวะภายในร่างกาย ตอนนั้นยังไม่ได้ดูอะไรมาก ดูไม่กี่ชิ้น แล้วดันแว๊ป
ออกไปเที่ยวซะงั้น.ตอนนั้นรู้สึกสนุกดีพอกลับมาในช่วงนั้นดับความคิดที่เค้าอยากจะออกไปเที่ยวข้ามวันเลย..หลังๆพอถึงฐานอารมย์นั้นอีก ผมใช้สติฝืนไม่ให้เค้าไป และ เหมือนๆเค้าจะไม่ยอมจะออกไป อย่างเดียวและคล้ายๆจะซ่อนๆไม่ให้ตัวสติเห็นเค้าด้วย.บังคับไม่ให้เค้าออกไปตั้งนานกว่าเค้าจะยอมอยู่ในร่างกายดีๆ...หลักผมก็จะถามว่า มาถูกทางแล้วหรือยัง ถ้าผิดหรือถูกอย่างไร ขอคำแนะนำในการปฏิบัติต่อไปในภายภาคหน้าด้วยครับ
อนุโทนาด้วยครับ.ขออภัยด้วยนะครับที่ยาวไปหน่อยครับ..
ปล.ครั้งแรกที่แยกกายกับจิตออกจากกันได้เนี่ย..ตอนที่ผมบวชนะครับ.ประมาณวันที่ 18 ครับ ผมลาสิกขาหลังจากบวชประมาณเดือนกับอีก 10 วัน..
 ขอบคุณอีกครั้งหนึ่งครับ..
 

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ยินดีต้อนรับครับ  _/|\_ และขอบคุณนะครับ ที่อุตส่าห์แวะเวียนมาคุย และมีเรื่องคุยให้ฟังยืดยาวเลยครับ

สังเกตเห็นอย่างหนึ่งมั้ยครับว่า การภาวนาไม่ได้เรียบง่าย และดูวุ่นวายไปหมด...

เรื่องความเป็นกลางของจิต หมายถึง การที่จิตไม่ไปทำสองอย่าง คือ

1. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การคลุกคลีลงไปในกามคุณทั้ง ๕ คือ ไม่คลุกคลีไปในผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย
2. อัตตกิลมถานุโยค คือ การบังคับทรมานตน ก็คือ การเพ่ง การบังคับ กาย และใจ

การเข้าไปอินในอารมณ์ทางหูจมูกลิ้นกาย ก็คือข้อแรก การบังคับ หรือเ้ข้าไปแทรกแซง หรือไปจัดการอะไรต่างๆ ทั้งกาย ทั้งใจ ก็เป็นข้อ 2

ถ้าจิตไม่อินเข้าไปในอารมณ์ จิตไม่เข้าไปจัดการ ยุ่งเหยิง วุ่นวาย ในอารมณ์ต่างๆแล้ว จะเหลืออะไรที่จิตจะเป็นไปได้ ก็เหลือแต่ "รู้" เท่านั้น ใช่มั้ยครับ

"รู้" ก็คือ รับทราบปรากฎการณ์ต่างๆ รู้ไม่ได้แปลว่าให้ไปทำอะไรมากกว่ารู้ รู้ไม่ใช่ให้ไป "เฝ้าสังเกตที่จุดใดจุดหนึ่ง" รู้ไม่ใช่แปลว่าให้ดับอารมณ์ รู้ไม่ได้แปลว่าให้ดับกิเลส

"รู้" เพื่ออะไร ก็เพื่อเอาความจริง รู้เพื่อรู้ความจริง มิใช่ "รู้" เพื่อจัดการอะไรแม้แต่น้อย เพราะธรรมชาติทั้งหลาย มีความเกิดดับไปเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปทำอะไรเขาก็ดับไปตามธรรมชาติธรรมดาขของเขา สิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไป เราไม่ต้องไปดับ เขาก็ดับไป แต่ถ้าเราไปวุ่นกับการดับกิเลส ดับอารมณ์ เราจะไม่เห็นว่า "ตัวเราก็ไม่ใช่ตัวเรา" เพราะเรากำลังทำไปเพื่อรักษาความเป็นตัวเราเอาไว้ ความเป็นตัวเราที่เก่งกล้าสามารถ ตัวเราที่เหนือกว่าคนอื่น ตรงนี้ก็เป็นกิเลสอีกตัวหนึ่ง แม้ว่าจะมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านละได้ แต่ในการภาวนาเราก็ไม่ควรสะสมให้พอกพูนมากขึ้นกระมังครับ

ลองรู้ไปเฉยๆ รู้ไปเรื่อยๆ รู้แค่รู้ นะครับ เป็นอย่างไรแล้วมาคุยกันต่อครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ  _/|\_

คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline nopphakan

  • Newbie
  • *
  • Posts: 6
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบคุณมากครับ..

"  "รู้" เพื่ออะไร ก็เพื่อเอาความจริง รู้เพื่อรู้ความจริง มิใช่ "รู้" เพื่อจัดการอะไรแม้แต่น้อย เพราะธรรมชาติทั้งหลาย มีความเกิดดับไปเป็นธรรมดา "
 ผมนึกประโยคนี้ไม่ออก..."ผมแค่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร.และก็ไม่สนใจ.".
และก็ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำแนวทาง ถึงเหตุ และวิธีปฏิบัติ..เหตุเป็นอย่างที่ลุงถนอมกล่าวไว้ทั้ง 2 ข้อจริงๆด้วยครับ..
 เป็นอย่างนี้คงต้องอยู่กับเวลาแล้วหละครับ...ยังไงถ้ามีประสบการณ์อะไร.ถ้าเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในห้องนี้ผมจะมาขอคำแนะนำในภายภาคหน้าต่อไปครับ
เนื่องจากส่วนนี้เป็นขณะลืมตา..เดี๋ยวถ้าเป็นส่วนสมถะภาวนาจะมารบกวนอีกครั้งครับ..
อนุโมทนาด้วยครับ.....

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline nopphakan

  • Newbie
  • *
  • Posts: 6
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบคุณครับ...
 
  พออ่านวิธีการไปแล้วผมก็ลองไปปฎิบัติดูทำให้ผมพอทราบว่าผมพลาดตรงจุดไหน..แล้วที่นี้ผมรู้สึกอะไรบางอย่าง.....

      พอมีสภาวะปัจจุบันเกิดขึ้นมา..ผมก็ใช้สติระลึกรู้ไป..แล้วก็ให้ดวงจิตเค้ารับรู้ไปของเค้า..เค้าก็กระเพื่อมของเค้าไป..ผมได้ไม่ได้ใช้ความคิดจากจิตไปแทรกแซงหรือร่วมกับเค้านะครับ..หรือใช้การภาวนาเพื่อข่มอะไร
ให้เค้านิ่งนะคับ..ซักพักหนึ่งพอเค้านิ่งในระดับหนึ่งของเค้าเองจนผมรู้สึกว่าเค้าไม่กระเพื่อมนะครับแต่ว่าตัวสติยังทำงานอยู่..ผมรู้สึกว่ามีความคิดออกมาเองรู้สึกว่าความคิดนี้จะ
ออกมาจากทางด้านหลังของตัวสติเหมือนตามกันมาติดๆเหมือนเค้าอยู่ด้านหลังเลยนะครับ..เหมือนคล้ายๆเค้าพูดเองเอ่อเอง.ตัวนี้เป็นสัญญานที่ดีหรือเปล่าคับหรือผมคิดไปเอง..

อนุโมทนาครับ....

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
เวลาที่ดูมาถึงตรงนี้ได้แล้ว ไม่ต้องไปสนใจ ว่าอะไรคืออะไร สิ่งเดียวที่พึงมนสิการไว้ ก็คือ ให้เห็นเหมือนเป็นปรากฎการณ์ที่เรามองคนอื่น ไม่ใช่มองจิตของเรา ไม่ใช่มองความคิดของเรา หากแต่มองเหมือนมองเรื่องของคนอื่น มนสิการไว้นิดเดียวเท่านี้ครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline nopphakan

  • Newbie
  • *
  • Posts: 6
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบคุณมากครับ...
 อนุโมทนาด้วยครับ

Offline nopphakan

  • Newbie
  • *
  • Posts: 6
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบคุณอีกครั้งครับ...
 และรบกวนอีกครั้งครับ.
  การลงสู่ไตรลักษณ์เนี่ยไม่ทราบว่า..เค้าจะลงแค่อันหนึ่งอันใดในไตรลักษณ์หรือเปล่าครับ....
ผมรู้สึกอย่างนั้นนะครับ
  อนุโมทนาด้วยครับ...

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ในขณะใดขณะหนึ่ง จะเห็นแค่ไตรลักษณ์เพียงอย่างเดียว คือ จะเห็นอนิจจัง ก็ไม่ได้เห็นทุกขังและอนัตตา ถ้าเห็นทุกขังก็ไม่ได้เห็นอนิจจังและไม่ได้เห็นอนัตตา หรือถ้าเห็นอนัตตาก็จะไม่ได้เห็นอนิจจังและไม่ได้เห็นทุกขัง

หากแต่องค์พระบรมศาสดาทรงแสดงเอาไว้ว่า เห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คือ เห็นทั้งหมด (เห็นไตรลักษณ์ทั้งหมด) ก็เพราะได้เห็นความเป็นจริงตามความเป็นจริงแล้ว

แล้วเอาเข้าจริงๆ ในการภาวนาแท้ๆ ไตรลักษณ์แต่ละอย่าง ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันออกไปด้วยซ้ำไปครับ ยกตัวอย่าง ทุกขลักษณะ จะเห็นด้วยว่ารู้สึกเป็นทุกข์ ก็ได้ หรือเห็นให้ละเอียดกว่านั้น เห็นว่ามีน้ำหนักก็ได้ หรือเห็นว่ามีความบีบคั้น เบียดเบียนอยู่ภายใน เป็นความเครียด ก็ได้ หรือแม้แต่บางที แค่เห็นว่าต้องการ space หรือที่ว่าง ก็เห็นว่าเป็นทุกข์ได้อีกครับ

แต่ไม่ว่าจะเห็นอย่างไร ก็ได้ชื่อว่าเห็นไตรลักษณ์ครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
« Last Edit: Mon 21 Mar 11, 20:41:46 by ลุงถนอม »
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline nopphakan

  • Newbie
  • *
  • Posts: 6
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
ขอบคุณมากครับ... _/|\_

 :) ;D  :-[ :-* :'( :-\ >:( :( :o 8) อารมย์ 
 พอจะเข้าใจครับ....

ขออำนาจ พุทธ ธรรม สงฒ์ จงคุ้มครองลุมถนอมตลอดไปด้วยเทอญ..

  อนุโมทนาสาธุด้วยครับ 

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา