สิ่งที่น่ากลัวที่สุด หาใช่พญามาร หากแต่เป็นกิเลสของเราเอง
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกหรอกนะ หากเราจะหวาดกลัวภัยที่มาจากผู้อื่น ภัยที่จะทำให้ตนเองต้องเดือนร้อน หวาดเกรงต่อผีต่อยักษ์ต่อมารและสัตว์ร้ายทั้งหลาย และทุกศาสนาก็ได้ให้หลักประกันว่าจะพ้นจากภัยเหล่านี้ทั้งนั้น
แต่พระพุทธศาสนานั้นได้ชี้ให้เห็นถึงภัยที่น่ากลัวยิ่งกว่า เป็นภัยอันเกิดจากสิ่งที่ใกล้ชิด สนิทแนบแน่น กับเราเสมอมา และได้สอนให้รู้ถึงวิธีที่จะรับมือรวมทั้งวิธีที่จะไปให้พ้นจากภัยใกล้ตัวที่น่าสะพึงกลัวยิ่งกว่า คือ กิเลสของตน
กิเลส จะชักนำพาให้เราทำในสิ่งที่ผิดๆได้ทุกอย่าง เอนกประการ และแน่นอนว่าจะนำพาเราไปสู่หายนะอย่างที่คาดไม่ถึง หลอกให้เรากระทำกรรมที่หนักหน่วงที่สุด จนไปถึงอเวจีมหานรก หรือโลกันตนรกได้ไม่ยากเลย ซึ่งผลของกรรมเหล่านี้ แม้แต่พญามารเองยังลากพาเราไปในที่นั้นๆยังไม่ได้ มีแต่กิเลสนี้แหละจะพาไป
พระพุทธศาสนาได้สอนวิธีง่ายๆให้เรารับมือกับกิเลส และไปพ้นจากอำนาจกิเลส ในเบื้องต้น ให้เราหัดรู้กาย หัดรู้ใจ รู้สภาวะต่างๆในใจ เพื่อทำให้เกิดสติ
อาศัยสติที่เราฝึกรู้กายรู้ใจบ่อยๆจนเป็นนิสัยแล้ว รู้ทันกิเลส รู้ทันจิตที่เผลอไป รู้ทันจิตที่ฟุ้งซ่านไป รู้ทันจิตที่มีความโกรธ รู้ทันจิตที่มีความเกลียด รู้ทันจิตที่มีความโลภ รู้ทันจิตที่มีราคะ กิเลสก็ไม่อาจครอบงำจิตได้ ทำให้เกิดสมาธิ จิตตั้งมั่น
อาศัยสติ อาศัยสมาธิ จิตตั้งมั่น ที่รู้ทันกิเลสทั้งหลาย เห็นกิเลสเกิดแล้วก็ดับ แล้วรู้ทันความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้น หลังจากเห็นกิเลส และรู้ทันความยินดียินร้ายที่เกิดแล้วดับ เกิดปัญญาเห็นไตรลักษณ์ของจิต
อาศัยสติ อาศัยสมาธิ อาศัยปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ จิตมารู้อยู่ที่จิต เสมอขอบเขตกับจิต ไม่นอก ไม่ใน เห็นจิตเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ บ้างจะเห็นทุกสิ่งเกิดแล้วดับ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เกิดแล้วไม่ดับ, บ้างจะเห็นทุกสิ่งเกิดแล้วดับ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่มั่นคงทนทานอยู่ได้, บ้างจะเห็นทุกสิ่งเกิดแล้วดับ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่ควบคุมบังคับได้
เห็นแล้วจิตจะเกิดความรู้รวบยอดในขณะจิตเดียว จิตเดินอริยมรรค
ที่สุด จิตจะเข้าถึงความพ้นทุกข์ เพราะอริยมรรค อริยผล...
เมื่อทำลายกิเลสลงไปได้หมดสิ้นแล้ว พญามารตนไหน เก่งกล้าสามารถเท่าใด ก็ไม่อาจทำให้ท่านนั้นเป็นทุกข์ได้อีกเลย