Author Topic: [กระทูููู้้้้เก่ามาเล่าใหม่] ธรรมเอกกับการเจริญสติปัฏฐาน โดยคุณ สันตินันท์  (Read 3353 times)

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
เขียนไว้เมื่อ วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 09:54:03

ผมได้นำกายคตาสติสูตรมาให้พวกเราอ่านกันแล้ว
ในกระทู้ ธรรมที่ยังพระอานนท์ให้บรรลุพระอรหันต์
ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ได้ตรงกันกับตำรารุ่นหลัง
ที่จัดเอากายคตาสติ เป็นหนึ่งในวิธีเจริญสมถกรรมฐานเท่านั้น
ในขณะที่พระศาสดาทรงแสดงกายคตาสติ
แจกแจงไปในแนวเดียวกับกายานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
และทรงแสดงอานิสงส์ว่า สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติ
บรรลุเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุติอันหาอาสวะมิได้

ความไขว้เขวว่า กายคตาสติ เป็นเรื่องของสมถกรรมฐาน
อาจเกิดจากการที่ในกายคตาสติสูตร มีการกล่าวถึง ธรรมเอก
ซึ่งธรรมเอกนี้ มีปรากฏทั่วไปในคำสอนเรื่องทุติยฌาน
อันเป็นเรื่องของสัมมาสมาธิ
นอกจากนี้ พระอภิธรรมปิฎก เล่ม 2 (พระไตรปิฎกเล่มที่ 35) วิภังคปกรณ์
ได้อธิบายธรรมเอกไว้ว่า
            [661] คำว่า เป็นธรรมเอกผุดขึ้นแก่ใจ
ได้แก่ ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ


ดังนั้นเมื่อเห็นคำว่า ธรรมเอก ก็ง่ายที่จะเชื่อว่า
กายคตาสติ เป็นเรื่องของการทำสมถกรรมฐาน
โดยมองข้ามคำสอนส่วนอื่นๆ
ที่พระศาสดาทรงแสดงไว้ในกายคตาสติสูตร

ผู้ศึกษาปริยัติธรรม อาจตีความว่า ธรรมเอก หรือสัมมาสมาธิ
เป็นเรื่องของการทำสมาธิเท่านั้น
ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับการเจริญวิปัสสนาด้วยการจำแนกรูปนาม
แต่จากประสบการณ์ของการปฏิบัติแล้ว ผมกลับเห็นว่า
ถ้าปราศจากธรรมเอก จิตย่อมไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้
เพราะจิตจะปราศจากความตั้งมั่น รู้  เป็นกลาง อ่อนโยน ควรแก่การงาน


ด้วยเหตุนี้ พระศาสดาจึงทรงสอนถึงการเตรียมจิตให้พร้อม
ก่อนการเจริญสัมมาสติอันเป็นตัวแท้ของวิปัสสนา
คือทรงสอนเรื่องสัมมาสมาธิ ให้ทำจนจิตมีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา
ซึ่งก็คือการมีธรรมเอกนั่นเอง
จากนั้นจึงน้อมจิตไปเจริญสติ(ปัญญา)
ซึ่งคำสอนแนวนี้จะพบทั่วไปในพระสูตร

อย่างไรก็ตาม ในมหาสติปัฏฐานสูตร
ท่านไม่ได้ระบุตรงๆ ว่าต้องเจริญสติปัฏฐานด้วย ธรรมเอก
แต่ทรงระบุถึงสภาพจิตที่พร้อมแก่การเจริญสติปัฏฐาน
ว่าต้องเป็นจิตที่รู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏอย่างเป็นวิหารธรรม
คือเป็นเครื่องรู้เครื่องอยู่ของจิต
ต้องมีความเพียรแผดเผากิเลส ต้องมีความรู้ตัว ต้องมีสติ
ต้องขจัดความยินดียินร้ายในโลกเสีย
เมื่อจิตมีคุณสมบัติเช่นนี้แล้ว จึงพร้อมจะเจริญสติปัฏฐานต่อไป
ซึ่งจิตที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้
ก็คือจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ หรือเป็นธรรมเอก
ที่นักปฏิบัตินิยมเรียกว่า จิตผู้รู้นั่นเอง


แต่เมื่อมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านไม่ได้เอ่ยตรงๆ
ว่าต้องมี ธรรมเอก ในระหว่างการเจริญสติปัฏฐาน
จึงยิ่งทำให้ ธรรมเอก หรือจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ
ไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายปริยัติ หนักเข้าไปอีก

จากประสบการณ์ในหมู่นักปฏิบัติอีกนั่นแหละ พบว่า
เมื่อเราเจริญกายคตาสติไปจนเต็มภูมิแล้ว
จิตจะรวมลงเป็นสัมมาสมาธิอีกคราวหนึ่ง
ซึ่งสัมมาสมาธินี้เอง เป็นเหมือนภาชนะที่รวมองค์มรรคทั้งปวงเข้าด้วยกัน
ศีล สมาธิ ปัญญาจึงรวมเข้าเป็นหนึ่ง
เป็นกำลังของอริยมรรคที่จะเกิดขึ้นต่อไป

สัมมาสมาธิ จึงเป็นสิ่งที่ต้องสร้างให้มีขึ้นก่อนเจริญสติปัฏฐาน
เพราะเป็นการเตรียมจิตให้มีสติสัมปชัญญะบริสุทธิ์นั่นเอง
และเมื่อจิตมีสติสัมปชัญญะแล้ว จึงน้อมจิตไปเจริญปัญญาต่อไป
ซึ่งก็ต้องใช้สัมมาสมาธิหรือ จิตรู้ ในระหว่างเจริญสติปัฏฐานด้วย
และสุดท้าย สัมมาสมาธิยังเป็นที่ประชุมขององค์มรรค
ภายหลังเจริญปัญญาไปจนเต็มภูมิแล้ว

ผมเคยเล่าให้พวกเราฟังมานานแล้วว่า
การเจริญสติปัฏฐานจำเป็นต้องอาศัยธรรมเอก
แต่สิ่งที่นำมากล่าวนั้น เป็นความรู้จากการปฏิบัติ
ยังไม่พบหลักฐานยืนยันในพระไตรปิฎก

จนเมื่อไม่นานมานี้เอง คุณ morning_glory (ปัจจุบันคือครูบาป๋อง)
ได้กล่าวกับผมว่า เริ่มมีความเข้าใจเรื่องธรรมเอกมากขึ้นแล้ว
แต่ถ้ามีหลักฐานในพระไตรปิฎก
เกี่ยวกับการมีธรรมเอกในระหว่างการเจริญสติปัฏฐาน
ก็จะเป็นประโยชน์และมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

ก่อนที่คุณ glory จะถามถึงหลักฐานในพระไตรปิฎก
ผมได้พบสติปัฏฐานที่ระบุถึงธรรมเอกอยู่แล้ว
จึงบอกกับ glory ว่ามีหลักฐานแน่นอนแล้ว
ซึ่งรองรับกันหมดทั้งภาคปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ
แต่เอาไว้ว่างๆ ก่อน จึงจะเขียนมาแบ่งกันอ่านต่อไป

วันนี้พอมีเวลาว่าง จึงขอยกพระสูตรอันเป็นหลักฐานสำคัญว่า
การเจริญสติปัฏฐานต้องอาศัยธรรมเอก มาแสดง ดังนี้
 
 พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค โกสลสูตร
                    ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔

      [๖๙๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่
ณ พราหมณคามชื่อโกศล ในแคว้นโกศล
ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ฯลฯ
แล้วได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลายที่เป็นผู้มาใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้
อันเธอทั้งหลายพึงให้สมาทาน พึงให้ตั้งอยู่
พึงให้ดำรงมั่นในการเจริญสติปัฏฐาน ๔
สติปัฏฐาน ๔  เป็นไฉน?

     [๖๙๒] มาเถิด ผู้มีอายุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
จงพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว
เพื่อรู้กายตามความเป็นจริง

จงพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... เพื่อรู้เวทนาตามความเป็นจริง
จงพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... เพื่อรู้จิตตามความเป็นจริง
จงพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียร  มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น
มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว
เพื่อรู้ธรรมตามความเป็นจริง.

      [๖๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัต
ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม
ก็ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
 มีธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น
มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อกำหนดรู้กาย

ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... เพื่อกำหนดรู้เวทนา
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ... เพื่อกำหนดรู้จิต
 ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส  มีจิตตั้งมั่น
มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อกำหนดรู้ธรรม.

      [๖๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นอรหันตขีณาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว
มีประโยชน์ตนถึงแล้วโดยลำดับ สิ้นสังโยชน์ที่จะนำไปสู่ภพแล้ว
หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ
ก็ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น
มีจิตมีอารมณ์เดียว พรากจากกายแล้ว

 ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... พรากจากเวทนาแล้ว
ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ...  พรากจากจิตแล้ว
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น
มีจิตมีอารมณ์เดียว พรากจากธรรมแล้ว.

      [๖๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายที่เป็นผู้มาใหม่
บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้
อันเธอทั้งหลายพึงให้สมาทาน พึงให้ตั้งอยู่
พึงให้ดำรงมั่น ในการเจริญสติปัฏฐาน ๔  เหล่านี้.
 

ผมมีข้อสังเกตหลายประการคือ

พระสูตรนี้ท่านสอนสติปัฏฐานอย่างย่อแก่พระบวชใหม่
ท่านจึงไม่ได้แสดงบทอุเทสของมหาสติปัฏฐานสูตร
อันเป็นการเตรียมจิตให้พร้อมสำหรับการเจริญวิปัสสนา
หากแต่ได้ย่นย่อเอา ธรรมเอก ซึ่งเป็นจิตที่พร้อมแล้ว
มากล่าวถึงในขั้นการเจริญสติปัฏฐานเลยทีเดียว

จุดสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ
ท่านสอนพระบวชใหม่ให้เจริญสติปัฏฐานในลักษณะ
เพื่อรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ตามความเป็นจริง

ท่านเล่าให้พระใหม่ฟังเพิ่มเติมว่า
พระเสขบุคคล คือพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอนาคามี
เจริญสติปัฏฐานเพื่อกำหนดรู้ กาย เวทนา จิต และธรรม
ทั้งนี้เพราะพระอริยบุคคลเหล่านี้
ท่านเห็นความจริงของกาย เวทนา จิต ธรรมแล้ว ว่าไม่ใช่ตัวตน ของตน
แต่จิตของท่านยังยึดถือ กาย เวทนา จิต ธรรม อยู่
จึงต้องกำหนดรู้เพื่อการพัฒนาจิตต่อไปอีก
อันเป็นกิจตามหลักของอริยสัจจ์ 4 นั่นเอง คือทุกข์ให้กำหนดรู้

ท่านเล่าให้พระใหม่ฟังเพิ่มเติมว่า
พระอรหันต์เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เพื่อสิ่งใด
เพียงแต่เจริญสติปัฏฐาน โดยมีธรรมเอก
คือมี จิตตั้งมั่น พรากจาก กาย เวทนา จิต และธรรมแล้ว

สภาวะที่จิตอันผ่องใส ตั้งมั่น มีอารมณ์อันเดียว พรากจากกาย เวทนา จิต ธรรม
เป็นสภาวะที่อธิบายยากมาก คิดตามก็ยากจะทำได้
ตราบใดที่ยังไม่รู้ธรรม และสามารถปฏิบัติจนจิตหลุดพ้นชั่วขณะจากขันธ์
ก็จะไม่เข้าใจสภาวะที่จิตพรากจากขันธ์
แต่ผมก็จะลองพยายามอธิบายให้พวกเราส่วนมากในที่นี้ฟัง
พอเป็นเครื่องบันเทิงใจ และเป็นกำลังใจในการปฏิบัติ

ปกติจิตของผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติ จะคลุกอยู่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับขันธ์
ขันธ์ทั้งก้อน รวมเป็น เรา เรา เรา อย่างเหนียวแน่น
(ที่จริงอยากใช้คำว่า เหนียวหนา  คือมันทั้งเหนียวทั้งหนาจริงๆ)
แต่พอเราเริ่มมีตัวรู้ เราจะเห็นหรือรู้สึกว่า
ระหว่างขันธ์กับจิต จะมีระยะทางหรือช่องว่างอันหนึ่ง
หรือจะว่ามีช่องว่างระหว่างจิตกับรูป จิตกับนาม และรูปกับนาม ก็ว่าได้
พวกเราจำนวนมากในที่นี้ คงเคยเห็นสภาวะอย่างนี้กันแล้ว

แต่สภาวะดังกล่าวนี้ จิตยังไม่พรากจากขันธ์
คือจิตกับขันธ์ ยังเหมือนนักมวยบนเวทีเดียวกัน
ยังต่อสู้ ชิงไหวชิงพริบกัน
ประเภทเผลอพริบตาเดียว เป็นถูกกิเลสตัณหาชกจนหัวซุกหัวซุน
หรือถ้าช่วงใด สติ ปัญญากล้าแข็ง ก็ต้อนเอากิเลสตัณหาเข้ามุม
แต่ก็ยังเอาชนะน็อกไม่ได้อย่างที่ปรารถนา

ส่วนสภาวะที่จิตพรากจากขันธ์นั้น เป็นคนละโลกเลย
ไม่ใช่สภาวะที่จิตชนะน็อกแล้วเดินลงจากเวที ไม่ใช่อย่างนั้นเลย
แต่มันเหมือนจิตมันปัดทั้งเวที นักมวยทุกฝ่าย กระทั่งกรรมการและคนดู
กระเด็นเข้าไปอยู่ในความฝันเลย
ขันธ์ที่เหลืออยู่ เหมือนความฝัน เหมือนภาพมายา เหมือนพยับแดด
จิตเหลือแต่อารมณ์อันเดียว คืออารมณ์ของความเป็นอิสรภาพ เบิกบาน ไร้ขอบเขต


จิตพระอรหันต์ เป็นจิตที่พรากจากขันธ์
สิ่งที่ท่านปฏิบัติทางกาย วาจา และใจ มันเป็นกิริยาล้วนๆ
เหมือนเดินอยู่ในความฝันลวงๆ ลมๆ แล้งๆ ไปอย่างนั้นเอง

