คุณสันตินันท์ เขียนไว้เมื่อ วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 10:54:33
ผมเขียนเรื่องราวของพระมหาเถระในอดีตไปแล้วหลายองค์
นับแต่ท่านพระอานันทะ ท่านพระอนุรุทธะ ท่านพระอชิตะ
คราวนี้จะขอเล่าเรื่องพระมหาเถระผู้เป็นครูบาอาจารย์พระป่ายุคนี้
คือท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ
ท่านพระอาจารย์มั่น ถือกำเนิดในสกุล แก่นแก้ว เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2413
ณ บ้านคำบง ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ท่านเคยบวชเณรตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่สึกเมื่ออายุ 17 ตามคำขอร้องของพ่อ
แล้วกลับมาบวชอีกเมื่ออายุ 22 ปี ณ วัดศรีทอง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลฯ
ท่านได้ศึกษาการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นจากท่านพระอาจารย์เสาร์ ณ วัดเลียบ
จากนั้นก็ออกปฏิบัติธรรมจนได้รับการนับถือเป็นปรมาจารย์ของพระป่ายุคนี้
ท่านละสังขารที่วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2492
ธรรมคำสอนของท่านที่พวกเรารู้จักกันมากที่สุดคือ มุตโตทัย
แต่มุตโตทัย เป็นเพียงบันทึกย่อคำสอนในช่วงปลายชีวิตของท่าน
ซึ่งท่านอาจารย์วิริยังค์ บันทึกไว้เท่านั้น
นอกจากนี้ก็มีคำบอกเล่าของศิษย์บางองค์ ว่าท่านสอนอะไรมาบ้าง
แต่ที่จะหาคำสอนของท่านแท้ๆ นั้น หายากมากครับ
กระทั่งคำถามคำตอบธรรมะ ที่เล่ากันว่า
ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์(จูม) ถาม ท่านพระอาจารย์มั่น ตอบ นั้น
เอาเข้าจริงอาจจะไม่ใช่คำสอนจริงของท่านพระอาจารย์มั่นก็ได้
ผมไปพบธรรมคำสอนที่ ท่านพระอาจารย์มั่น ประพันธ์ด้วยองค์ท่านเองเรื่องหนึ่ง
เห็นสมควรนำมาบอกกล่าวให้พวกเราเข้าใจกันด้วยภาษาปัจจุบัน
เป็นเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ 5 ดังนี้
นมตฺถุ สุคตสฺส ปญฺจ ธมฺมขนฺธานิ
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมซึ่งพระสุคตบรมศาสดาศากยมุนี สัมมาสัมพุทธเจ้า
และพระนวโลกุตรธรรม 9 ประการ
และพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น
บัดนี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวซึ่งธรรมขันธ์ โดยสังเขปตามสติปัญญาฯ
ยังมีท่านคนหนึ่งรักตัวคิดกลัวทุกข์
อยากได้สุขพ้นภัยเที่ยวผายผัน
เขาว่าสุขมีที่ไหนก็อยากไป
แต่เที่ยวหมั่นไปมาอยู่ช้านาน
นิสัยท่านนั้นรักตัวกลัวตายมาก
อยากจะพ้นแท้ๆ เรื่องแก่ตาย
วันหนึ่งท่านรู้จริงซึ่งสมุทัยพวกสังขาร
ท่านก็ปะถ้ำสนุกสุขไม่หาย
เปรียบเหมือนดังกายนี้เอง
ชะโงกดูถ้ำสนุกทุกข์คลาย
แสนสบายรู้ตัวเรื่องกลัวนั้นเบา
ดำเนินไปเมินมาอยู่หน้าเขา
จะกลับไปป่าวร้องพวกพ้องเล่า
ก็กลัวเขาเหมาว่าเป็นบ้า
สู้อยู่ผู้เดียวหาเรื่องเครื่องสงบ
เป็นอันจบเรื่องคิดไม่ติดต่อ
ดีกว่าเที่ยงรุ่มร่ามทำสอพลอ
เดี๋ยวถูกยอถูกติเป็นเรื่องเครื่องรำคาญ
ก่อนจะแสดงธรรม ท่านพระอาจารย์มั่นก็ไหว้ครูเสียก่อน
ด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย
และไม่ได้ถือว่า ธรรมที่จะบรรยายนี้เป็นธรรมของท่าน
จากนั้นจึงเล่าถึงบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็นภัยในสังสารวัฏ
เที่ยวแสวงหาทางออกไปตามที่ต่างๆ
ใครเขาว่าดีที่ไหน ก็ไปกับเขา แต่ไม่พบทางออกจากทุกข์
จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านเข้าใจเรื่องสังขารอันเป็นตัวทุกข์
และเข้าใจเหตุให้เกิดทุกข์
ด้วยการพิจารณากายของท่าน อันเป็นโพลง เป็นถ้ำที่อาศัยของจิต
จิตของท่านก็เลย "แสนสบาย รู้ตัว"
แต่ท่านก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ เพราะไม่กล้าประกาศธรรมที่เข้าใจมา
จนกระทั่งวันหนึ่ง ......
ยังมีบุรุษคนหนึ่ง คิดกลัวตายน้ำใจฝ่อ
มาหาแล้วพูดตรงๆ น่าสงสาร
ถามว่าท่านพากเพียรมาก็ช้านาน
เห็นธรรมที่จริงแล้วหรือยังที่ใจหวัง
เมื่อพญามังกรผู้ซ่อนกายถูกถามเช่นนั้นก็เกิดความเอะใจว่า
คนๆ นี้ สนใจในสิ่งที่คนอื่นไม่สนใจ
ท่านจึงเกิดความเมตตา ให้คำแนะนำถึงการปฏิบัติ ดังนี้
เอ๊ะ! ทำไมจึงรู้ใจฉัน
บุรุษนั้นก็อยากอยู่อาศัย
ท่านว่าดีดี ฉันอนุโมทนา
จะพาดูเขาใหญ่ถ้ำสนุกทุกข์ไม่มี
คือ กายคตาสติภาวนา
ชมเล่นให้เย็นใจหายเดือดร้อน
หนทางจรอริยวงศ์
จะไปหรือไม่ไปฉันไม่เกณฑ์
ไม่หลอกเล่นบอกความให้ตามจริง
เรื่องกายคตาสตินี้ ผมได้ยกทั้งกายคตาสติสูตร
และเรื่องราวการบรรลุพระอรหันต์ของท่านพระอานนท์มายืนยันแล้ว
ว่าเป็นทางแห่งเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้
หากใครยังเชื่อตำรารุ่นหลังที่ว่า กายคตาสติเป็นเพียงวิธีการทำสมถะ
ผมก็ไม่เกณฑ์ให้เชื่อเหมือนกันครับ
เพราะ "ทาง" นั้นบอกกันได้ ส่วนจะเดินหรือไม่เดิน เป็นเรื่องของท่านผู้นั้นโดยตรง
เชิญฟังธรรมของท่านพระอาจารย์มั่นต่อไปครับ
แล้วกล่าวปริศนา ท้าให้ตอบ
ปริศนานั้นว่าระวิ่งคืออะไร?
ตอบว่าวิ่งเร็วคือวิญญาณอาการใจ
เดินเป็นแถวตามแนวกัน
สัญญาตรงไม่สงสัย
ใจอยู่ในวิ่งไปมา
สัญญาเหนี่ยวภายนอกหลอกลวงจิต
ทำให้จิตวุ่นวายเที่ยวส่ายหา
หลอกเป็นธรรมต่างๆ อย่างมายา
เห็นพวกเรากำลังชอบทายปริศนาธรรม
ปราชญ์ในอดีตท่านก็ชอบทายปริศนาเหมือนกัน
อย่างเรื่องนี้ ท่านอาจารย์มั่นก็ตั้งปัญหาว่า อะไรที่วิ่งเร็ว
แล้วท่านก็ตอบว่า วิญญาณซึ่งเป็นอาการของใจ เป็นตัวที่วิ่งเร็ว
การจะทำความเข้าใจธรรมของพระป่านั้น
ขั้นแรกสุดคือต้องเชิญตำราขึ้นหิ้งก่อน
ถ้าเอาตำรามากล่าวก็จะเกิดปัญหา
แต่ถ้าเอาของจริงในใจของแต่ละคนมาตีแผ่กัน
ธรรมชนิดนี้ เป็นธรรมที่ถึงจิตถึงใจจริงๆ
เวลาที่พวกเราดูจิตกันนั้น เคยสังเกตเห็นสภาวะอันหนึ่งไหมครับ
มันเป็นสภาวะที่ยื่นออกไปจับอารมณ์ทางตา ทางหู เป็นต้น
คล้ายๆ กับใจมันยื่นงวงออกไปจับอารมณ์ ทางนั้นที ทางนี้ที
พอจับลงที่อารมณ์ปั๊บ จิตก็เกิดขึ้นทางตา ทางหู และเสวยอารมณ์นั้น
ความหยั่งรู้อารมณ์ หรือเครื่องมือพาจิตเกิดทางอายตนะ 6 นี้แหละครับ
คือสภาวะของวิญญาณที่ท่านอาจารย์มั่นกล่าวในที่นี้
หลวงปู่ดูลย์ท่านพูดน่าฟังออกไปอีกว่า
"วิญญาณเป็นพาหนะพาจิตไปเกิด หรือจะพาจิตไปไหนๆ ก็ได้"
เช่นเราต้องการรู้ว่า บนดวงจันทร์มีเทวดาหรือผีอยู่บ้างไหม
ก็หยั่งความรับรู้ หรือวิญญาณออกจากใจ เข้าไปที่ดวงจันทร์
จิตก็จะรู้ได้ว่า ที่นั้นมีเทวดาหรือไม่ เป็นต้น
จิต มโน(ใจ) วิญญาณ ในทางตำรานั้นหมายถึงสิ่งเดียวกัน
แต่นักปฏิบัติเราแยกแยะสิ่งเหล่านี้ออกไปได้อีก
ที่ตำราท่านไม่แยกไว้มาก ผมเข้าใจว่า
ท่านไม่อยากให้คนอ่านต้องฟุ้งซ่านมากด้วยความคิดนั่นเอง
วิญญาณหรือความหยั่งรู้อารมณ์นี้ มันผุดขึ้นและส่งออกไปจากใจ
ท่านจึงเรียกว่ามันเป็นอาการของใจ ไม่ใช่ใจหรือจิต
เช่นเดียวกับเวทนา สัญญา และสังขารนั่นเอง ที่เป็นอาการของใจ
ลำพังวิญญาณคือความหยั่งรู้อารมณ์ทางตา ทางหู นั้น ยังไม่มีผลให้จิตเป็นทุกข์
แต่เพราะ สัญญา คือความจำได้หมายรู้ต่างหาก ที่เข้ามาล่อลวงให้จิตหลง
ผมขอยกตัวอย่างการพิจารณาธรรมเกี่ยวกับสัญญามาเล่าให้พวกเราฟังสักหน่อย
เพื่อจะได้เห็นภาพว่า สัญญา หลอกลวงจิตได้อย่างไร
เมื่อตอนที่ผมออกไปปฏิบัติธรรมที่หนองคายเมื่อต้นเดือนนี้
วันหนึ่งเดินจงกรม เหมือนเช่นที่เดินทุกวันนั่นเอง
เริ่มเดินก็รู้การกระทบของเท้า ขวาพุท ซ้ายโธ ไปเรื่อยๆ
พอจิตขยับตัวนิดหนึ่ง จิตก็มารู้ตัวทั่วพร้อม
ก็เดินทำความรู้ตัวไปเรื่อยๆ ไม่ได้เจตนาจะพิจารณาธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
เดินๆ อยู่สัญญาก็ผุดขึ้น นึกถึงญาติโยมที่มาบวชชีพราหมณ์
พอความจำได้ผุดปั๊บ สติปัญญาซึ่งเป็นสังขารฝ่ายกุศลก็ตามทันทันที
คือจิตมันรู้ว่า ถ้ารู้ไม่ทันความปรุงแต่ง ก็จะนำทุกข์มาให้
ปัญญาก็ตัดสัญญานั้นดับลง ไม่ปรุงแต่งให้มากเรื่องต่อไป
เดินไปอีกก้าวหนึ่ง ภาพคนนั้นคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ผุดขึ้นอีก
สติปัญญารู้ทันแล้วสัญญาก็ดับลงตรงนั้นอีก
พอหูได้ยินเสียงลมพัด สัญญาก็จำได้ว่าเสียงลม
แล้วสัญญาก็ดับลงตรงนั้น
สัญญาที่ผุดเปลี่ยนเรื่องไปทุกก้าวย่างนั้น เกิดดับอยู่เพียงนั้น
จิตไม่มีน้ำหนักอะไร เพราะไม่ได้ปรุงแต่งสังขารขึ้นมา
ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้
ได้แต่มีสติ ระสึกรู้ทันสัญญา แล้วก็วางลงเพียงนั้น
ถึงจุดหนึ่งจิตก็ตัดกระแสความปรุงแต่ง เข้าไปอยู่กับธรรมชาติรู้ที่เบิกบาน
ไม่มีอะไรจะให้ปฏิบัติมากกว่านั้น
เพียงจิตรู้อริยสัจจ์ 4 แล้วตัดความปรุงแต่งขาดไป จิตก็พ้นจากทุกข์แล้ว
แต่ละวันที่ปฏิบัติธรรมนั้น จิตพิจารณาธรรมบ้าง ไม่พิจารณาบ้าง
ถ้าไม่พิจารณาก็รู้ตัวทั่วพร้อมไป ถ้าพิจารณาจิตก็ดำเนินไปเอง
อย่างเมื่อสองสามวันนี้ นอนหลับไปตอน 4 ทุ่ม แล้วไปตื่นตอนตี 1
ก็ลุกขึ้นเดินจงกรมตามกิจวัตร
ทีแรกจิตมีความง่วงแทรก ก็เดินแบบสมถะ ขวาพุท ซ้ายโธ
พอจิตมีกำลังก็ขยับมารู้ตัวทั่วพร้อม กายเบาจิตเบา
แล้วก็ระลึกถึง glory ซึ่งตอนกลางวันสนใจมาถามเรื่องสุตตสมาบัติ
ก็เลยวางจิตลงตรงมโนวิญญาณ ระหว่างผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้
ก็เห็นมโนวิญญาณที่ห่อหุ้มธรรมชาติแท้จริงอยู่
แล้วจิตก็พิจารณาว่า มโนวิญญาณนี้เกิดจากอะไร
เอาสติหยั่งแตะอยู่ที่มโนวิญญาณนั้นสบายๆ
สติปัญญาก็สาวย้อนจนพบว่า มโนวิญญาณนั้นเกิดมาจากอภิสังขาร 3 นั่นเอง
พอเอาสติหยั่งลงที่อภิสังขาร ก็รู้ว่า เพราะความไม่รู้อริยสัจจ์ 4
เมื่อสัญญาผุดขึ้น หรือเมื่อมีเวทนาแล้วสัญญาในเวทนาผุดขึ้น
สังขารก็ปรุงแต่งทันที แล้วมโนวิญญาณก็เกิดขึ้นแผ่ออกครอบคลุมธรรมชาติแท้ในจิตไว้
ตัวมายาจอมหลอกลวง ไม่มีอะไรจะเสมอด้วยสัญญา
เมื่อมันมาเจอเข้ากับจิตอวิชชาคราวใด มันจะพาให้เกิดความปรุงแต่งคราวนั้น
แล้วมโนวิญญาณก็เกิดขึ้น หยั่งลง ก่อรูปนาม ก่ออายตนะภพชาติไปตามลำดับ
กระทั่งเจตนาที่จะรู้จิตรู้อารมณ์
ก็ยังเป็นอภิสังขารฝ่ายดีบ้าง ฝ่ายตั้งมั่นบ้าง
แล้วเป็นปัจจัยให้มโนวิญญาณเกิดขึ้น
เช่นเจตนาที่จะรู้ตัว มันก็ทำให้ความรู้ตัวชัดเจนขึ้นมานิดหนึ่ง
แปลกแยกจากธรรมชาติหน่อยหนึ่ง
ไม่ใช่ความรู้ตัวที่เป็นธรรมชาติธรรมดาอย่างแท้จริง
จะข้ามภพข้ามชาติให้ได้ ก็ต้องทำลายวิญญาณให้ได้
จะดับวิญญาณได้ ก็ต้องละอภิสังขารซึ่งรวมถึงเจตนาให้ได้
จะละอภิสังขาร ก็ต้องมีสติปัญญารู้ทันตอนที่สัญญาผุดขึ้นให้ได้
ลงท้ายแล้วก็สรุปได้ว่า ความไม่รู้มีอยู่ตราบใด
ความปรุงแต่งไปตามการหลอกลวงของสัญญาก็มีอยู่ตราบนั้น
พูดเรื่องวิญญาณอาการใจ และสัญญาจอมหลอกลวงเสียนาน
ขอเชิญอ่านธรรมของท่านพระอาจารย์มั่นต่อไปครับ
ถามว่าห้าขันธ์ใครพ้นจนทั้งปวง
แก้ว่าใจสิพ้นอยู่คนเดียว
ไม่เกาะเกี่ยวพัวพันติดสิ้นพิศวง
หมดที่หลงอยู่เดียวดวง
สัญญาทะลวงไม่ได้หมายหลงตามไป
ความว่า ใจที่สัญญาหลอกลวงไม่ได้นั้น
ย่อมพ้นความหลง หมดอุปาทานขันธ์
ถามว่าที่ตายใครเขาตายที่ไหนกัน
แก้ว่าสังขารเขาตายทำลายผล
ตรงนี้ท่านสอนว่า ที่ว่าตายนั้น ไม่มีคนตาย
มีแต่สังขารที่เกิดแล้วก็ดับไป
ถามว่าสิ่งใดก่อให้ต่อวน
แก้ว่ากลสัญญาพาให้เวียน
เชื่อสัญญาจึงผิดคิดยินดี
ออกจากภพนี้ไปภพนั้นเที่ยวหันเหียน
เลยลืมจิตจำปิดสนิทเนียน
ถึงจะเพียรหาธรรมก็ไม่เห็น
เมื่อกล่าวถึงสัญญาคราวใด ผมจะนึกถึงบรรพชนไทย
ที่ท่านแปลคำว่าสัญญาว่า ความจำได้หมายรู้
สัญญาในแง่ความจำที่ผุดขึ้นนั้น ผมได้กล่าวไปแล้ว
ว่าเป็นการจำรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์
และการจำอดีตต่างๆ ได้ เรียกว่าอดีตสัญญา
ส่วนสัญญาในความหมายของความ หมายรู้นั้น
หมายถึงมุมมองของจิต เมื่อจิตไปรับรู้อารมณ์เข้า
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับธรรมของพระอริยเจ้า
จะมีสัญญาวิปลาส คือมองสิ่งต่างๆ
ในมุมของความเที่ยง ความทนอยู่ได้ และความเป็นตัวตน
ส่วนผู้ได้สดับ ก็จะพลิกมุมมองไปใช้ อนิจสัญญา ทุกขสัญญา อนัตตสัญญา
สัญญาความจำได้ กับสัญญาความหมายรู้ผิดๆ
ล้วนเป็นตัวพาก่อเกิดความปรุงแต่ง ก่อภพก่อชาติไม่สิ้นสุด
เพราะไปหลงนิยมยินดีกับสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
กับสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข กับสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ว่าเป็นตัวตนของตน
หลวงปู่มั่นท่านตบท้ายว่า
จิตที่หลงสัญญานั้น มีแต่เที่ยวร่อนเร่ไป
ไม่มีทางเห็นจิตซึ่งถูกปิดบังด้วยความเขลา
และเมื่อไม่เห็นจิต ก็ไม่มีทางเห็นธรรม
เพราะธรรมเกิดที่จิต ทั้งอกุศล กุศล และธรรมที่เป็นกลาง
เมื่อจิตถูกปิดบังไปแล้ว ธรรมก็ถูกปิดบังไปด้วย
ธรรมที่ท่านพระอาจารย์มั่นประพันธ์ไว้เรื่องนี้ ยังมีอีกยาวครับ
ถ้าจะเขียนรวดเดียวให้พวกเราอ่าน ก็จะหนักเกินไป
คิดว่าทะยอยเขียน ทะยอยอ่านจะสบายกว่า
ดังนั้น จึงขอโพสต์แต่เพียงเท่านี้ก่อนครับ แล้วจะค่อยเขียนเพิ่มภายหลัง