1
คุยกันในสวน / [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] เรียนตำรา ว่าด้วยจิต โดย คุณสันตินันท์
« on: Tue 8 Feb 11, 06:46:05 »
เขียนไว้เมื่อ วัน เสาร์ ที่ 23 กันยายน 2543 20:47:13
เมื่อแรกผมคิดว่า จะไม่เขียนเรื่องเปรียบเทียบปริยัติกับปฏิบัติอีกแล้ว
แต่คุณดังตฤณ ขอให้ผมเขียนเรื่องอีกสักหน่อยเถิด
ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีนักปฏิบัติที่ไหนจะยอมเสียเวลากับเรื่องนี้
ดังนั้นเพื่ออนุโลมตามคำเรียกร้องของคุณดังตฤณ
จึงขอเขียนอีกสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกันครับ
ต่อไปนี้ไม่เขียนแล้วนะครับ ไม่อยากมีปัญหา
และในฐานะที่พวกเราสนใจการดูจิต จึงขอเขียนเรื่องจิตก็แล้วกัน
แต่ก่อนจะเข้าเรื่องของจิต ขอออกนอกเรื่องไปสู่เรื่องที่กำลังเถียงกันในลานธรรม
คือเรื่องที่ว่าพระอรหันต์หัวเราะได้หรือไม่ ซึ่งคุณดังตฤณก็ได้แสดงแล้วว่า
ไม่มีหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎกว่า พระอรหันต์หัวเราะไม่ได้
ความจริงแล้วเรื่องพระอรหันต์หัวเราะไม่ได้
เป็นทัศนะของสำนักอภิธรรมบางฝ่ายเท่านั้น
แต่สำนักที่มาตรฐานเช่น อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาจุฬาฯ วัดมหาธาตุ
มีสอนอย่างชัดเจนว่า พระอรหันต์หัวเราะได้
อยู่ในเรื่องวิญญัติรูป คืออาการพิเศษที่ทำให้รู้ความประสงค์ด้วยการเคลื่อนไหวกาย
ซึ่งการยิ้มและการหัวเราะ ก็คืออาการอย่างหนึ่งนั่นเองเพื่อจะแสดงถึงความโสมนัสยินดี
ส่วนจิตที่ทำให้เกิดรูป (ในที่นี้คือเกิดวิญญัติรูปของการหัวเราะ) เรียกว่าจิตตชรูป
จิตตชรูปที่ทำให้เกิดการยิ้มและหัวเราะในปุถุชนมี 8 ดวง
ได้แก่โลภมูลโสมนัส 4 และมหากุศลโสมนัส 4
จิตตชรูปที่ทำให้เกิดการยิ้มและหัวเราะในพระอริยะที่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์มี 6 ดวง
คือจิตโสมนัสที่ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ 2 และมหากุศลโสมนัส 4
สำหรับพระอรหันต์ หัวเราะได้ด้วยจิต 5 ดวงคือ หสิตุปาทจิต 1
และมหากิริยาโสมนัส 4
(ชื่อจิตชนิดต่างๆ อีกสักครู่ก็จะเข้าใจครับ อภิธรรมไม่ยากอย่างที่คิดหรอกครับ)
ผมเข้าใจว่าผู้ที่สับสนถึงขั้นรอนสิทธิ์ไม่ให้พระอรหันต์หัวเราะนั้น
เกิดขึ้นเพราะไปอ่านพบว่า การยิ้มและหัวเราะต่างๆ มี 6 อย่างคือ
สิตะ เป็นการแสดงความยินดีในใบหน้า
หสิตะ คือยิ้มเห็นไรฟัน
วิหสิตะ คือหัวเราะเบาๆ
อุปหสิตะ คือหัวเราะโยกไหล่โคลงศีรษะ
อปหสิตะ คือหัวเราะจนน้ำตาไหล
อติหสิตะ คือหัวเราะจนไหวไปทั้งตัว
คราวนี้พออ่านพบว่า หสิตุปบาทจิต เป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์ยิ้มแย้ม
ก็เลยสรุปว่า พระอรหันต์ต้องยิ้มแบบหสิตะ คือยิ้มเห็นไรฟันเท่านั้น
ลืมไปสนิทว่า พระอรหันต์ยังหัวเราะได้ด้วย มหากิริยาโสมนัส 4
เลยกลายเป็นทำบาปทำกรรมแบบไม่รู้ตัวไปเรื่อยๆ ด้วยการเที่ยวพยากรณ์พระอรหันต์
**********************************
มาคุยกันเรื่องจิตดีกว่าครับ ตำราอภิธรรมชั้นหลังรวบรวมจิตขึ้นได้ 89/121 ดวง
ในขั้นแรกนี้ เราพูดเรื่องจิต 89 ดวงก็แล้วกันครับ
ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วก็เข้าใจจิต 121 ดวงได้ไม่ยากเลย
ในเบื้องต้นตำราแบ่งกลุ่มของจิตเป็น 4 กลุ่ม ตามภพภูมิต่างๆ นั่นเอง
คือกามาวจรจิต (หรือจิตที่เที่ยวไปในกาม) รูปาวจรจิต (รูป)
อรูปปาวจรจิต (อรูป) และโลกุตรจิต (จิตเหนือโลก)
จิตที่เที่ยวไปในกามภพ เป็นจิตที่ยังกระพร่องกระแพร่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ก็เลยมีมากชนิดหน่อย ทั้งที่เป็นอกุศล คือประกอบด้วยกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
ทั้งที่เป็นกุศล ทั้งที่เป็นวิบาก และเป็นกิริยาเฉยๆ
เรามาเริ่มรู้จักที่อกุศลจิตชนิดที่มีราคะหรือโลภะแทรกเสียก่อนก็แล้วกันครับ
โลภมูลจิต มีอยู่ทั้งหมด 8 ดวง 8 นี้เป็นผลคูณของ 2 x 2 x 2
2 ตัวแรก มองถึง ที่มาของจิต ว่าเป็นจิตที่ถูกชักชวนหรือมีสิ่งเร้าหรือไม่
เช่นที่อยากดูหนังนั้น เพื่อนชวนหรือเปล่า หรือว่าผ่านหน้าโรงหนังแล้วเลยเข้าไปดูเอง
2 ตัวที่ 2 มองถึง เวทนาที่เกิดกับจิต ซึ่งจิตโลภจะมีเวทนา 2 อย่างเท่านั้น
คือสุขเวทนาทางใจ ซึ่งอภิธรรมเรียกว่าโสมนัสเวทนา
กับความเฉยๆ หรืออทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอภิธรรมเรียกว่าอุเบกขาเวทนา
ส่วนทุกขเวทนาไม่มี ถ้ามีทุกขเวทนามันจะกลายเป็นโทสมูลจิตไป
2 ตัวที่ 3 มองถึงความโง่และความฉลาดของจิต
คือมองว่าจิตดวงนั้นประกอบด้วยความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่า
เอาตัวแปรทั้ง 3 ชุด ชุดละ 2 ตัวนี้มาจับกลุ่มกันเข้า มันก็จะกลายเป็นจิตโลภ 8 ดวง
เช่นจิตดวงหนึ่งเป็นจิตที่เกิดโดยมีสิ่งเร้าหรือชักชวน เกิดพร้อมกับความโสมนัส
และประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ
เห็นไหมครับว่า จริงๆ แล้วไม่ได้ยากอะไรเลย
สำหรับโทสมูลจิตมันมีน้อยแค่ 2 ดวงเท่านั้น
คือมันประกอบด้วยโทมนัสเวทนาเหมือนๆ กัน ประกอบด้วยความขัดใจเหมือนกัน
แต่แยกกันด้วยเรื่องที่ว่า มันเกิดขึ้นโดยมีสิ่งเร้าหรือชักชวน หรือไม่เท่านั้น
ส่วนโมหมูลจิตก็มี 2 ดวง คือมันประกอบด้วยอุเบกขาเวทนาทั้งคู่
แต่ดวงหนึ่งประกอบด้วยวิจิกิจฉาความสงสัย อีกดวงหนึ่งประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน
เป็นไงครับ เรารู้จักจิตรวดเดียว 12 ดวงแล้ว
ถัดไปผมขอข้ามลำดับไม่เรียงตามตำรา แต่จะไปพูดถึงกุศลจิตเสียก่อน
ตำราเรียกให้โก้ๆ ว่า มหากุศลจิต มีอยู่ 8 ดวง ตามสูตร 2 x 2 x 2 เช่นกัน
จิตกลุ่มนี้เหมือนกับโลภมูลจิตทุกอย่างครับ ผิดกันตรงที่ว่า
โลภมูลจิตเอาตัวแปรว่ามีมิจฉาทิฏฐิหรือไม่ เข้ามาเป็นตัวคูณตัวหนึ่ง
แต่มหากุศลจิตไม่มีมิจฉาทิฏฐิ แต่เอาญาณหรือปัญญามาเป็นตัวคูณแทน
เช่นดวงแรก ได้แก่จิตที่เกิดโดยไม่มีการชักชวน มีความโสมนัส ประกอบด้วยปัญญา
ดวงที่ 2 ได้แก่จิตที่มีการชักชวน (เช่นเพื่อนชวนไปทำบุญ) มีโสมนัส มีปัญญา
เป็นต้น
ผ่านไปอีก 8 ดวง รวม 20 ดวงแล้วนะครับ
คราวนี้มาถึงมหากิริยาจิต อีก 8 ดวง ซึ่งที่จริงก็คือ มหากุศลจิตนั่นเอง
แต่เกิดในพระอรหันต์ ที่เรียกว่ากิริยาก็เพราะท่านอยู่เหนือดีเสียแล้ว
แล้วก็ยังมีมหาวิบากจิต อีก 8 ดวง รายละเอียดองค์ประกอบเหมือนกับมหากุศลจิตหากแต่เป็นวิบากจิต ไม่ใช่จิตที่จะกระทำกุศลหรืออกุศลได้
ทั้งมหากุศลจิต มหาวิปากจิต และมหากิริยาจิต รวมเรียกว่ากลุ่มกามาวจรโสภณจิต
รวมแล้วได้ 24 ดวง บวกกับที่กล่าวมาแล้วคืออกุศลจิตอีก 12 ดวง
เท่ากับว่าเราทำความรู้จักจิตกันมาแล้ว 36 ดวง
ถัดไปเป็นจิตที่เที่ยวไปในรูป(ภพ) เรียกเสียเพราะเลยว่า รูปาวจรโสภณจิต 15 ดวง
ทำไมจึงต้องเป็น 15 ก็เพราะมาจากสูตร 5 x 3 เท่านั้นเองครับ
5 มาจากรูปฌาน 5 (ฌานในพระสูตรท่านแยกรูปฌานไว้เพียง 4 ชั้น
แต่พระอภิธรรมแยกให้เป็น 5 ชั้น
คือปฐมฌานในพระสูตรและพระอภิธรรม
ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา เหมือนๆ กัน
พอขึ้นทุติยฌาน พระสูตรก็ตัดวิตกวิจารออก 2 ตัวเลย เหลือแค่ปีติ สุข เอกัคตา
ส่วนพระอภิธรรม ตัดวิตกตัวเดียว ยังมีวิจาร ปีติ สุข เอกัคตา
พอถึงฌานที่ 3 ของพระอภิธรรมจึงเหลือเพียงปีติ สุข เอกัคตา
เหมือนฌานที่ 2 ในพระสูตร
ถัดจากนั้นก็เหมือนๆ กันครับ)
3 มาจากชนิดของจิต ว่า (1) จิตดวงนั้นเป็นกุศลจิต
หรือ (2) เป็นวิบากจิตอันเป็นผลของกุศล
หรือ (3) เป็นการเข้าฌานของพระอรหันต์ซึ่งท่านเหนือดีเหนือชั่วไปแล้ว
จิตของท่านจึงไม่เรียกว่ากุศลจิต แต่เรียกว่ากิริยาจิต
3 นี้ พูดให้ง่ายจึงได้แก่ กุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต
ผ่านไป 51 ดวงแล้วครับ
ถัดไปเป็นอรูปปาวจรจิตมี 12 ดวง มาจากสูตร 4 x 3
4 คืออรูปฌาน 4
ส่วน 3 ก็คือกุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต
รวม 63 ดวงแล้ว เห็นไหมครับว่าไม่ยากหรอกครับ
คราวนี้มาถึงจิตชนิดที่พวกเราไม่คุ้นเคยกัน ผมจึงนำมาพูดทีหลังเพื่อไม่ให้กลุ้มใจ
ได้แก่ อเหตุกวิปากจิต 15 ดวง
จิตกลุ่มนี้คิดเป็นสูตรยากนิดหน่อยครับ
คือมันเป็นวิบากจิตเหมือนๆ กัน เป็นผลของกุศลและอกุศล
และทำงานค่อนข้างไปทางอัตโนมัติ
ขั้นแรกสุด เราลองนึกถึงอายตนะทั้ง 5 คือตา หู จมูก ลิ้น และกายนะครับ
ความสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น 4 อย่างนี้เป็นการสัมผัสแล้วเกิดความรู้สึกเฉยๆ เท่านั้น
เช่นตาที่เห็นรูปนั้น มันเห็นเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าสุขว่าทุกข์อะไร
ส่วนการสัมผัสทางกายนั้น มีสุขมีทุกข์ได้ เช่นถูกทุบเบาๆ เรียกว่านวด รู้สึกสุข
แต่ถ้านวดแรงๆ ด้วยไม้หน้าสาม ก็รู้สึกว่าทุกข์
อเหตุกวิปากจิตกลุ่มแรกเกี่ยวเนื่องกับอายตนะทั้ง 5 นี้เอง
ได้แก่วิญญาณทางตา หู จมูก และลิ้น (4 อย่าง) ซึ่งเกิดพร้อมอุเบกขาทั้งสิ้น
แต่ถึงกระนั้น ตำราก็อุตส่าห์แยกออกไปอีก
ว่ามันเป็นวิญญาณที่รู้อารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี
(ถ้าสิ่งที่มากระทบเป็นสิ่งดี ก็แสดงว่าจิตดวงนั้นเป็นวิบากที่ดี
เช่นมีเสียงเพราะๆ มาให้รับรู้
ถ้าสิ่งที่มากระทบไม่ดี ก็เป็นวิบากไม่ดี)
จิตกลุ่มนี้ก็เลยเข้าสูตรได้อีกแล้ว คือ 4 x 2 เป็น 8 ดวง
คราวนี้ก็มีถึงวิญญาณทางกายเป็นวิบากจิตมี 2 ดวง
คือถ้าเป็นวิบากดี สิ่งที่มากระทบจึงดี จิตดวงนี้ก็เกิดพร้อมความสุข
(ตามตำราอภิธรรม ถ้าเป็นสุขกายจะเรียกว่าสุข ส่วนสุขใจเรียกว่าโสมนัส)
ถ้าเป็นวิบากไม่ดี สิ่งที่มากระทบจึงไม่ดี จิตดวงนี้ก็เกิดพร้อมความทุกข์
รวมอเหตุกวิปากจิตทางกายคือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายได้ 10 ดวงแล้วนะครับ
อีก 5 ดวงที่เหลือเป็นจิตที่จะเข้าใจได้ ต้องรู้เรื่องวิถีจิต ที่ผมเขียนไปแล้ว
คือเป็นสัมปฏิจฉันนจิต หรือจิตที่รับอารมณ์ทั้ง 5 เกิดพร้อมกับอุเบกขา
มี 2 ดวงคือจิตที่รับอารมณ์ที่ดี กับที่ไม่ดี
และเป็นสันตีรณจิต คือจิตที่มีหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ทางทวารทั้ง 5 ว่ามันคืออะไร
เป็นจิตที่ประกอบด้วยอุเบกขา 2 ดวง ทำหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ที่ดีกับไม่ดี
ส่วนดวงสุดท้ายของสันตีรณจิต ทำหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ที่ดี แต่ประกอบด้วยโสมนัส
เราพูดกันถึงจิต 63 + 15 หรือ 78 ดวงไปแล้วนะครับ
จิตกลุ่มต่อไปเรียกว่า อเหตุกกิริยาจิต มี 3 ดวงเท่านั้น
ได้แก่จิตที่ทำหน้าที่จำแนกอารมณ์ที่มากระทบทวารทั้ง 5
ว่ามันมาทางใด จะได้ส่งสัญญาณให้เกิดวิญญาณทางนั้น
เรียกว่าปัญจทวารวัชชนจิต
กับจิตที่พิจารณาอารมณ์เพื่อจะตัดสินให้เป็นกุศล อกุศล หรือกริยาเพื่อจะเสพย์ต่อไป
เรียกว่า มโนทวารวัชชนจิต
ตัวสุดท้ายคือตัวเจ้าปัญหา ที่เรียกว่า หสิตุบาทจิต
ตำราว่าเป็นจิตที่ทำให้เกิดอาการยิ้มในพระอรหันต์ ประกอบด้วยโสมนัส
(เรื่องจิตพระอรหันต์ จะแยกไปกล่าวรวมกันในตอนท้ายนะครับ)
รวมจิตที่กล่าวไปแล้วได้ 81 ดวง ยังมีโลกุตรจิตอีก 8 ดวง
ได้แก่มรรคจิต 4 และผลจิต 4 เช่นอรหัตตมรรคจิต อรหัตตผลจิต
ครบ 89 ดวงแล้วครับ แล้วถ้าจะทำให้พิสดารออกไปอีกเป็น 121 ดวงก็ง่ายๆ
เอาฌาน 5 เป็นตัวคูณเข้าไป ก็กลายเป็นโลกุตรจิต 40 ดวง
เช่นอรหัตตมรรคจิตที่ประกอบด้วยปฐมฌาน ก็เป็นดวงหนึ่ง
ประกอบด้วยทุติยฌาน ก็เป็นอีกดวงหนึ่ง เป็นต้น
สรุปแล้ว จิต 89 หรือ 121 ดวงประกอบด้วย
อกุศลจิต 12 ดวง (เป็นโลภจิตเสีย 8 ดวง เป็นโทสะและโมหะอย่างละ 2 ดวง)
อเหตุกจิต 18 ดวง กามาวจรโสภณจิต 24 ดวง รูปาวจรจิต 15 ดวง
อรูปาวจรจิต 12 ดวง และโลกุตรจิตอีก 8 หรือ 40 ดวง
ความจริงยังมีวิธีแบ่งกลุ่มจิตแบบอื่นๆ อีกหลายวิธีครับ
เช่นแบ่งตามชาติกำเนิดของจิต คืออกุศลจิต กุศลจิต วิบากจิต และกริยาจิต
แบ่งตามโลกียจิต และโลกุตรจิต เป็นต้น
แต่รวมแล้วยังเป็น 89/121 ดวงดังเดิม
***********************************
(มีต่อ)
เมื่อแรกผมคิดว่า จะไม่เขียนเรื่องเปรียบเทียบปริยัติกับปฏิบัติอีกแล้ว
แต่คุณดังตฤณ ขอให้ผมเขียนเรื่องอีกสักหน่อยเถิด
ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีนักปฏิบัติที่ไหนจะยอมเสียเวลากับเรื่องนี้
ดังนั้นเพื่ออนุโลมตามคำเรียกร้องของคุณดังตฤณ
จึงขอเขียนอีกสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกันครับ
ต่อไปนี้ไม่เขียนแล้วนะครับ ไม่อยากมีปัญหา
และในฐานะที่พวกเราสนใจการดูจิต จึงขอเขียนเรื่องจิตก็แล้วกัน
แต่ก่อนจะเข้าเรื่องของจิต ขอออกนอกเรื่องไปสู่เรื่องที่กำลังเถียงกันในลานธรรม
คือเรื่องที่ว่าพระอรหันต์หัวเราะได้หรือไม่ ซึ่งคุณดังตฤณก็ได้แสดงแล้วว่า
ไม่มีหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎกว่า พระอรหันต์หัวเราะไม่ได้
ความจริงแล้วเรื่องพระอรหันต์หัวเราะไม่ได้
เป็นทัศนะของสำนักอภิธรรมบางฝ่ายเท่านั้น
แต่สำนักที่มาตรฐานเช่น อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาจุฬาฯ วัดมหาธาตุ
มีสอนอย่างชัดเจนว่า พระอรหันต์หัวเราะได้
อยู่ในเรื่องวิญญัติรูป คืออาการพิเศษที่ทำให้รู้ความประสงค์ด้วยการเคลื่อนไหวกาย
ซึ่งการยิ้มและการหัวเราะ ก็คืออาการอย่างหนึ่งนั่นเองเพื่อจะแสดงถึงความโสมนัสยินดี
ส่วนจิตที่ทำให้เกิดรูป (ในที่นี้คือเกิดวิญญัติรูปของการหัวเราะ) เรียกว่าจิตตชรูป
จิตตชรูปที่ทำให้เกิดการยิ้มและหัวเราะในปุถุชนมี 8 ดวง
ได้แก่โลภมูลโสมนัส 4 และมหากุศลโสมนัส 4
จิตตชรูปที่ทำให้เกิดการยิ้มและหัวเราะในพระอริยะที่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์มี 6 ดวง
คือจิตโสมนัสที่ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ 2 และมหากุศลโสมนัส 4
สำหรับพระอรหันต์ หัวเราะได้ด้วยจิต 5 ดวงคือ หสิตุปาทจิต 1
และมหากิริยาโสมนัส 4
(ชื่อจิตชนิดต่างๆ อีกสักครู่ก็จะเข้าใจครับ อภิธรรมไม่ยากอย่างที่คิดหรอกครับ)
ผมเข้าใจว่าผู้ที่สับสนถึงขั้นรอนสิทธิ์ไม่ให้พระอรหันต์หัวเราะนั้น
เกิดขึ้นเพราะไปอ่านพบว่า การยิ้มและหัวเราะต่างๆ มี 6 อย่างคือ
สิตะ เป็นการแสดงความยินดีในใบหน้า
หสิตะ คือยิ้มเห็นไรฟัน
วิหสิตะ คือหัวเราะเบาๆ
อุปหสิตะ คือหัวเราะโยกไหล่โคลงศีรษะ
อปหสิตะ คือหัวเราะจนน้ำตาไหล
อติหสิตะ คือหัวเราะจนไหวไปทั้งตัว
คราวนี้พออ่านพบว่า หสิตุปบาทจิต เป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์ยิ้มแย้ม
ก็เลยสรุปว่า พระอรหันต์ต้องยิ้มแบบหสิตะ คือยิ้มเห็นไรฟันเท่านั้น
ลืมไปสนิทว่า พระอรหันต์ยังหัวเราะได้ด้วย มหากิริยาโสมนัส 4
เลยกลายเป็นทำบาปทำกรรมแบบไม่รู้ตัวไปเรื่อยๆ ด้วยการเที่ยวพยากรณ์พระอรหันต์
**********************************
มาคุยกันเรื่องจิตดีกว่าครับ ตำราอภิธรรมชั้นหลังรวบรวมจิตขึ้นได้ 89/121 ดวง
ในขั้นแรกนี้ เราพูดเรื่องจิต 89 ดวงก็แล้วกันครับ
ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วก็เข้าใจจิต 121 ดวงได้ไม่ยากเลย
ในเบื้องต้นตำราแบ่งกลุ่มของจิตเป็น 4 กลุ่ม ตามภพภูมิต่างๆ นั่นเอง
คือกามาวจรจิต (หรือจิตที่เที่ยวไปในกาม) รูปาวจรจิต (รูป)
อรูปปาวจรจิต (อรูป) และโลกุตรจิต (จิตเหนือโลก)
จิตที่เที่ยวไปในกามภพ เป็นจิตที่ยังกระพร่องกระแพร่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ก็เลยมีมากชนิดหน่อย ทั้งที่เป็นอกุศล คือประกอบด้วยกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
ทั้งที่เป็นกุศล ทั้งที่เป็นวิบาก และเป็นกิริยาเฉยๆ
เรามาเริ่มรู้จักที่อกุศลจิตชนิดที่มีราคะหรือโลภะแทรกเสียก่อนก็แล้วกันครับ
โลภมูลจิต มีอยู่ทั้งหมด 8 ดวง 8 นี้เป็นผลคูณของ 2 x 2 x 2
2 ตัวแรก มองถึง ที่มาของจิต ว่าเป็นจิตที่ถูกชักชวนหรือมีสิ่งเร้าหรือไม่
เช่นที่อยากดูหนังนั้น เพื่อนชวนหรือเปล่า หรือว่าผ่านหน้าโรงหนังแล้วเลยเข้าไปดูเอง
2 ตัวที่ 2 มองถึง เวทนาที่เกิดกับจิต ซึ่งจิตโลภจะมีเวทนา 2 อย่างเท่านั้น
คือสุขเวทนาทางใจ ซึ่งอภิธรรมเรียกว่าโสมนัสเวทนา
กับความเฉยๆ หรืออทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอภิธรรมเรียกว่าอุเบกขาเวทนา
ส่วนทุกขเวทนาไม่มี ถ้ามีทุกขเวทนามันจะกลายเป็นโทสมูลจิตไป
2 ตัวที่ 3 มองถึงความโง่และความฉลาดของจิต
คือมองว่าจิตดวงนั้นประกอบด้วยความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่า
เอาตัวแปรทั้ง 3 ชุด ชุดละ 2 ตัวนี้มาจับกลุ่มกันเข้า มันก็จะกลายเป็นจิตโลภ 8 ดวง
เช่นจิตดวงหนึ่งเป็นจิตที่เกิดโดยมีสิ่งเร้าหรือชักชวน เกิดพร้อมกับความโสมนัส
และประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ
เห็นไหมครับว่า จริงๆ แล้วไม่ได้ยากอะไรเลย
สำหรับโทสมูลจิตมันมีน้อยแค่ 2 ดวงเท่านั้น
คือมันประกอบด้วยโทมนัสเวทนาเหมือนๆ กัน ประกอบด้วยความขัดใจเหมือนกัน
แต่แยกกันด้วยเรื่องที่ว่า มันเกิดขึ้นโดยมีสิ่งเร้าหรือชักชวน หรือไม่เท่านั้น
ส่วนโมหมูลจิตก็มี 2 ดวง คือมันประกอบด้วยอุเบกขาเวทนาทั้งคู่
แต่ดวงหนึ่งประกอบด้วยวิจิกิจฉาความสงสัย อีกดวงหนึ่งประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน
เป็นไงครับ เรารู้จักจิตรวดเดียว 12 ดวงแล้ว
ถัดไปผมขอข้ามลำดับไม่เรียงตามตำรา แต่จะไปพูดถึงกุศลจิตเสียก่อน
ตำราเรียกให้โก้ๆ ว่า มหากุศลจิต มีอยู่ 8 ดวง ตามสูตร 2 x 2 x 2 เช่นกัน
จิตกลุ่มนี้เหมือนกับโลภมูลจิตทุกอย่างครับ ผิดกันตรงที่ว่า
โลภมูลจิตเอาตัวแปรว่ามีมิจฉาทิฏฐิหรือไม่ เข้ามาเป็นตัวคูณตัวหนึ่ง
แต่มหากุศลจิตไม่มีมิจฉาทิฏฐิ แต่เอาญาณหรือปัญญามาเป็นตัวคูณแทน
เช่นดวงแรก ได้แก่จิตที่เกิดโดยไม่มีการชักชวน มีความโสมนัส ประกอบด้วยปัญญา
ดวงที่ 2 ได้แก่จิตที่มีการชักชวน (เช่นเพื่อนชวนไปทำบุญ) มีโสมนัส มีปัญญา
เป็นต้น
ผ่านไปอีก 8 ดวง รวม 20 ดวงแล้วนะครับ
คราวนี้มาถึงมหากิริยาจิต อีก 8 ดวง ซึ่งที่จริงก็คือ มหากุศลจิตนั่นเอง
แต่เกิดในพระอรหันต์ ที่เรียกว่ากิริยาก็เพราะท่านอยู่เหนือดีเสียแล้ว
แล้วก็ยังมีมหาวิบากจิต อีก 8 ดวง รายละเอียดองค์ประกอบเหมือนกับมหากุศลจิตหากแต่เป็นวิบากจิต ไม่ใช่จิตที่จะกระทำกุศลหรืออกุศลได้
ทั้งมหากุศลจิต มหาวิปากจิต และมหากิริยาจิต รวมเรียกว่ากลุ่มกามาวจรโสภณจิต
รวมแล้วได้ 24 ดวง บวกกับที่กล่าวมาแล้วคืออกุศลจิตอีก 12 ดวง
เท่ากับว่าเราทำความรู้จักจิตกันมาแล้ว 36 ดวง
ถัดไปเป็นจิตที่เที่ยวไปในรูป(ภพ) เรียกเสียเพราะเลยว่า รูปาวจรโสภณจิต 15 ดวง
ทำไมจึงต้องเป็น 15 ก็เพราะมาจากสูตร 5 x 3 เท่านั้นเองครับ
5 มาจากรูปฌาน 5 (ฌานในพระสูตรท่านแยกรูปฌานไว้เพียง 4 ชั้น
แต่พระอภิธรรมแยกให้เป็น 5 ชั้น
คือปฐมฌานในพระสูตรและพระอภิธรรม
ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา เหมือนๆ กัน
พอขึ้นทุติยฌาน พระสูตรก็ตัดวิตกวิจารออก 2 ตัวเลย เหลือแค่ปีติ สุข เอกัคตา
ส่วนพระอภิธรรม ตัดวิตกตัวเดียว ยังมีวิจาร ปีติ สุข เอกัคตา
พอถึงฌานที่ 3 ของพระอภิธรรมจึงเหลือเพียงปีติ สุข เอกัคตา
เหมือนฌานที่ 2 ในพระสูตร
ถัดจากนั้นก็เหมือนๆ กันครับ)
3 มาจากชนิดของจิต ว่า (1) จิตดวงนั้นเป็นกุศลจิต
หรือ (2) เป็นวิบากจิตอันเป็นผลของกุศล
หรือ (3) เป็นการเข้าฌานของพระอรหันต์ซึ่งท่านเหนือดีเหนือชั่วไปแล้ว
จิตของท่านจึงไม่เรียกว่ากุศลจิต แต่เรียกว่ากิริยาจิต
3 นี้ พูดให้ง่ายจึงได้แก่ กุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต
ผ่านไป 51 ดวงแล้วครับ
ถัดไปเป็นอรูปปาวจรจิตมี 12 ดวง มาจากสูตร 4 x 3
4 คืออรูปฌาน 4
ส่วน 3 ก็คือกุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต
รวม 63 ดวงแล้ว เห็นไหมครับว่าไม่ยากหรอกครับ
คราวนี้มาถึงจิตชนิดที่พวกเราไม่คุ้นเคยกัน ผมจึงนำมาพูดทีหลังเพื่อไม่ให้กลุ้มใจ
ได้แก่ อเหตุกวิปากจิต 15 ดวง
จิตกลุ่มนี้คิดเป็นสูตรยากนิดหน่อยครับ
คือมันเป็นวิบากจิตเหมือนๆ กัน เป็นผลของกุศลและอกุศล
และทำงานค่อนข้างไปทางอัตโนมัติ
ขั้นแรกสุด เราลองนึกถึงอายตนะทั้ง 5 คือตา หู จมูก ลิ้น และกายนะครับ
ความสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น 4 อย่างนี้เป็นการสัมผัสแล้วเกิดความรู้สึกเฉยๆ เท่านั้น
เช่นตาที่เห็นรูปนั้น มันเห็นเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าสุขว่าทุกข์อะไร
ส่วนการสัมผัสทางกายนั้น มีสุขมีทุกข์ได้ เช่นถูกทุบเบาๆ เรียกว่านวด รู้สึกสุข
แต่ถ้านวดแรงๆ ด้วยไม้หน้าสาม ก็รู้สึกว่าทุกข์
อเหตุกวิปากจิตกลุ่มแรกเกี่ยวเนื่องกับอายตนะทั้ง 5 นี้เอง
ได้แก่วิญญาณทางตา หู จมูก และลิ้น (4 อย่าง) ซึ่งเกิดพร้อมอุเบกขาทั้งสิ้น
แต่ถึงกระนั้น ตำราก็อุตส่าห์แยกออกไปอีก
ว่ามันเป็นวิญญาณที่รู้อารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี
(ถ้าสิ่งที่มากระทบเป็นสิ่งดี ก็แสดงว่าจิตดวงนั้นเป็นวิบากที่ดี
เช่นมีเสียงเพราะๆ มาให้รับรู้
ถ้าสิ่งที่มากระทบไม่ดี ก็เป็นวิบากไม่ดี)
จิตกลุ่มนี้ก็เลยเข้าสูตรได้อีกแล้ว คือ 4 x 2 เป็น 8 ดวง
คราวนี้ก็มีถึงวิญญาณทางกายเป็นวิบากจิตมี 2 ดวง
คือถ้าเป็นวิบากดี สิ่งที่มากระทบจึงดี จิตดวงนี้ก็เกิดพร้อมความสุข
(ตามตำราอภิธรรม ถ้าเป็นสุขกายจะเรียกว่าสุข ส่วนสุขใจเรียกว่าโสมนัส)
ถ้าเป็นวิบากไม่ดี สิ่งที่มากระทบจึงไม่ดี จิตดวงนี้ก็เกิดพร้อมความทุกข์
รวมอเหตุกวิปากจิตทางกายคือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายได้ 10 ดวงแล้วนะครับ
อีก 5 ดวงที่เหลือเป็นจิตที่จะเข้าใจได้ ต้องรู้เรื่องวิถีจิต ที่ผมเขียนไปแล้ว
คือเป็นสัมปฏิจฉันนจิต หรือจิตที่รับอารมณ์ทั้ง 5 เกิดพร้อมกับอุเบกขา
มี 2 ดวงคือจิตที่รับอารมณ์ที่ดี กับที่ไม่ดี
และเป็นสันตีรณจิต คือจิตที่มีหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ทางทวารทั้ง 5 ว่ามันคืออะไร
เป็นจิตที่ประกอบด้วยอุเบกขา 2 ดวง ทำหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ที่ดีกับไม่ดี
ส่วนดวงสุดท้ายของสันตีรณจิต ทำหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ที่ดี แต่ประกอบด้วยโสมนัส
เราพูดกันถึงจิต 63 + 15 หรือ 78 ดวงไปแล้วนะครับ
จิตกลุ่มต่อไปเรียกว่า อเหตุกกิริยาจิต มี 3 ดวงเท่านั้น
ได้แก่จิตที่ทำหน้าที่จำแนกอารมณ์ที่มากระทบทวารทั้ง 5
ว่ามันมาทางใด จะได้ส่งสัญญาณให้เกิดวิญญาณทางนั้น
เรียกว่าปัญจทวารวัชชนจิต
กับจิตที่พิจารณาอารมณ์เพื่อจะตัดสินให้เป็นกุศล อกุศล หรือกริยาเพื่อจะเสพย์ต่อไป
เรียกว่า มโนทวารวัชชนจิต
ตัวสุดท้ายคือตัวเจ้าปัญหา ที่เรียกว่า หสิตุบาทจิต
ตำราว่าเป็นจิตที่ทำให้เกิดอาการยิ้มในพระอรหันต์ ประกอบด้วยโสมนัส
(เรื่องจิตพระอรหันต์ จะแยกไปกล่าวรวมกันในตอนท้ายนะครับ)
รวมจิตที่กล่าวไปแล้วได้ 81 ดวง ยังมีโลกุตรจิตอีก 8 ดวง
ได้แก่มรรคจิต 4 และผลจิต 4 เช่นอรหัตตมรรคจิต อรหัตตผลจิต
ครบ 89 ดวงแล้วครับ แล้วถ้าจะทำให้พิสดารออกไปอีกเป็น 121 ดวงก็ง่ายๆ
เอาฌาน 5 เป็นตัวคูณเข้าไป ก็กลายเป็นโลกุตรจิต 40 ดวง
เช่นอรหัตตมรรคจิตที่ประกอบด้วยปฐมฌาน ก็เป็นดวงหนึ่ง
ประกอบด้วยทุติยฌาน ก็เป็นอีกดวงหนึ่ง เป็นต้น
สรุปแล้ว จิต 89 หรือ 121 ดวงประกอบด้วย
อกุศลจิต 12 ดวง (เป็นโลภจิตเสีย 8 ดวง เป็นโทสะและโมหะอย่างละ 2 ดวง)
อเหตุกจิต 18 ดวง กามาวจรโสภณจิต 24 ดวง รูปาวจรจิต 15 ดวง
อรูปาวจรจิต 12 ดวง และโลกุตรจิตอีก 8 หรือ 40 ดวง
ความจริงยังมีวิธีแบ่งกลุ่มจิตแบบอื่นๆ อีกหลายวิธีครับ
เช่นแบ่งตามชาติกำเนิดของจิต คืออกุศลจิต กุศลจิต วิบากจิต และกริยาจิต
แบ่งตามโลกียจิต และโลกุตรจิต เป็นต้น
แต่รวมแล้วยังเป็น 89/121 ดวงดังเดิม
***********************************
(มีต่อ)