เขียนไว้เมื่อ วัน พฤหัสบดี ที่ 23 มีนาคม 2543 14:40:36
ผมไม่เคยคิดที่จะเป็นครูบาอาจารย์ของใคร
เพราะยังมีกิเลสต้องสะสางอีกมาก
แต่ก็มีหมู่เพื่อนแวะเวียนไปถามธรรมบ่อยครั้ง ในทุกสถานที่ที่พบกัน
(กระทั่งในห้องน้ำก็ไม่ละเว้น)
การที่ต้องอธิบายแจกแจงธรรมให้หมู่เพื่อนฟังอยู่เสมอๆ
ทำให้ผมได้พบว่า เพื่อนบางคนฟังแล้วเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้ทันที
เพื่อนบางคนเข้าใจยาก ต้องฟังแล้วฟังอีกอยู่ช่วงหนึ่งจึงปฏิบัติได้
แต่เพื่อนบางคนฟังหลายคราวแล้ว ก็ยังไม่ลงมือปฏิบัติเสียที
ถ้าจะพูดด้วยโวหารของชาววัด ก็ต้องกล่าวว่า
แต่ละคนมีอินทรีย์แก่อ่อนไม่เท่ากัน
ซึ่งก็ถูกต้องครับ แต่ยังไม่ถูกใจคนรุ่นใหม่ที่จะได้รับคำตอบเพียงแค่นี้
เพราะฟังแล้วยังไม่รู้เรื่องว่า อินทรีย์คืออะไร มันแก่อ่อนได้อย่างไร
วันนี้คิดว่าจะคุยกันอย่างสบายๆ ดังนั้นผมจะยังไม่พูดเรื่องอินทรีย์ตามตำรา
แต่จะนำประสบการณ์จริงๆ มาเล่าสู่กันฟัง
ว่าเพื่อนแต่ละประเภทที่เรียนรู้ได้ช้าเร็วผิดกันนั้น เกิดเพราะปัจจัยใดบ้าง
จากที่สังเกตมานั้น เพื่อนบางคนที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้ทันที
เพราะจิตใจในขณะนั้นมีความพร้อมหลายอย่าง
คือเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิอยู่ก่อนแล้ว
เพียงสะกิดนิดเดียวก็เข้าใจปลอดโปร่งไปหมด
นอกจากนี้ คนที่มีกำลังของสมถะสนับสนุนอยู่แล้ว
จะเข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่าย
ส่วนคนที่ไม่มีกำลังความสงบของจิตใจเป็นทุนเดิมอยู่เลย
แม้จะฟังเข้าใจด้วยเหตุผล
แต่ในขั้นลงมือปฏิบัติจริง มักจะไม่เป็นธรรมชาติ
มีการกดข่มบังคับใจอย่างรุนแรง เกิดอาการแน่น อึดอัด เป็นก้อนขึ้นมาเต็มอก
เพื่อนๆ ประเภทที่ฟังปุ๊บเข้าใจปั๊บ ปฏิบัติตามได้ทันที ก็พอมีอยู่หลายคน
แต่ส่วนมากจะเป็นประเภทที่ 2 คือต้องฟังหลายๆ ครั้ง
ลองผิดลองถูกไปสักพัก จึงจะเข้าใจได้
เพื่อนกลุ่มนี้ในช่วงแรกๆ เวลาอยู่ต่อหน้าผมจะปฏิบัติได้
หลังจากนั้นจะเริ่มหลงตามความคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
แล้วก็ต้องมาฟังซ้ำๆ เมื่อลองปฏิบัติไปนานๆ เข้า
จึงจะทราบว่า "พอดี" อยู่ตรงไหน
มีบ้างครับที่ฟังอย่างตั้งใจ แต่ไม่ยอมลงมือปฏิบัติเสียที
เพื่อนกลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็นนักคิด เป็นปัญญาชนเจ้าความคิด
มีความพยายามมากเหลือเกินที่จะฟัง เพื่อจะคิดตามให้เข้าใจเสียก่อนว่า
การปฏิบัติธรรมจะต้องทำอย่างไร ทำแล้วจะมีผลอย่างไร
ปมปัญหาอยู่ที่ตรงนี้แหละครับ
คือถ้าลงมือปฏิบัติทันที ตามที่แนะนำให้ ก็จะเข้าใจทันที
เหมือนกับที่เซ็นกล่าวว่า "พอลืมตาก็เห็นแล้ว"
แต่เพื่อนเหล่านี้ทนไม่ได้ที่จะปฏิบัติ
จึงไม่มีวันจะหมดสงสัยได้
และเมื่อไม่หมดสงสัยก็ไม่ยอมปฏิบัติ
กลายเป็นปัญหาแบบวงกลม หาจุดต้นจุดปลายไม่พบ
เมื่อคุยกันแบบไม่มีตำราแล้ว คราวนี้วกเข้าหาตำราสักหน่อยก็แล้วกันครับ
อินทรีย์/พละ 5 นั้นประกอบด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา
ผู้ที่จะปฏิบัติจำเป็นต้องอาศัยศรัทธา
คือมีความมั่นใจ และเชื่อฟังที่จะลองปฏิบัติตาม
เมื่ออยากจะลองปฏิบัติตามแล้ว ก็จะเกิดความเพียร(วิริยะ)ที่จะปฏิบัติ
การปฏิบัติก็ไม่มีอะไรมาก
ขั้นต้นก็คือการเจริญสติระลึกรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งอย่างต่อเนื่องไป
อาศัยการมีสติระลึกรู้อารมณ์อันเดียว ก็เกิดสมาธิ คือมีจิตตั้งมั่นเป็นธรรมเอก
แล้วเจริญสติด้วยจิตที่เป็นธรรมเอก
ความไม่หลง ความไม่ถูกโมหะครอบงำ ความรู้ตัวก็แจ่มชัด
และรู้เท่าทันความผันแปรของกายและจิตเรื่อยไป เป็นปัญญา
เมื่อมีปัญญาขั้นต้น คือเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของอารมณ์และจิต
เห็นชัดว่า ถ้าจิตอยากจิตยึด จิตก็ทุกข์
ก็ยิ่งเกิดความศรัทธามั่นคงในพระศาสนาหนักแน่นเข้าไปอีก
ความเพียรก็สม่ำเสมอหนักแน่น สติ สมาธิ ปัญญา
ก็หมุนเป็นเกลียวกระชับสนับสนุนกันมั่นคงหนักเข้าตามลำดับ
แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูก อินทรีย์/พละ 5 ก็ไม่สม่ำเสมอหนุนเสริมกัน
เช่นศรัทธามากไป ก็กลายเป็นงมงาย
วิริยะมากไปก็กลายเป็นเคร่งเครียด
สติมากไปจิตก็แข็งกระด้าง
สมาธิมากไปจิตก็เคลิบเคลิ้มลืมตัว
ปัญญามากไปก็ฟุ้งซ่าน
ถ้ามีอะไรมากไปน้อยไป ล้วนไม่ดีทั้งนั้น
อันนี้เป็นหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกับครูบาอาจารย์เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป
เรื่องมากไปๆ นี้ ถ้าไปคุยกับผู้เรียนตำรา
เขาจะแย้งทันทีว่า สติมากไปไม่มี
เพราะสติยิ่งมาก ย่ิงดี
อันนี้ก็เป็นเรื่องของโวหารครับ
ในความเป็นจริงไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกันเลย
เพราะสติที่เป็นสัมมาสติจริงๆ นั้น ถ้ามาก(ต่อเนื่อง) จะดีที่สุด
แต่ถ้ามากแบบแข็งกระด้าง เป็นมิจฉาสติ ก็ไม่ดีแน่
อีกอย่างหนึ่ง ผู้เรียนตำราบางคนเขาว่ามิจฉาสติไม่มี
ซึ่งก็ไม่จริงครับ ในพระไตรปิฎกท่านกล่าวถึงมิจฉาสติไว้เยอะแยะ
สติที่แข็งกระด้างที่นักปฏิบัติเราพบเห็นนั่นเอง คือตัวมิจฉาสติ
วันนี้คุยกันเท่านี้ก็แล้วกันนะครับ