Author Topic: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] ความแปลกแยก และการคืนสู่ธรรมชาติ โดยคุณ สันตินันท์  (Read 4553 times)

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
เขียนเมื่อ วัน จันทร์ ที่ 3 เมษายน 2543 09:09:41

เมื่อวันเสาร์ได้รับเมล์สั้นๆ จากคุณมะขามป้อมฉบับหนึ่ง
เล่าถึงสภาวะบางอย่างให้ผมฟัง
และขอให้นำมาเขียนอธิบายเพิ่มเติมในกระทู้
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่จิตแปลกแยกออกจากธรรมชาติ
และจิตที่หลอมรวมเข้าเป็นอันเดียวกับธรรมชาติ

อันที่จริงสรรพสิ่งในจักรวาลก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่แล้ว
แต่จิตที่อุบัติขึ้นต่างหาก ประกอบด้วยอวิชชาหรือความไม่รู้จริง
จึงเริ่มแปลกแยกออกจากธรรมชาติอันเป็นกลางและศานติ
ด้วยการส่งออกรู้อารมณ์ภายนอก แล้วเกิดความรู้สึกแบ่งแยกขึ้นว่า
นี้(จิต)เรา นี้(อารมณ์)สิ่งภายนอก
ภาวะความเป็นคู่ก็เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา

นักปราชญ์ในลัทธิศาสนาอื่นๆ บางลัทธิศาสนา
ท่านก็เข้าใจถึงธรรมชาติเดิมของจักรวาลที่เป็นหนึ่ง
และพยายามจะกลับไปสู่ความเป็นหนึ่งนั้น
เช่นฮินดู ต้องการให้อาตมันกลับรวมเข้ากับปรมาตมัน
หรือเต๋า ก็ต้องการกลับคืนสู่ธรรมชาติเช่นกัน
แต่ความต่างระหว่างพระพุทธศาสนากับทัศนะของปราชญ์อื่นมีอยู่บางอย่าง
คือมรรคหรือวิถีที่จะกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างหนึ่ง
กับความเป็น "เรา" ซึ่งทางพระพุทธศาสนาเห็นว่าไม่มีจริง อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ใช่มี "เรา" แล้วเอา "เรา" กลับคืนสู่ธรรมชาติ

จิตที่ไปเข้าคู่รู้สิ่งภายนอกนั้น ได้มีปฏิกิริยาเกิดความคิดนึกขึ้น
เมื่อมีความคิดนึกแล้ว จิตไม่รู้ทัน
ความคิดนึกนั้นก็ปรุงแต่งครอบงำจิต
เกิดความรู้สึกว่า "เรา" ขึ้นมา แล้วก็ตามมาด้วย
"ของเรา" "เขา" และ "ของเขา"
และเมื่อเกิดกิเลสเช่นราคะและโทสะขึ้น
ก็เกิดการรุกรานเบียดเบียนกันระหว่างเราและเขาขึ้นมา
สัตว์ก็ยิ่งแปลกแยกออกจากธรรมชาติที่สงบศานติมากขึ้นตามลำดับ

สรุปแล้ว เพราะความไม่รู้ ทำให้สังขารคือความคิดนึก เข้าไปปรุงแต่งจิต
จิตก็เกิดความเป็นตัวตนขึ้นมา แล้วแปลกแยกออกจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที


ในทางกลับกัน หากเรามีสัมมาทิฏฐิ คือรู้กฏของธรรมชาติ
ว่าความทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ดับไปได้อย่างไร
มีสติสัมปชัญญะ มีธรรมเอกคือสัมมาสมาธิอันได้แก่ความตั้งมั่นของจิต
หรือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าเรา "ตื่น" หรือ "รู้ตัว" เมื่อใด
เมื่อนั้นเอง สังขารคือความคิดนึก ก็ไม่สามารถปรุงแต่งจิตได้
จิตก็ไม่เกิดความเป็น "เรา" ขึ้นมา อันเป็นการแยกตัวออกจากธรรมชาติ
และก็ไม่ต้องคิดถึงการกลับรวมเข้ากับธรรมชาติอีก
เพราะจิตเองก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว
แต่ความไม่รู้ต่างหาก ทำให้มันแยกตัวออกจากธรรมชาติ


พวกเรานักปฏิบัติหลายท่าน คงเคยสัมผัสธรรมชาติชนิดหนึ่งมาแล้ว
คือเมื่อใดมีความรู้ตัวแจ่มชัด
จะเห็นจิตที่ไม่มีรูปร่างลักษณะแสงสีใดๆ เลย
เป็นธรรมชาติรู้ล้วนๆ
ในภาวะนั้นจะไม่รู้สึกว่ามีความแปลกแยกออกจากธรรมชาติเลย
ขันธ์ 5 คือร่างกายจิตใจนี้
กลับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่บริสุทธิ์สะอาด
เหมือนแผ่นดิน เหมือนแผ่นน้ำ เหมือนภูเขา เหมือนต้นไม้
เหมือนกระทั่งดวงดาวบนฟ้า
ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีของเรา หรือของเขา
เป็นสภาวะที่เป็นตัวของตัวเอง และเบิกบานอย่างยิ่ง

สภาวะอันนี้ หลวงปู่เหรียญท่านเรียกให้ผมฟังว่า "เงานิพพาน"
ในวันที่ไปทำบุญวันเกิดลานธรรม
เมื่อผมกับตุลย์ไปนั่งอยู่ข้างๆ ท่าน
และจิตสัมผัสกับท่านแล้ว ท่านก็หันมายิ้มๆ
กล่าวว่าปฏิบัติมาถึงตรงนี้ ก็เห็น "เงานิพพาน" อยู่ในใจตนเองแล้ว

ต่อเมื่อปล่อยวางจิตผู้รู้อย่างแท้จริงแล้วนั่นแหละ จึงจะพบนิพพาน
เพราะไม่เหลือสิ่งใด ที่ถูกหยิบยกให้แปลกแยกออกจากธรรมชาติอีก
ไม่มีกระทั่งจิต เพราะจิตก็ไม่ใช่จิต
เพียงแต่เป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น
ที่มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับไป
หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline ภูหนาว

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 36
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • นักรู้
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย

Offline เด็กน้อย

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 62
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
อนุโมทนาด้วยคนค่า _/l\_

อ่านแล้วก็เกิดความสงสัยคะ (ก็รู้นะคะว่าสงสัย อิอิ)

จิตแรกเริ่มเลยเนี่ย เกิดจากความว่างใช่รึเปล่าคะ
หรือว่าเกิดจากอะไรอะคะ หนูคิดว่าน่าจะมีเหตุให้เกิด
แต่แล้วเหตุการเกิดจิตคืออะไร แง่วๆๆ เริ่มสงสัย
มากขึ้นทุกทีค่ะ ^^
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย" ^^

Offline หลี่จิ้ง

  • Global Moderator
  • Full Member
  • *
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • Dhammada.net คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา
นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

Offline โอ.เค

  • Clips
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 152
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ

Offline ลุงถนอม

  • Administrator
  • Super Member
  • *
  • Posts: 2,296
  • คะแนนความนิยม: +8/-0
  • Gender: Male
  • สติปัฏฐาน ๔ คือทางสายเดียวที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์
ตอบคุณ "เด็กน้อย" นะครับ

ถ้าผมจำไม่ผิด เคยได้ยินในเทปเสียงของหลวงปู่ดูลย์ ท่านเคยตอบคำถามนี้ว่า จิตเกิดจากการกระทบของ "นามรูป" น่ะครับ

แต่หากถามในความเห็นของผมนะครับ ผมเห็นว่า คำถามว่า "จิตเริ่มแรก" เิกิดขึ้นจากทิฎฐิ (หรือความเห็น)ว่า "จิตเที่ยง" แม้ว่าจะยอมรับว่าจิตเกิดดับ แต่ไม่ใช่เป็นการยอมรับแท้จริง หากแต่ยังรู้สึกว่าจิตดวงเก่าดวงใหม่เป็นดวงเดียวกัน ซึ่งก็คือการมีทิฎฐิว่า "จิตเที่ยง" นั่นแหละครับ

แทนที่เราจะไหลไปตามความสงสัย เราก็สังเกตเห็นความสงสัย แล้วสังเกตเห็นแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดความสงสัย เห็นเรื่อยๆบ่อยๆ เราจะเห็นได้เองว่า มันมีความรู้สึกซ่อนเร้นอยู่ภายในว่า "เราเที่ยง" "เรานี้มีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจากอดีต" "เรานี้มีมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน" หรือแม้แต่ "เราก็เป็นอย่างนี้มาแต่อดีต" อะไรประมาณนี้่น่ะครับ

ถ้าสังเกตเห็นได้เองเรื่อยๆ จะได้ "ปัญญา" จากตรงนี้ในวันหนึ่งนะครับ แต่ถ้ายังไม่เห็นก็ไม่เป็นไรครับ ก็แค่ตามรู้ตามดูไปเรื่อยๆ แล้วแต่จิตเขาจะรู้อะไร ก็รู้ ว่าเขารู้อันนั้น หรือจิตเขากำลังรู้สึกอะไร ก็รู้ ว่ากำลังมีความรู้สึกอันนั้น ไปก่อนนะครับ

ขอให้เจริญในธรรมครับ _/|\_
คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

Offline เด็กน้อย

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 62
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
ขอขอบคุณคุณลุงมากๆๆๆเลยนะคะ หนูพลาดโพสต์ตอบของคุณลุงไปได้ยังไงเนี่ย ^^
(ทั้งๆที่เข้ามาทุกวัน สงสัยช่วงที่ผ่านมาจะเบลอมากไปหน่อยค่ะ อิอิ)

หนูก็รู้สึกเหมือนที่คุณลุงอธิบายเลยค่ะ แม้จะเห็นว่าจิตเกิดดับแล้ว แต่ก็ยังรุู้สึกว่า
เหมือนเป็นดวงเดียวกัน อาจจะเพราะสัญญา หนูก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ อิอิ

หนูจะขอตามรู้ตามดูต่อไปนะคะ เผื่อวันนึงจะได้  "ปัญญา" เหมือนที่คุณลุงบอกค่ะ _/l\_ ^^
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย" ^^

Offline ม๊า

  • Newbie
  • *
  • Posts: 6
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