เขียนเมื่อ วัน จันทร์ ที่ 20 ธันวาคม 2542 11:21:37
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า
มหาสุญญตา พวกเรามักจะนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง
เช่นนึกถึง
เซ็น ในฐานะที่สอนเรื่องมหาสุญญตา
นึกถึง
ท่านพุทธทาส ในฐานะที่นำคำว่ามหาสุญญตามาสู่ความรับรู้ของคนไทย
นึกถึง
ความว่างบ้าง นิพพานบ้าง อันน่าจะเป็นสภาวะของมหาสุญญตา
บางทีก็เลยไปคิดถึง
ทัศนะของชาวพุทธเถรวาทบางท่าน
ที่ว่า มหาสุญญตาไม่ใช่คำสอนในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
และสำหรับผมนั้น มักจะนึกเพิ่มเติมไปอีกจุดหนึ่ง
คือนึกไปถึง
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ในฐานะครูพระป่าที่กล่าวถึงมหาสุญญตาบ่อยครั้ง
ผมเคยคิดที่จะเขียนถึงมหาสุญญตาสักครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ลงมือสักที
พอดีหลานทองคำขาวไปพบ
มหาสุญญตสูตร แล้วขอให้ผมนำมาเขียนชวนพวกเราอ่านพระสูตรนี้กันบ้าง
จึงเห็นว่า น่าจะลงมือเขียนเรื่องนี้เสียที
มหาสุญญตสูตร ปรากฏใน สุญญตวรรค มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก
พระสุตตันตปิฎก เล่ม 6 พระไตรปิฎกเล่ม 14
แรงบันดาลพระทัยให้พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตรนี้
ก็สืบเนื่องจากพระองค์เสด็จไปพบว่า ที่วัดซึ่งเจ้ากาลเขมกะ ศากยะ สร้างนั้น
จัดที่อยู่อาศัยให้กับพระภิกษุจำนวนมาก
พระองค์จึงมาทรงปรารภธรรมกับท่านพระอานนท์
ว่าพระภิกษุไม่น่าจะไปคลุกคลีอยู่เป็นหมู่คณะใหญ่ขนาดนั้น เพราะ
ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ชอบคลุกคลีกัน ยินดีในการคลุกคลีกัน
ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบคลุกคลีกัน ชอบเป็นหมู่
ยินดีในหมู่ บันเทิงร่วมหมู่ ย่อมไม่งามเลย
ดูกรอานนท์ ข้อที่ภิกษุผู้ชอบคลุกคลีกัน ยินดีในการคลุกคลีกัน
ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบคลุกคลีกัน ชอบเป็นหมู่
ยินดีในหมู่บันเทิงร่วมหมู่นั้นหนอ
จักเป็นผู้ได้สุขเกิดแต่เนกขัมมะ สุขเกิดแต่ความสงัด
สุขเกิดแต่ความเข้าไปสงบ สุขเกิดแต่ความตรัสรู้
ตามความปรารถนาโดยไม่ยากไม่ลำบาก นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้
ดูกรอานนท์ ข้อที่ภิกษุผู้ชอบคลุกคลีกัน ยินดีในการคลุกคลีกัน
ประกอบเนืองๆ ซึ่งความชอบคลุกคลีกัน ชอบเป็นหมู่
ยินดีในหมู่ บันเทิงร่วมหมู่นั้นหนอ
จักบรรลุเจโตวิมุติอันปรารถนาเพียงชั่วสมัย
หรือเจโตวิมุติอันไม่กำเริบมิใช่เป็นไปชั่วสมัยอยู่ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ อ่านถึงตรงนี้ พวกเราก็น่าจะคิดเหมือนกันว่า
เราควรรวมหมู่คลุกคลีกันขนาดไหนจึงจะเหมาะ
บางคนที่ช่างสังเกตหน่อยก็จะแย้งว่า
พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่าผู้คลุกคลีกับหมู่คณะไม่อยู่ในฐานะที่จะได้เจโตวิมุตติ
ดังนั้น พวกเราที่คลุกคลีกัน ก็พึงได้ปัญญาวิมุตติก็แล้วกัน
อันนี้ขอเรียนว่า การบรรลุมรรคผลนั้น
ต้องอาศัยทั้งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติประกอบกัน
ดังนั้นจึงไม่ปรากฏเลยว่าพระศาสดาทรงสรรเสริญความคลุกคลี
จากนั้นพระองค์ก็ทรงเล่าให้ท่านพระอานนท์ฟังต่อไปว่า
ดูกรอานนท์ ก็วิหารธรรมอันตถาคตตรัสรู้ในที่นั้นๆ นี้แล
คือ ตถาคตบรรลุสุญญตสมาบัติภายใน เพราะไม่ใส่ใจนิมิตทั้งปวงอยู่
ดูกรอานนท ถ้าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา
มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์
เข้าไปหาตถาคตผู้มีโชค อยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ในที่นั้นๆ
ตถาคตย่อมมีจิตน้อมไปในวิเวก โน้มไปในวิเวก โอนไปในวิเวก
หลีกออกแล้ว ยินดียิ่งแล้วในเนกขัมมะ
มีภายในปราศจากธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะโดยประการทั้งปวง
จะเป็นผู้ทำการเจรจาแต่ที่ชักชวนให้ออกเท่านั้น ในบริษัทนั้นๆ โดยแท้ ใจความที่ทรงเล่าให้ท่านพระอานนท์สดับก็คือ
พระองค์เองมีวิหารธรรม คือ
สุญญตสมาบัติภายใน เพราะไม่ใส่ใจนิมิตทั้งปวง อาศัยเครื่องอยู่คือวิหารธรรมอันนี้
พระองค์ทรงพบปะผู้คนจำนวนมาก ด้วยจิตที่สงบวิเวก
และชักชวนผู้อื่นให้วิเวกและหลีกออกจากเครื่องร้อยรัดด้วย
ขอเรียนว่า มหาสุญญตสูตร ไม่ได้กล่าวถึงมหาสุญญตาตามแบบเซ็น
แต่กล่าวถึงสุญญตสมาบัติ ซึ่งมีทั้งแบบภายใน ภายนอก ภายในและภายนอก
ซึ่งสุญญตสมาบัตินั้น พระไตรปิฎกเล่มที่ 31 ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามัคค์
อันเป็นยอดอภิธรรมที่ปรากฏในพระสูตร ได้อธิบายว่า
พิจารณาเห็นความถือมั่นว่าตนโดยความเป็นภัย
มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างจากตน เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว
คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างจากตนแล้วย่อมเข้าสมาบัติ
นี้ชื่อว่า สุญญตสมาบัติ ฯ
พิจารณาเห็นความถือมั่นว่ารูปโดยความเป็นภัย
มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว
คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างเปล่าแล้วย่อมเข้าสมาบัติ
นี้ชื่อว่า สุญญตสมาบัติ ฯ
พิจารณาความถือมั่นและมรณะโดยความเป็นภัย
มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว
คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างเปล่าแล้วย่อมเข้าสมาบัติ
นี้ชื่อว่า สุญญตสมาบัติ ฯ
สิ่งที่ผมยกมากล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า
สิ่งที่เรียกว่าสุญญตสมาบัตินั้น ไม่ใช่สมาบัติอื่นที่นอกเหนือจากสมาบัติ 8
อันประกอบด้วยรูปสมาบัติ(รูปฌาน) 4 และอรูปสมาบัติ(อรูปฌาน) 4
รวมกับนิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวทยิตนิโรธอีก 1
แต่ที่เรียกว่าสุญญตสมาบัติ
ก็เพราะท่านพิจารณาละความถือมั่น
แล้วจิตน้อมไปถึงนิพพานอันว่างเปล่า
เพิกเฉยความเป็นไปทั้งหลาย ก็คือหยุดการพิจารณาทั้งสิ้น
คำนึงถึงแต่นิพพานอันเป็นที่ดับ
หรือนัยหนึ่งก็คือ คำนึงถึงมหาสุญญตา
แล้วน้อมจิตเข้าสู่สมาบัติ
สมาบัติที่ผ่านกระบวนการอย่างนี้ เรียกว่า สุญญตสมาบัติ
ทำนองเดียวกับผู้ที่เพ่งกสิณ แล้วเข้าสมาบัติด้วยการเพ่งกสิณ
ท่านก็เรียกสมาบัตินั้นว่า กสิณสมาบัติ
กระบวนการทางจิตตรงที่คำนึงถึงมหาสุญญตาหรือนิพพานนี้
ผมจะเล่าให้พวกเราฟังในภายหลัง
ตอนนี้ขอชวนอ่านพระสูตรต่อไปก่อน
คือพระองค์ได้ทรงสอนท่านพระอานนท์ถึงวิธีการเข้าสุญญตสมาบัติว่า
ก่อนอื่นทั้งหมดจะต้องมี ธรรมเอก เสียก่อน ดังนี้
ภิกษุถ้าแม้หวังว่า จะบรรลุสุญญตสมาบัติภายในอยู่
เธอพึงดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ
ทำจิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในให้มั่นเถิด ฯ
[๓๔๗] ดูกรอานนท์ ก็ภิกษุจะดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ
ทำจิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในมั่นได้อย่างไร
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
(๑) สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌานมีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ฯ
(๒) เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฯ
(๓) เป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย
เข้าตติยฌาน ที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุข อยู่ ฯ
(๔) เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ ฯ
ดูกรอานนท์ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าย่อมดำรงจิตภายใน
ให้จิตภายในสงบ ทำจิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในมั่น ฯ เรื่องธรรมเอกนี้ พวกเราคงเริ่มคุ้นเคยกันมากแล้ว
เพราะผมเคยนำมากล่าวทั้งธรรมเอกในสัมมาสมาธิ
และธรรมเอกในการเจริญสติปัฏฐาน
คราวนี้ก็มากล่าวถึงเรื่องธรรมเอก อันเป็นขั้นตอนแรกของการทำสุญญตสมาบัติ
มีข้อน่าสังเกตว่า ธรรมเอกนี้เป็นธรรมที่อาภัพ ไม่มีใครพูดถึงหรือนำมาศึกษา
เพราะกลุ่มนักการศึกษานั้น ตกอยู่ใต้อิทธิพลของคัมภีร์ชั้นหลัง
ซึ่งพากันเน้นขณิกสมาธิ แล้วตัดธรรมเอกทิ้งกันทั้งนั้น
เนื่องจากธรรมเอกนี้ หากไม่ใช่ผู้ปฏิบัติแล้ว ไม่มีทางเข้าใจได้เลย
เมื่อมีธรรมเอกแล้วก็มีถึงขั้นตอนที่ 2 คือการรู้ความว่าง(สุญญตา)
ดังที่พระองค์ทรงสอนว่า
ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างภายใน
เมื่อเธอกำลังใส่ใจความว่างภายใน
จิตยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่นึกน้อมไปในความว่างภายใน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เมื่อเรากำลังใส่ใจความว่างภายใน
จิตยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่นึกน้อมไปในความว่างภายใน
ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องความว่างภายในนั้นได้ ฯ
ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างภายนอก ...
ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างทั้งภายในและภายนอก ... หมายความว่าท่านทรงสอนให้ระลึกรู้ความว่างภายในจิตของตน
แม้ในขณะนั้น จิตกับความว่างยังไม่เข้าสู่ภาวะความเป็นอันเดียวกัน
ท่านก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
เพราะอำนาจของธรรมเอกนั้น ทำให้ผู้ปฏิบัติรู้ความว่างด้วยความรู้ตัว
เมื่อรู้ความว่างด้วยความรู้ตัวแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนที่ 3 คือ
ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจอาเนญชสมาบัติ
เมื่อเธอกำลังใส่ใจอาเนญชสมาบัติ
จิตยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่นึกน้อมไปในอาเนญชสมาบัติ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เมื่อเรากำลังใส่ใจอาเนญชสมาบัติ
จิตยังไม่แล่นไป ยังไม่เลื่อมใส ยังไม่ตั้งมั่น ยังไม่นึกน้อมไปในอาเนญชสมาบัติ
ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องอาเนญชสมาบัตินั้นได้ ฯ คำว่า "อาเนญชาสมาบัติ" นี้ ผมค้นหาความหมายที่ชัดเจนไม่พบ
พบแต่ท่านกล่าวถึงอเนญชสมาบัติเอาไว้
ก่อนอากิญจัญญายตนสมาบัติและเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
(คือก่อนอรูปสมาบัติที่ 3 และ 4 หรืออีกนัยหนึ่งคือฌานที่ 7 และ
และเมื่อค้นคำๆ นี้จากพจนานุกรมของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก
พบแต่คำว่า อาเนญชาภิสังขาร ซึ่งหมายถึง
"สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคงไม่หวั่นไหว
ได้แก่กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร 4
หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน"
อ่านแล้วก็ได้เพียง
อนุมานเอาไว้ชั่วคราวว่า
เมื่อมีธรรมเอกแล้ว ท่านให้ระลึกรู้ความว่าง
แล้วน้อมจิตไปสู่ฌานขั้นละเอียดไม่ต่ำกว่ารูปฌานที่ 4
แต่ก็น่าจะหมายถึงอรูปฌานขั้นต้นๆ
ไม่ถึงอากิญจัญญายตนะและเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
เพราะถ้ารวมสมาบัติ 2 ประการหลังเข้าไปด้วยแล้ว
ท่านจะเรียกว่า อรูปสมาบัติ 4 ไม่น่าจะเรียกว่าอเนญชสมาบัติ
ที่กล่าวถึงอาเนญชสมาบัติมานี้ เป็นการวิเคราะห์ในเชิงปริยัติ
เท่าที่หาตำราได้ในขณะนี้
จึงไม่สามารถรับรองความถูกต้องได้นะครับ
คราวนี้ย้อนกลับไปเริ่มขั้นตอนที่ 2 และ 3 อีก version หนึ่ง
คือเมื่อมีธรรมเอกแล้ว ท่านสอนดังนี้
ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นพึงดำรงจิตภายใน ให้จิตภายในสงบ
ทำจิตภายในให้เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งจิตภายในให้มั่น ในสมาธินิมิตข้างต้นนั้นแล
เธอย่อมใส่ใจความว่างภายใน
เมื่อเธอกำลังใส่ใจความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น
นึกน้อมไปในความว่างภายใน
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เมื่อเรากำลังใส่ใจความว่างภายใน จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น
นึกน้อมไปในความว่างภายใน
ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องความว่างภายในนั้นได้ ฯ
ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างภายนอก ...
ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจความว่างทั้งภายในและภายนอก ...
ภิกษุนั้นย่อมใส่ใจอาเนญชสมาบัติ เมื่อเธอกำลังใส่ใจอาเนญชสมาบัติ
จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น นึกน้อมไปในอาเนญชสมาบัติ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
เมื่อเรากำลังใส่ใจอาเนญชสมาบัติ จิตย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น
นึกน้อมไปในอาเนญชสมาบัติ
ด้วยอาการนี้แล ย่อมเป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องอาเนญชสมาบัตินั้นได้ ฯ version นี้ต่างจากแบบแรกก็ตรงที่
ครั้งนี้จิตรวมเข้ากับความว่าง และรวมเข้าในอเนญชสมาบัติ
แต่ทั้งนี้ ขอย้ำให้เห็นว่า สมาธิของพระพุทธศาสนานั้น
ไม่ใช่สมาธิเคลิบเคลิ้มลืมตัว
แต่เป็นสมาธิที่มีธรรมเอก จิตมีความตั้งมั่นรู้ตัวอยู่
เมื่อจิตมีสุญญตสมาบัติเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้แล้ว
ย่อมเป็นกำลังในการปฏิบัติธรรมเพื่อถอดถอนกิเลสต่อไป
ซึ่งพระศาสดาทรงสอนท่านพระอานนท์ต่อไปดังนี้
[๓๔๘] ดูกรอานนท์ หากเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้
จิตย่อมน้อมไปเพื่อจะจงกรม เธอย่อมจงกรมด้วยใส่ใจว่า
อกุศลธรรมลามกคืออภิชฌา และโทมนัส
จักไม่ครอบงำเราผู้จงกรมอยู่อย่างนี้ได้
ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องการจงกรม ฯ
หากเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้
จิตย่อมน้อมไปเพื่อจะยืน เธอย่อมยืนด้วยใส่ใจว่า
อกุศลธรรมลามกคืออภิชฌาและโทมนัส
จักไม่ครอบงำเราผู้ยืนอยู่แล้วอย่างนี้ได้
ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องการยืน ฯ
หากเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ จิตย่อมน้อมไปเพื่อจะนั่ง ...
หากเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ จิตย่อมน้อมไปเพื่อจะนอน ...
หากเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ จิตย่อมน้อมไปเพื่อจะพูด
เธอใส่ใจว่า เราจักพูดเรื่องราวเห็นปานฉะนี้
ซึ่งเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง เป็นที่สบายแก่การพิจารณาทางใจ
เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกิเลส เพื่อสงบกิเลส
เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
คือ เรื่องมักน้อย เรื่องยินดีของของตน เรื่องความสงัด เรื่องไม่คลุกคลี
เรื่องปรารภความเพียร เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องวิมุตติ เรื่องวิมุตติญาณทัสสนะ
ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องการพูด ฯ
หากเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ จิตย่อมน้อมไปเพื่อจะตรึก
เธอย่อมใส่ใจว่า เราจักไม่ตรึกในวิตกเห็นปานฉะนี้
ซึ่งเป็นวิตกที่เลวทราม เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน
ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับกิเลส
เพื่อสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก
ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องการตรึก
และเธอใส่ใจว่า เราจักตรึกในวิตกเห็นปานฉะนี้
ซึ่งเป็นวิตกของพระอริยะ เป็นเครื่องนำออก
ที่นำออกเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่บุคคลผู้ทำตาม
คือ เนกขัมมวิตก อพยาบาทวิตก อวิหิงสาวิตก
ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในการตรึก ฯ
[๓๔๙] ดูกรอานนท์ กามคุณนี้มี ๕ อย่างแล ...
ซึ่งเป็นที่ที่ภิกษุพึงพิจารณาจิตของตนเนืองๆ ว่า มีอยู่หรือหนอแล
ที่ความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้นแก่เราเพราะกามคุณ ๕ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือเพราะอายตนะใดอายตนะหนึ่ง
ดูกรอานนท์ ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้ชัดอย่างนี้ว่า
มีอยู่แลที่ความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้นแก่เราเพราะกามคุณ ๕ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือเพราะอายตนะใดอายตนะหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ความกำหนัดพอใจในกามคุณ ๕ นี้แล เรายังละไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า
ไม่มีเลยที่ความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้นแก่เราเพราะกามคุณ ๕ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือเพราะอายตนะใดอายตนะหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ความกำหนัดพอใจในกามคุณ ๕ นี้แล เราละได้แล้ว
ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องกามคุณ ๕ ฯ
[๓๕๐] ดูกรอานนท์ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นี้แล
ซึ่งเป็นที่ที่ภิกษุพึงเป็นผู้พิจารณาเห็นทั้งความเกิดและความดับอยู่ว่า
อย่างนี้รูป อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป อย่างนี้ความดับแห่งรูป
อย่างนี้เวทนา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา อย่างนี้ความดับแห่งเวทนา
อย่างนี้สัญญา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา อย่างนี้ความดับแห่งสัญญา
อย่างนี้สังขาร อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร อย่างนี้ความดับแห่งสังขาร
อย่างนี้วิญญาณ อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ อย่างนี้ความดับแห่งวิญญาณ
เธอผู้พิจารณาเห็นทั้งความเกิดและความดับในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้อยู่
ย่อมละอัสมิมานะในอุปาทานขันธ์ ๕ ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า เราละอัสมิมานะในอุปาทานขันธ์ ๕ ของเราได้แล้ว
ด้วยอาการนี้แล เป็นอันเธอรู้สึกตัวในเรื่องอุปาทานขันธ์ ๕ ฯ
ดูกรอานนท์ ธรรมนั้นๆ เหล่านี้แล เนื่องมาแต่กุศลส่วนเดียว ไกลจาก
ข้าศึก เป็นโลกุตระ อันมารผู้มีบาปหยั่งลงไม่ได้ ดูกรอานนท์ เธอจะสำคัญความ
ข้อนั้นเป็นไฉน สาวกมองเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงควรใกล้ชิดติดตาม
ศาสดา ฯ จะเห็นได้ว่าท่านผู้มีสุญญตสมาบัติเป็นวิหารธรรมนั้น
ท่านยังมีกิจที่ต้องทำต่อคือการเจริญสติปัฏฐาน
