Author Topic: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] จุดที่ยากลำบากของการปฏิบัติธรรม โดยคุณ สันตินันท์  (Read 5035 times)

Offline หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

  • Global Moderator
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 118
  • คะแนนความนิยม: +4/-0
  • Gender: Male
เขียนเมื่อ วัน อังคาร ที่ 23 พฤษภาคม 2543 11:17:21

การปฏิบัตินั้น เท่าที่ผมสังเกตมา
พบว่ามีจุดที่ยากลำบากอยู่ 2 จุดด้วยกัน
ใครผ่าน 2 จุดนี้ได้ การปฏิบัติก็จะค่อนข้างง่าย
เพราะจิตจะพัฒนาไปได้เอง
แต่ถ้าผ่านไม่ได้
ถึงปฏิบัตินานเพียงใด ก็ยากที่จะได้ผลอันน่าเย็นใจ

จุดแรกที่ยากลำบากมากก็คือ
จุดที่จะเปลี่ยนจากผู้ไม่มีสติสัมปชัญญะ
ให้เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ หรือรู้จักสติสัมปชัญญะ
จุดนี้ยากมาก เข้าขั้นยากแสนเข็ญทีเดียว
เพราะเท่ากับการปลุก จิตที่หลับไม่รู้ตื่นมาชั่วกัปป์กัลป์
ให้ลืมตาตื่นขึ้นมา


นักปฏิบัติเกือบทั้งหมด
จะปฏิบัติไปด้วยจิตที่หลับฝัน
นั่งก็นั่งฝัน ยืนก็ยืนฝัน เดินก็เดินฝัน
เพราะอำนาจของโมหะครอบงำจิต
ซึ่งไม่ให้อะไรมากไปกว่าความสงบ
หรือปรากฏการณ์ทางจิต ที่เกิดจากความสงบ

พระป่า ท่านจะปลุกจิตให้ตื่นด้วยการบริกรรมพุทโธ
หรือกำหนดลมหายใจ หรือการทำสมถกรรมฐานอื่นๆ
จนจิตรวมเป็นหนึ่ง
แล้วจับเอาจิตผู้รู้ ที่พ้นจากการครอบงำของโมหะออกมาได้
ซึ่งการจะสังเกตเอาจิตผู้รู้ออกมาได้นั้น
ไม่ใช่ทุกคนที่ทำสมถะจะทำได้
แต่จะต้องเป็นสมถะที่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นเครื่องชี้นำเท่านั้น
สมาธิที่มีสัมมาทิฏฐิชี้นำ จึงจะเป็นสัมมาสมาธิ
หรือเป็นสมาธิที่เป็นไปเพื่อความมีสติสัมปชัญญะนั่นเอง
คือจิตจะมีสติรู้อารมณ์
และมีสัมปชัญญะรู้ตัวไม่เผลอตามอารมณ์ไป
ผลก็คือจะสามารถจำแนกอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้
ออกจากจิตผู้รู้ได้ในที่สุด
อันจะเป็นฐานของการจำแนกรูปนามเพื่อการเจริญวิปัสสนาต่อไป

พวกเราชาวเมืองทำสมาธิยาก
ก็ยังมีวิธีที่จะปลุกจิตให้ตื่นด้วยปัญญา
คือใช้ความสังเกตกายใจของตนไปเลย
จนพบว่า กายก็ถูกรู้ เวทนา สัญญา สังขาร ก็ถูกรู้
หรืออย่างที่ผมพยายามไล่จี้พวกเรานั้น
วัตถุประสงค์ก็เพื่อกระตุ้นให้จิตตื่น
และรู้จักสติสัมปชัญญะนั่นเอง

เมื่อมีจิตที่ตื่น รู้ตัว มีสติและสัมปชัญญะแล้ว
ก็จะมาถึงจุดที่ยากลำบากที่สุดอีกจุดหนึ่ง
คือ ทำอย่างไร จิตที่ตื่นเป็นแล้ว
จะตื่นได้ต่อเนื่อง ไม่หลงหลับฝันอีก


เครื่องมือเดียวที่จะช่วยให้ จิตตื่น อย่างต่อเนื่อง
คือการเจริญสติปัฏฐาน


ผู้ปฏิบัติจำเป็นต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือสิ่งบางสิ่ง
เป็น เครื่องรู้ เครื่องอยู่ของจิต หรือเป็นวิหารธรรม
เพื่อกระตุ้นความรู้ตัวของจิตให้ต่อเนื่อง
จะใช้อะไรก็ได้ ตามความถนัดของแต่ละบุคคล
เพื่อให้รู้เท่าทันกายใจของตน อย่างเป็นธรรมชาติธรรมดาที่สุด

วิหารธรรมของจิต จะเป็นอะไรก็ได้ ในกาย เวทนา จิต ธรรม
เพราะจุดสำคัญของการเจริญสติปัฏฐาน
ไม่ได้อยู่ที่ว่า รู้สิ่งใด
หากแต่อยู่ที่ว่า รู้อย่างไร
หากรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ด้วยจิตที่เป็นกลาง ปราศจากความยินดียินร้าย ก็ใช้ได้ทั้งนั้น
เพราะทำให้มีสติสัมปชัญญะต่อเนื่อง พร้อมทั้งเจริญปัญญาไปด้วย


ฝากให้พวกเราสังเกตจิตใจของตนให้ดี
ว่าการทำความรู้ตัวอยู่นั้น มี 2 ลักษณะด้วยกัน
อย่างหนึ่งรู้ตัวแล้ว จิตนิ่งๆ รวมเข้ามา อัดเข้ามา หยุดอยู่ที่รู้
ลักษณะเช่นนี้จะเหมือนมีความรู้ตัวชัดเจน
โดยไม่เห็นความจงใจ หรือความตั้งใจ ที่จะรู้ตัวให้ชัดๆ
เหมือนมี รู้ อยู่ในรู้ อีกชั้นหนึ่ง
ความรู้ตัวชนิดนี้ยังใช้ไม่ได้
เพราะจิตล็อคตัวเองให้หยุดนิ่ง หรือเป็นการเพ่งจิตนั่นเอง
ไม่สามารถเจริญปัญญาได้จริง

ไม่เหมือนความรู้ตัวที่เป็นธรรมชาติ ธรรมดา ไม่ได้จงใจจะรู้ตัว
หากแต่เจริญสติปัฏฐานไปเรื่อยๆ ไม่คาดหวังผล
เป็นลักษณะ รู้ อยู่ที่รู้ ไม่ใช่การเพ่งจ้องจิตผู้รู้
คือรู้ไปอย่างสบายๆ ถึงสิ่งที่กำลังปรากฏ
แล้วหากจิตเกิดปฏิกิริยายินดียินร้ายขึ้นมา ก็รู้เท่าทันจิตตนเองไปเรื่อยๆ
ความรู้ตัวชนิดหลังนี้แหละครับ ที่จะเป็นทางแห่งปัญญาได้จริง
 
ใครที่รู้ตัวเป็นแล้ว ขอให้เจริญสติปัฏฐานกันเข้านะครับ
จะรู้การกระทบทางกาย เช่นเท้ากระทบพื้น หลังกระทบพนักเก้าอี้
มือกระทบเม้าส์ นิ้วกระทบคีย์บอร์ด นิ้วกระทบนิ้ว นิ้วกระทบก้อนกรวด
การกระพริบตา เอี้ยวตัว กลืนน้ำลาย
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ขับถ่าย
การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้รส การได้สัมผัส
การไหวกายทั้งกาย การไหวกายบางส่วน
การเฝ้ารู้เวทนาทางกาย การเฝ้ารู้เวทนาทางใจ
การเฝ้ารู้ความเกิดดับของกุศลและอกุศลในจิต
การเฝ้ารู้ทันกลไกการทำงานของจิต ฯลฯ

เพียรรู้ให้เป็นปัจจุบัน ด้วยจิตที่สบายๆ เป็นธรรมชาติธรรมดาที่สุด
ลองดูให้ต่อเนื่องสัก 7 วัน ถ้าไม่ได้ผลก็ลองสัก 7 เดือน
ถ้ายังไม่ได้ผลอีก ก็ลองสัก 7 ปี
แล้วค่อยมาดูว่า
จะไม่ได้ผลอะไรดีงาม ขึ้นมาบ้างทีเดียวหรือ

7 ปีนั้นสั้นนิดเดียว สั้นกว่าฟ้าแลบเสียอีก
เมื่อเทียบกับเวลาที่เราเป็นเด็กจรจัด หลงทางในสังสารวัฏนี้ 
หัดรู้กาย รู้ใจ ตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง

Offline Dawnheart

  • Newbie
  • *
  • Posts: 11
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • "ทุกข์" ให้ "รู้"
"ทุกข์" ให้ "รู้"

Offline ภูหนาว

  • Jr. Member
  • **
  • Posts: 36
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • นักรู้
สาธุครับ
ชอบย่อหน้าสุดท้ายมากครับ
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท เธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ที่ต้องร้อนใจในภายหลังเลย

Offline อรุณเบิกฟ้า

  • Clips
  • Sr. Member
  • *
  • Posts: 106
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • เมตตา สันติ เจริญสติ
อนุโมทนาด้วยครับ ถูกใจย่อหน้าสุดท้ายเป็นพิเศษเช่นกันครับ  ;D
ยิ่งอยากยิ่งไม่ได้ ยิ่งแสวงหายิ่งไม่เจอ

Offline เด็กน้อย

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 62
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
 _/l\_ _/l\_ _/l\_ อนุโมทนา สาธุด้วยคนค่า ประทับใจย้อหน้าสุดท้ายเป็นพิเศษอีกคนนึงค่ะ อิอิ ^^
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย" ^^

Offline nitivit

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 73
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • ดูอย่างเดียว
อ่านตามแล้วหวาดเสียว
เพราะการที่คน ๆ หนึ่งจะตื่นขึ้นมาจริง ๆ นั้นยากมากครับ
ถ้าไม่ได้ฟังหลวงพ่อ ไม่รู้อีกกี่ชาติผมจะได้รู้อย่างนี้
ยิ่งตอนนี้ถ้าคนอื่นมาถามว่าปฏิบัติเป็นอย่างไร
แล้วตื่นคืออะไร มันเหมือนติดอยู่ที่ปาก
รู้ก็รู้อยู่ แต่ไม่รู้จะบอกอย่างไร
ยิ่งคิดถึงตัวเองที่ลองผิดมาตลอด
ยิ่งไม่รู้จะอธิบายคนอื่นเข้าใจได้อย่างไร
ได้แต่บอกว่าต้องลองดูเอง
แล้วจะรู้เอง ::)
"สติจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ" หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช

Offline หลี่จิ้ง

  • Global Moderator
  • Full Member
  • *
  • Posts: 56
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • Gender: Male
  • Dhammada.net คือความเรียบง่าย คือธรรมะ คือธรรมดา

เข้ามากราบข้อเขียนครูบาอาจารย์ครับ _/|\_ _/|\_ _/|\_
นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
ขอนอบน้อมแด่ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว ขอนอบน้อมแด่วิมุตติธรรมของท่านผู้หลุดพ้นแล้ว

Offline เด็กน้อย

  • Full Member
  • ***
  • Posts: 62
  • คะแนนความนิยม: +0/-0
  • นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา
อ่านตามแล้วหวาดเสียว
เพราะการที่คน ๆ หนึ่งจะตื่นขึ้นมาจริง ๆ นั้นยากมากครับ
ถ้าไม่ได้ฟังหลวงพ่อ ไม่รู้อีกกี่ชาติผมจะได้รู้อย่างนี้
ยิ่งตอนนี้ถ้าคนอื่นมาถามว่าปฏิบัติเป็นอย่างไร
แล้วตื่นคืออะไร มันเหมือนติดอยู่ที่ปาก
รู้ก็รู้อยู่ แต่ไม่รู้จะบอกอย่างไร
ยิ่งคิดถึงตัวเองที่ลองผิดมาตลอด
ยิ่งไม่รู้จะอธิบายคนอื่นเข้าใจได้อย่างไร
ได้แต่บอกว่าต้องลองดูเอง
แล้วจะรู้เอง ::)

โดนอีกแล้วค่ะ อิอิ แบบว่า ตอนที่คนอื่นมาถามอะคะ
หรือตอนจะบอกเค้า ว่า รู้ เป็นยังไง อะไรแบบนี้
เหมือนที่คุณ nitivit บอกเปี๊ยบเลยค่ะ
หนูก็ช่วยอธิบายเท่าที่ความสามารถหนูจะทำได้ค่ะ อิอิ ^^
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อานนท์ ปฏิบัติให้มาก ทำให้มาก แล้วจะสิ้นสงสัย" ^^