ผมเคยรู้จักสภาพอย่างนี้เป็นคราวๆ
แล้วก็กลับมาขึ้นเวทีชกมวยต่อไปอีก
ยังไม่ทราบเหมือนกันว่า เมื่อไรจะเลิกชกได้เสียที
สำหรับพวกเราทุกคนก็ควรทำได้เช่นกัน
ขอเพียงตั้งใจชกให้ดีเท่านั้น อย่าถูกหามลงจากเวทีเสียก่อน
สักวันหนึ่ง ก็คงสามารถเหวี่ยงเวทีของขันธ์และโลก
เข้าไปอยู่ในความฝันได้เช่นกัน

หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
ผมขอเพิ่มเติมในเรื่องของสมาธิสักเล็กน้อยครับ
ตรงขณิกสมาธิที่จะใช้เจริญวิปัสสนานั้น
จิตต้องมีธรรมเอกเสียก่อน จึงจะเห็นว่า ผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้แยกออกจากกัน
ขันธ์ 5 แยกออกเป็นส่วนๆ
ทำลายฆนสัญญาคือความหมายรู้อย่างเป็นกลุ่มก้อนตัวตนลงได้
หากใครจะปฏิบัติตามแนวของคุณมะขามป้อม ก็ทำได้
คือเมื่อจิตมีอารมณ์ มีกิเลสตัณหาอะไรก็เฝ้ารู้เข้าไปเลย
แต่ช่วงแรกนี้ ยังไม่ใช่วิปัสสนาจริง
ต่อเมื่อตามรู้ ตามดูความเกิดดับของอารมณ์และปฏิกิริยาของจิตต่างๆ ไปช่วงหนึ่ง
ก็จะจับได้ว่า มีผู้รู้ ผู้ดูอยู่อันหนึ่ง
ตรงนี้แหละครับที่ ธรรมเอกเกิดขึ้นในระหว่างการเฝ้ารู้เอาตรงๆ
แล้วเห็นอารมณ์สักว่าเกิดดับไป จิตหรือธรรมเอกเป็นผู้สังเกตการณ์เฉยๆ
อันนี้จึงเป็นการเจริญวิปัสสนาด้วยขณิกสมาธิ
เพียงแต่ในช่วงแรกมันจะง่อนแง่นคลอนแคลนง่าย
ไม่เหมือนธรรมเอกที่พัฒนามาจากฌาน ซึ่งทรงกำลังมากกว่า
แต่เมื่อชำนาญมากเข้าในการจำแนกจิตกับอารมณ์
ต่อไปหากปรารถนาจะทำความสงบ ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำได้
การเจริญปัญญาได้ถึงจุด จึงสนับสนุนสมาธิได้
เช่นเดียวกับที่การทำสมาธิได้ถูกจุด ก็เป็นเครื่องหนุนเสริมการเจริญปัญญา

ตรงที่คุณมะขามป้อมกล่าวถึงการเจริญปัญญาในอุปจารสมาธินั้น
พวกเราคงเข้าใจได้ง่ายอยู่แล้ว
คราวนี้มาถึงประเด็นเกี่ยวกับอัปปนาสมาธิ
ตรงนี้จิตรวมเข้าไปภายใน ตัดความรับรู้ภายนอกทั้งหมดแล้ว
และคุณมะขามป้อมเห็นว่า จิตไปสบายๆ อยู่ แต่พิจารณาอะไรไม่ได้
อันนี้ก็จริงของคุณมะขามป้อมครับ
คือในจุดนั้น เราไม่สามารถจะคิดค้นคว้าพิจารณาธรรมใดๆ ได้อีกแล้ว

แต่ในจุดนั้น จิตยังเดินวิปัสสนาได้ด้วยตนเองครับ
สมดังที่พระสารีบุตรท่านกล่าวไว้ว่า
ในสัญญาสมาบัติ(ฌานสมาบัติที่ยังมีสัญญาอยู่) ยังสามารถเจริญวิปัสสนาได้
แต่ตรงนั้น เป็นสภาวะที่จิตรู้ แต่ไม่รู้ว่ารู้อะไร
รู้แต่ว่ามีสิ่งบางสิ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เท่านั้น

แต่จิตจะเดินวิปัสสนาเองได้นั้น
ต้องเป็นจิตที่ผ่านการอบรมเจริญวิปัสสนามาอย่างโชกโชนแล้ว
ด้วยขณิกสมาธิและอุปจารสมาธิ
จนกระทั่งจิตรู้วิธีเจริญวิปัสสนาได้โดยปราศจากความจงใจ

จบ
หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline เด็กน้อย

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 62
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย" ^^

Offline หลี่จิ้ง

  • Global Moderator
  • Full Member
  • *
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • Dhammada.net คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา
นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว