Author Topic: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] พระสัทธรรม กับจิตของปุถุชน โดยคุณ สันตินันท์  (Read 3435 times)

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
เขียนเมื่อ วัน ศุกร์ ที่ 3 พฤศจิกายน 2543 08:16:23

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ  สอนธรรมไว้ประการหนึ่งไว้ว่า
พระสัทธรรมเมื่อเข้าไปตั้งอยู่ในจิตของปุถุชน ก็ย่อมกลายเป็นสัทธรรมปฏิรูป
ปัญหาก็คือ เหตุใดจิตของปุถุชนจึงทรงพระสัทธรรมของแท้ไว้ไม่ได้ ?

จิตปุถุชนไม่เหมาะกับการรองรับพระสัทธรรม ก็เพราะยังมีมิจฉาทิฏฐิ
คือมีความเห็นสุดโต่งระหว่าง สัสสตทิฏฐิหรือความมีอยู่ถาวร กับอุทเฉททิฏฐิหรือความขาดสูญ
ทั้งยังประกอบด้วยสักกายทิฏฐิ คือความเห็นว่าขันธ์ 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จิต ว่าเป็นเรา
การกำหนดจดจำธรรมใดๆ ไว้ในจิต จึงอดไม่ได้ที่จะเจือความเห็นผิด
หรือการตีความธรรมอย่างผิดๆ เอาไว้ด้วย

เรื่องของมิจฉาทิฏฐินั้น หากเกิดขึ้นกับจิตดวงใด
จิตดวงนั้นย่อมเป็นอกุสลจิตเสมอ

ในความเป็นจริงแล้ว จิตของปุถุชน มักจะเป็นเพียงอกุสลจิต และวิบากจิตเท่านั้น
น้อยนักจะเป็นกุสลจิตได้อย่างแท้จริง เว้นแต่จะเป็นกุสลจิตแบบอนุโลมเอา
เช่นผู้ที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วพิจารณาใคร่ครวญตาม
ก็พอจะน้อมใจเชื่อตามสัมมาทิฏฐิได้บ้างในขณะสั้นๆ
แต่เมื่อใดไม่ใคร่ครวญ ไม่สำรวมระวังความคิด
มิจฉาทิฏฐิก็กลับมาครอบงำจิตอีกโดยง่าย
คือจะเกิดความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา กายนี้เป็นเรา คนก็เป็นคน สัตว์ก็เป็นสัตว์จริงๆ

และหากพิจารณาในด้านของกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิต ก็จะพบว่าจิตของปุถุชนนั้น
โอกาสที่จะเกิดกุสลจิตจริงๆ คือไม่มีอกุสลในจิต เป็นไปได้น้อยยิ่ง
เพราะเว้นแต่วิบากจิตเสียแล้ว จิตส่วนมากก็จะถูกครอบงำด้วยโมหะเกือบตลอดเวลา
แม้ในขณะที่ทำบุญทำทาน ศึกษาปฏิบัติธรรม
จิตก็มักจะถูกโมหะครอบงำเอาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเสมอๆ

ตัวมิจฉาทิฏฐิก็เป็นโมหะ ตัวกิเลสครอบงำประจำจิตก็เป็นโมหะ
รวมความแล้วโมหะนี้เองเป็นข้าศึกอย่างร้ายกาจทีเดียว
จิตของปุถุชน แทบไม่มีเวลาพ้นจากอำนาจของโมหะ
จึงไม่เหลือที่ว่างพอที่จะให้พระสัทธรรมประดิษฐานลงได้จริง


โอกาสที่จิตจะรอดจากโมหะมีไม่มากนัก
เพราะจิตใจของเราเหมือนถูกขังอยู่ในเขาวงกฏที่สลับซับซ้อนมาก
ช่องทางที่จะหนีรอด มีเพียงช่องทางเล็กๆ อยู่ช่องเดียว
ถ้าปราศจากพระพุทธเจ้าชี้ช่องทางนี้แล้ว ยากนักที่เราจะพบทางออกได้เอง
และช่องทางที่จะรอดจากโมหะหรือความหลง
ก็คือการเจริญสติสัมปชัญญะหรือความไม่หลงนั่นเอง

เมื่อใดจิตเกิดสติสัมปชัญญะ เมื่อนั้นจึงเกิดกุสลจิตที่แท้จริง
แต่พวกเราที่เคยฝึกเจริญสติสัมปชัญญะ
ต่างก็ซาบซึ้งแก่ใจดีแล้วว่า เข้าใจยากและทำยากเหลือเกิน
ขนาดคนที่มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และอยากจะทำ ก็ยังทำยาก
นับประสาอะไรกับคนที่ไม่มีศรัทธามาก่อน และไม่อยากทำ
ด้วยเหตุนี้แหละ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงทรงท้อพระทัยที่จะสอน

การที่จะน้อมนำพระสัทธรรมเข้ามาประดิษฐานให้ถาวรในจิตก็ดี
การที่จะเผยแผ่พระสัทธรรมไปสู่จิตของผู้อื่นก็ดี
จึงเป็นงานที่ยากมาก เพราะต้องต่อสู้กับความไม่รู้ทั้งหลายของตนเองและผู้อื่น
แต่ถ้าพวกเราผู้มีโอกาสมากในสังคม ไม่ตั้งใจทำงานนี้
แล้วจะผลักภาระการรักษาพระสัทธรรมไปให้ใครได้ล่ะครับ
ดังนั้นอย่าประมาท นิ่งนอนใจ หรือเบื่อหน่ายท้อแท้ให้เสียเวลาเปล่า
ให้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อน้อมนำพระสัทธรรม
เข้าสู่จิตใจให้ได้โดยทั่วกันทุกๆ คนนะครับ
หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline ภูหนาว

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 36
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • นักรู้
ขอเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยพระพุทธเจ้าสืบทอดพระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ครับ  :)
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย

Offline เด็กน้อย

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 62
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
_/l\_ _/l\_ _/l\_ อนุโมทนาสาธุค่ะ

หนูจะตั้งใจปฏิบัติเพื่อน้อมนำพระสัทธรรมเข้ามาสู่จิตใจ
ให้สมกับที่หลวงพ่อท่านเมตตาอบรมสอนสั่งด้วยความเหนื่อยยากค่ะ  ^^
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย" ^^

Offline nitivit

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 73
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • ดูอย่างเดียว
ปุถุชน คือบุคคลอันโง่เขลา
การจะให้เขาปีนขึ้นมาจากหล่มแห่งความโง่นั้นต้องใช้แรงใจมหาศาลมาก
บางคนปีนขึ้นมาได้ บางคนปีนขึ้นไม่ได้ บางคนก็ด่ากลับว่า "ไม่ได้โง่นะ"
ดังนั้นผู้บอกนอกจากเหนื่อยแล้วยังเปลืองตัวอีกตะหาก

บางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมสามารถเห็นพระสัทธรรมได้แล้วจะบอกให้ผู้อื่นไหม
เพราะแค่คนใกล้ตัวบางครั้งยังอดจะเหนื่อยใจไม่ได้เลยครับ

ขอใช้กระทู้นี้กราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านที่ยอมเหนื่อยยาก
ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโชด้วยดวงจิตที่มีปิติ
สาธุ
"สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช