1
คุยกันในสวน / Re: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] เรียนตำรา ว่าด้วยจิต โดย คุณสันตินันท์
« on: Tue 8 Feb 11, 06:48:14 »(มีต่อ)
เรื่องต่อไปนี้ ผมขอกล่าวในฐานะผู้ปฏิบัติด้วยกันนะครับ
คือความจริงแล้ว จิตจะมีกี่สิบกี่ร้อยดวงก็ตาม แต่จิตก็คือจิต
มันเป็นธรรมชาติรู้ ซึ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนๆ กัน
ส่วนที่ทำให้มันต่างกันเป็นจิตอย่างนั้นอย่างนี้
ก็ด้วยมีเหตุอย่างอื่นเข้ามาประกอบเท่านั้นเอง
จุดสำคัญของการปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถในการจำแนกจำนวนจิต
แต่อยู่ที่ความรู้เท่าทัน ว่าขณะนี้มีอะไรเกิดขึ้นกับจิต
เช่นเมื่อมีราคะก็รู้ว่ามีราคะ เมื่อมีโทสะก็รู้ว่ามีโทสะ
และรู้เท่าทันการทำงานของจิต เช่นมันรู้อารมณ์โดยไม่หลงตาม
หรือมันรู้อารมณ์แล้วหลงตามไปอยาก ไปยึด ไปก่อทุกข์ เป็นต้น
เรียนรู้ของจริงในจิตตนเองเพียงเท่านี้ ก็พอสมควรแล้วครับ
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ถ้าเราสามารถจำแนกผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ได้แล้ว
เราจะเข้าใจเรื่องจิตและกลไกของจิตได้อีกมากนัยทีเดียว
หลายสิ่งหลายอย่าง ก็หาอ่านไม่ได้จากตำรา
เพราะตำรานั้นเหมือนแผนที่ จะให้ละเอียดเท่าภูมิประเทศจริงย่อมเป็นไปได้ยาก
เช่นธรรมชาติของผู้รู้นั้น แม้ในขณะที่กิเลสตัณหากำลังคุกคาม
จิตผู้รู้ก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้ เหมือนที่ท่านเปรียบว่า
ลิ้นงูอยู่ในปากงู โดยไม่เป็นอันตราย
หรือจะเปรียบเหมือนโอเอซีสกลางทะเลทรายก็ได้
ทั้งนี้เพราะกำลังของสติ สัมปชัญญะ และสัมมาสมาธิรักษาไว้
จิตตรงนี้จึงเป็นกุศลจิตอย่างแท้จริง ประณีตยิ่งกว่ากุศลจิตตามตำราเสียอีก
หรืออย่างเรื่องจิตพระอรหันต์ที่เรียกว่ากิริยาจิตนั้น
เป็นสภาพจิตที่สามารถทรงตัวอยู่ได้ โดยไม่มีการกระเพื่อมไหวแม้แต่นิดเดียว
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น โดยไม่ต้องคอยประคองรักษาเลย
การทำงานของจิตในการรู้อารมณ์ วินิจฉัยอารมณ์ จึงทำได้อย่างอิสระสมบูรณ์เต็มที่
และก็ทำไปตามหน้าที่ที่เห็นว่าสมควรจะทำเท่านั้น
หรือทำไปเป็นกิริยา ไม่มีความยินดียินร้ายที่จะทำ
แม้กายท่านกำลังประสบกับอกุศลวิบาก เช่นความเจ็บไข้
แต่จิตของท่านก็จะไม่เกิดความทุกข์โทมนัสแม้แต่น้อย
เพราะจิตท่านจะเกิดมีได้เฉพาะอุเบกขากับโสมนัสเท่านั้น
และทั้งอุเบกขาและโสมนัส ก็ย้อมจิตท่านไม่ติด
คือแม้จะมีอารมณ์โสมนัส แต่จิตของท่านเป็นกลางอยู่อย่างนั้น
เพราะความโสมนัส ถ้าพูดอย่างภาษาที่พวกเราพูดกันก็คือ มันยังไม่ใช่จิต
มันต่างคนต่างอยู่กับจิตอย่างเห็นได้ชัด จึงจัดเป็นกิริยาจิตเท่านั้น
ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติจะนึกไปไม่ถึงเลย
สำหรับหสิตุบาทหรือจิตยิ้มอันเป็นอเหตุกจิตนั้น แม้จะเป็นกิริยาจิตอย่างหนึ่ง
แต่ก็เป็นสภาพธรรมที่ต่างออกไปจากจิตปกติของพระอรหันต์ที่เป็นมหากิริยาจิต
คือความยิ้มนั้น มันผุดขึ้นในจิต
(แต่ความยิ้มนั้น ถ้ากำหนดลงไปจริงๆ
ก็จะพบความเป็นอุเบกขาของจิตอยู่ในนั้นด้วย)
ไม่เหมือนโสมนัสเวทนา ที่มันแยกต่างหากจากจิตอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนเมื่อมีหสิตุบาทแล้ว หน้าจะยิ้มพอเห็นไรฟัน
หรือจะอิ่มเอิบอยู่ในหน้า ไม่ใช่สิ่งสำคัญครับ
เพราะพระอรหันต์ ท่านจะยิ้มก็ได้ ไม่ยิ้มก็ได้
หากเกิดหสิตุบาทจิตแล้วจะต้องยิ้มออกมาทางกายทุกคราวไป
ก็เหมือนกับว่า ท่านยังถูกหสิตุบาทจิตบังคับท่านได้สิครับ
แล้วจะพูดถึงความหลุดพ้นได้อย่างไรกัน
เรื่องของจิตที่ผมแจกแจงตามตำรา
โดยเฉพาะความเห็นเพิ่มเติมในตอนท้ายนั้น
ผมเขียนเพื่อเพื่อนนักปฏิบัติโดยเฉพาะ
ไม่ใช่เขียนเพื่อให้นำไปถกเถียงกับใครๆ นะครับ
เพราะตำราก็ดี ความเชื่อของผู้เรียนตำราก็ดี เป็นเรื่องของเขา
ที่น่าฟังก็มาก ที่แปร่งๆ ก็มี
(เช่นเขาเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไปแสดงพระอภิธรรม 7 คัมภีร์โปรดพระมารดา
คัมภีร์แรกใช้เวลา 12 วันเทวดาบรรลุธรรม 7 โกฏิ
คัมภีร์ที่ 7 คือมหาปัฏฐาน แสดง 23 วัน เทวดาบรรลุ 40 โกฏิ
ข้อที่ผมว่าแปร่งๆ ก็คือที่ว่าทรงแสดงกถาวัตถุ 13 วัน เทวดาบรรลุ 7 โกฏิ
ทั้งที่คัมภีร์กถาวัตถุนั้น ท่านพระโมคคลีปุตต ติสสเถระ
ท่านเพิ่งแต่งใหม่ แล้วนำบรรจุเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระอภิธรรมปิฎก
ในการสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อราว พ.ศ. 234 - 235)
ผมจึงกล่าวบ่อยๆ ว่า การจะเรียนพระอภิธรรมต้องมีวิจารณญาณ
เพราะเป็นธรรมที่ปะปนกัน ระหว่างธรรมแท้ กับธรรมคิดนึกของนักปราชญ์ชั้นหลัง
ยิ่งเรื่องใดที่วิทยาการตามทัน ก็ยิ่งน่าห่วงมากทีเดียว
ประเด็นสุดท้ายขอย้ำกับพวกเราว่า โปรดรักษากติกานะครับ
คือกรุณาอย่านำข้อความในวิมุตตินี้ ไปโพสต์ต่อที่เวบบอร์ดอื่นๆ
อันเป็นลักษณะที่ว่า ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า
แล้วถ้าจะเถียงกับใคร ก็ไม่ต้องอ้างนะครับว่าพี่/อาสันตินันท์กล่าวอย่างนั้นอย่างนี้
เพราะที่พี่/อาสันตินันท์กล่าวนั้น กล่าวกับพวกเราเป็นการเฉพาะเท่านั้น
ไม่ต้องการไปกล่าวในวงกว้างให้เกิดความวุ่นวายจนเสียเวลาปฏิบัติธรรมหรอกครับ
จิตมี 89/121 ดวงได้ก็เพราะนับจิตในอดีต ในอนาคตเข้าไปด้วยครับ
จิตปัจจุบันมีดวงเดียวเท่านั้น ให้รู้ทันดวงนี้แหละครับพอแล้ว
ส่วนตำราที่เขาสอนให้จำแนกจิตต่างๆ อันที่จริงก็เอามาใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน
คือบางท่านจะดูจิต ไม่ทราบว่าจะตามรู้อะไรดี
ก็อาจจะเฝ้ารู้เวทนาที่เกิดกับจิตก็ได้ ว่าเวลานี้มันเป็นสุข(โสมนัส) ทุกข์(โทมนัส)
หรืออทุกขมสุข(อุเบกขา)
หรือจะเฝ้ารู้ว่า จิตกำลังมีญาณคือปัญญาหยั่งรู้ตามความเป็นจริง
หรือจิตหลงตามความคิดความเห็นไปแล้ว อย่างนี้ก็ได้
เป็นการนำตำรามาใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ ซึ่งก็ทำได้ครับ
แต่ถึงจะไม่เรียนตำรา ก็ให้เรียนจิตดวงเดียวในปัจจุบันนี้
นานไปก็รู้จักจิตได้ทุกดวงครับ
ในตำรานั้น เขาจัดเอาทิฏฐิคือความเห็น ว่าหมายถึงมิจฉาทิฏฐิเท่านั้น
ส่วนญาณหมายถึงปัญญา จะเป็นปัญญาความรู้ทางปริยัติก็หมายถึงปัญญาด้วย
แต่ในแง่นักปฏิบัติแล้ว ความเห็นก็คือความเห็น ความคิดก็คือความคิด
หลงก็คือหลง และรู้ก็คือรู้
ถ้าจิตคิดใคร่ครวญไปตามสัญญา(ตำรา) โดยไม่รู้ทัน ก็คือหลง และฟุ้งซ่าน
ถ้าจิตเข้าไปยึดถือในความคิดความเห็นที่ดีๆ ก็คือหลง และเกิดทุกข์ได้เช่นกัน
(จบ)