ด้วยการระลึกรู้การเดิน ยืน นั่ง นอน พูด คิด
รู้กามคุณในจิตของตน จนถึงการรู้อุปาทานขันธ์
และสามารถถอดถอนอุปาทานขันธ์เสียได้
ยังมีคำสอนเรื่องสุญญตสมาบัติในอีกพระสูตรหนึ่ง
ซึ่งผมอ่านแล้ว เกิดความเร้าใจ ตื่นตัว และเบิกบานเป็นอย่างมาก
ชื่อว่า จูฬสุญญตสูตร ที่ ๑ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
ถ้าย้อนไปอ่านตอนต้นของบทความนี้ จะพบว่า
วิหารธรรมของพระศาสดาคือ
สุญญตสมาบัติภายใน เพราะไม่ใส่ใจนิมิตทั้งปวง พระสูตรหลังนี้แหละที่อธิบายถึงสมาบัติชนิดนี้อย่างชัดเจน
ดังที่กล่าวแล้วว่า ที่เรียกว่า สุญญตสมาบัติ
เป็นเพราะการพิจารณาความว่างก่อนเข้าสมาบัติ
ทีนี้สมาบัติก็ยังมี 2 ชนิด คือสมาบัติที่มีนิมิตหรือเครื่องหมายรู้
กับสมาบัติที่ไม่มีนิมิตหรือเครื่องหมายรู้
บรรดาสมาบัติ 8 นับตั้งแต่ปฐมฌาน จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
ล้วนเป็นสมาบัติที่ยังมีนิมิต คือมีเครื่องหมายรู้ทั้งสิ้น
เช่นรูปสมาบัติ มีลมหายใจเป็นเครื่องหมายรู้ เป็นต้น
ส่วนอรูปสมาบัติ ก็มีอรูปธรรมเป็นเครื่องหมายรู้
เช่นช่องว่างภายในจิต วิญญาณ ความไม่มีอะไรเลย ฯลฯ
สำหรับสมาบัติที่ไม่มีเครื่องหมายรู้ มีอยู่
สมาบัติชนิดนี้แหละที่พระศาสดาตรัสว่าเป็นวิหารธรรมของพระองค์
เป็นสมาบัติที่อ่านเอาตามตำราแล้ว เข้าใจยากเสียเหลือเกิน
แต่เป็นบุญของผม ที่ครูของผมคือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ท่านมีสมาบัติชนิดนี้เป็นวิหารธรรม
และนักดูจิตที่ช่ำชอง พอจะเข้าใจตามที่ท่านสอนได้ ไม่ยากเกินไปนัก
ก่อนอื่น ขอเชิญอ่านพระสูตรอันน่าอัศจรรย์นี้ก่อนครับ
[๓๔๑] ดูกรอานนท์ ประการอื่นยังมีอีก
ภิกษุไม่ใส่ใจอากิญจัญญาตนสัญญา
ไม่ใส่ใจเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
ใส่ใจแต่สิ่งเดียวเฉพาะเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต
จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใส ตั้งมั่น
และนึกน้อมอยู่ในเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า เจโตสมาธิอันไม่มีนิมิตนี้แล
ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้
ก็สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง จูงใจได้นั้น
ไม่เที่ยง มีความดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อเธอรู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น
แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่าในญาณนี้ไม่มีความกระวนกระวาย
ชนิดที่อาศัยกามาสวะ ชนิดที่อาศัยภวาสวะและชนิดที่อาศัยอวิชชาสวะ
มีอยู่ก็แต่เพียงความกระวนกระวาย
คือ ความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย
เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจากกามาสวะ
สัญญานี้ว่างจากภวาสวะ สัญญานี้ว่างจากอวิชชาสวะ
และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ก็คือความเกิดแห่งอายตนะ ๖ อาศัยกายนี้เองเพราะชีวิตเป็นปัจจัย
ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณาเห็นความว่างนั้น
ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ในเจโตสมาธินั้นเลย
และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ในเจโตสมาธินั้นอันยังมีอยู่ ว่ามี
ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ เป็นการก้าวลงสู่ความว่าง
ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ
[๓๔๒] ดูกรอานนท์ สมณะหรือพราหมณ์ในอดีตกาล
ไม่ว่าพวกใดๆ ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น
ก็ได้บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่
สมณะหรือพราหมณ์ในอนาคตกาลไม่ว่าพวกใดๆ
ที่จะบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น
ก็จักบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่
สมณะหรือพราหมณ์ในบัดนี้ ไม่ว่าพวกใดๆ
ที่บรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ทั้งหมดนั้น
ย่อมบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดนี้เองอยู่
ดูกรอานนท์ เพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึงศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า
เราจักบรรลุสุญญตสมาบัติอันบริสุทธิ์ เยี่ยมยอดอยู่ ฯ(มีต่อ)