Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - PlaDao

Pages: [1]
1
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

ข้อความที่โพสต์ก่อนนี้ไม่ผ่านอนุมัติหรือเปล่าคะ 
หากเป็นอย่างนั้น ต้องขออภัยลุงถนอมด้วยนะคะ ถ้ามีข้อความใดที่ไม่เหมาะสม

 _/|\_

2
สาธุค่ะคุณลุงถนอม _/|\_

ตกลงคือ ไม่เห็นความไม่ชอบใจต่อสภาวะที่เป็นอยู่ค่ะ  ตอนแรกๆก็ตามดูไป แต่เอ๊ะ!ชักจะทื่อนานไปหน่อย
รู้สึกเหมือนเราย่อหย่อนไป แถมยังไหลยาวๆด้วย ก็เลยคิดแก้ไข รู้ไม่ทันตอนที่ให้ค่าความทื่อใช่ไหมคะ?
ที่แท้ก็มุขเก่าๆของกิเลส ที่มาเมื่อไหร่ก็โดนหลอกทุกที  ???

สรุปก็คือแค่รู้  แม้ไม่ได้ปัญญาก็แค่รู้
ช่วงไหนที่ไม่เดินปัญญาก็แค่มีสติรู้ตามจริงไปเรื่อยๆ(เท่าทีู่้รู้ได้... หรือเปล่าคะ?)   เมื่อจิตตั้งมั่นและเป็นกลางขึ้นมาเขาก็จะเดินปัญญาเอง
เป็นอย่างนี้ใช่ไหมคะ?

กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_


3
ขอบพระคุณค่ะ _/|\_

พยายามดูกิเลสตัวที่กำลังครอบงำใจ อย่างที่ลุงถนอมแนะนำค่ะ แต่มันก็ยังทื่อๆเหมือนเดิม
หรือว่าดูยังไม่ถูกตัวที่ครอบงำจริงๆ? 
หรือว่าไม่ตั้งมั่นพอ? คือตอนนี้เหมือนตัวรู้มันหายยยยไปเลยยย
มีสติรู้แค่แว้บๆ  แต่สภาวะมันไม่แยกออกจากใจเหมือนก่อนหน้านี้ค่ะ

 :'(

4
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

จากการตามรู้ตามดูมาเรื่อยๆ  ทำให้เห็นความคิดความปรุงแต่ง เห็นการทำงานของสิ่งที่เรียกว่าตัวเรา 
เห็นว่ามันทำงานของมันเองเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติ  แม้กระทั่งความคิดว่าเป็นตัวเรามันก็เกิดขึ้นมาเอง   
มีความเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นเพียงธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย  แล้วก็รู้สึกเบื่อหน่าย
แม้กระทั่งจะตามรู้ตามดูก็เบื่อ เกือบเดือนมาแล้วค่ะที่มันไม่ยอมดู 
มันไหลไปตามอารมณ์ที่มากระทบแต่รู้ว่าไม่ได้เพลิดเพลินกับอารมณ์  มันออกจะเฉยๆ เบื่อๆมากกว่า   
บางทีก็อยากให้มันพ้นๆไปซะที  แต่ก็รู้ว่าถ้ามันไม่ยอมดูอย่างนี้ มันจะพ้นไปได้ยังไง :(

ทำอย่างไรดีคะ ขอคุณลุงถนอมช่วยแนะนำด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ _/|\_

5
กราบขอบพระคุณ คุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

ช่วงนี้เป็นทุกข์มากค่ะ   รู้ว่าเป็นเพราะไม่เท่าทันอารมณ์หรือความคิดที่มากระทบ 
ส่วนใหญ่ก็เป็นอารมณ์ที่เราติดมากๆ หรือยึดมากๆ  มันก็เลยพาเราไปทุกข์ได้เรื่อยๆ
 
จากที่คุณลุงถนอมตอบให้ข้างบนก็คือ  เมื่อถูกอารมณ์ครอบงำแล้วรู้ทันตรงไหนก็รู้ตรงนั้น ใช่ไหมคะ
 
ถ้ามันทุกข์ถูกบีบคั้นก็ต้องยอมรับและอยู่กับอาการนั้นจนมันดับไปเอง  ไม่หนี  ไม่คล้อยตาม ไม่แทรกแซง จะนานแค่ไหนก็ต้องทนใช่ไหมคะ
ความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นถ้าเราตามรู้อยู่เฉยๆ มันแสนสาหัสจริงๆค่ะ  เมื่อตอนที่ไม่ได้เจริญสติเราก็จะหนีไปทำอย่างอื่นเพราะคิดว่ามันจะได้มีความสุขได้อีก 
แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึงที่อาศัยได้เลย เพราะในที่สุดมันก็จะเสื่อมสิ้นสลายไปอีกเหมือนกัน  การหนีทุกข์เพื่อแสวงหาสุขก็จะวิ่งวนไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อทุกข์มากๆ เราก็จะเกิดอินทรียสังวรมากขึ้น  มันก็จะรู้ทันได้เร็วขึ้นเอง อย่างนั้นหรือเปล่าคะ

หากแทรกแซงก็ต้องรู้   ความรู้สึกที่เป็นผลจากการแทรกแซงก็ต้องรู้ อย่างนั้นใช่ไหมคะ 

ขอขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ _/|\_

6
เรียนคุณลุงถนอมค่ะ _/|\_

การที่เรามีความทุกข์จากความวิตกกังวล  จิตใจมีน้ำหนักมาก  มีความบีบเค้นอยู่ในอก 
การที่เรามีอาการขนาดนี้แล้ว เราก็รู้อยู่ว่ามีความทุกข์บีบคั้น     ตอนนั้นเรารู้อยู่หรือเราหลงตามอารมณ์ไปแล้วคะ?

ตอนนี้พยายามที่จะอยู่กับวิหารธรรมคือมีความรู้สึกตัว    ก็เห็นความคิดที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ  พอเห็นความคิดก็จะกลับมารู้สึกตัว เพื่อจะไม่ให้ความคิดความปรุงแต่งลากเราไปเป็นทุกข์  ก็ทำให้รู้สึกเบาขึ้นในบางครั้ง   
การทำอย่างนี้เป็นการแทรกแซงหรือเปล่าคะ?

 _/|\_

7
ขอบพระคุณค่ะคุณลุงถนอม _/|\_

เมื่อมาพิจารณาสภาวะของตัวเองที่เป็นอยู่เทียบกับคำแนะนำของลุงถนอม   ก็เลยมีสภาวะที่อยากเล่าเพื่อสอบถามเพิ่มอีกนิดหน่อยนะคะ

คือที่ว่าช่วงนี้ “รู้แบบไม่สนใจรายละเอียดของสิ่งที่ถูกรู้”  นั้นคือ  ไม่สนใจความคิดปรุงแต่งต่างๆที่เกิดขึ้น  มันจะตามความคิดไปแป๊บนึงแล้วก็รู้สึกตัว แล้วก็เฉยๆ   
บางความคิดก็ทำให้กังวล บางความคิดก็ทำให้เบิกบาน  พอรู้ตัวมันก็เฉยๆ  แต่ทั้งหมดนี้มันไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนนะคะ   การเกิดดับก็ไม่ชัด     
บางขณะที่คิดได้ก็พยายามน้อมไปดูความยินดี ยินร้ายที่เกิดขึ้นกับจิตเมื่อมีการกระทบอารมณ์  ก็ไม่ได้เห็นชัดเจนอะไร  และส่วนมากมันจะเฉยๆกับสิ่งที่ถูกรู้ 
แม้กระทั่งจะหลงตามอารมณ์ไป มันก็จะกลับมาเฉยๆ  เหมือนกับว่าหลงก็หลงไป ไม่สนใจ  มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง 

รู้สึกเหมือนกับว่ากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมหรือเงื่อนใหม่ๆในการภาวนาค่ะ  แต่ยังปรับตัวให้เข้ากับสภาพเหล่านี้ไม่ได้  และรู้สึกงงๆ
เพราะ ส่วนที่เคยเห็นได้ชัดมันก็ไม่สนใจจะดู   สิ่งใหม่ๆก็ไม่ค่อยจะเห็น  ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป   เวลาทำตามรูปแบบก็ไม่สงบค่ะเหมือนพยายามจะหาจะดูอะไรสักอย่าง   

เขียนมาถึงตรงนี้รู้สึกว่าตัวเองถ่ายทอดสภาวะที่เป็นอยู่ได้ชัดเจนกว่าครั้งก่อนค่ะ

อยากสอบถามลุงถนอมว่า 
- การรู้มาที่ความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นที่จิตเมื่อกระทบอารมณ์ คือสภาวะที่ละเอียดขึ้น กว่าความคิดปรุงแต่งที่เคยเห็นใช่ไหมคะ   
- ส่วนสภาวะหยาบๆที่จิตมันไม่สนใจจะดูแล้วก็ปล่อยมันไปตามนั้นใช่ไหมคะ
- ความยินดียินร้ายที่ยังเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่ต่อเนื่อง  เราควรที่จะน้อมไปดูไหมคะ

- หรือว่าทั้งหมดที่ถามมานี้คือการไปสนใจในรายละเอียดมากเกินไป   ควรที่จะถอยออกมาดูอยู่ห่างๆอย่างที่มันเป็นเท่านั้นเอง

 _/|\_ _/|\_ _/|\_

8
เรียน คุณลุงถนอมค่ะ  _/|\_

พักนี้ไม่มั่นใจว่าที่ทำอยู่นี่  มันยังอยู่ในทางหรือหลงเข้าป่าไปแล้ว  เพราะแม้กระทั่งจะถามครูบาอาจารย์ก็ยังไม่รู้จะถามว่าอย่างไร

ขอเล่าสภาวะที่เป็นอยู่ให้ฟังดีกว่านะคะ  คือมันรู้เหมือนไม่รู้  รู้แบบไม่สนใจรายละเอียดของสิ่งที่ถูกรู้  ก็แค่แว่บไปแว่บมา  รู้สึกไม่ได้ปัญญาอะไร  สิ่งที่ถูกรู้ไม่อยู่ห่างเท่าแต่ก่อน (คือมันอยู่ใกล้ผู้รู้กว่าเดิมเยอะ)  อยู่กับวิหารธรรมได้ไม่นานก็หลง  แต่ก็พยายามรู้สึกตัว  ทำตามรูปแบบทุกวันค่ะ  รู้สึกว่าลึกๆมีความเข้าใจว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง” อยู่เป็นแบ๊คกราวน์ เกือบตลอด 

วิเคราะห์ตัวเองว่า...  เป็นเพราะจิตไม่ตั้งมั่นมีนิวรณ์กลุ้มรุม  และเป็นเพราะความรู้สึกที่ว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง” มันเลยทำให้ไม่สนใจจะดูอารมณ์ต่างๆ  เหมือนที่เคยเล่าให้ลุงถนอมว่า รู้สึกเหมือนไม่ได้ปฏิบัติ  แต่ความที่ตัวเองไม่มีความตั้งมั่นพอ  มันก็เลยหลงตามไปอารมณ์ไป  ไม่เป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ห่างๆ    เหลือแค่สัญญาว่า “สิ่งต่างๆมันก็เป็นของมันอย่างนี้เอง”   โดยไม่ได้เห็นจากสภาวะจริง ๆ...   

ขอรบกวนลุงถนอมช่วยแนะนำด้วยนะคะ   
 _/|\_ _/|\_ _/|\_

9
สาธุค่ะคุณลุงถนอม  _/|\_ _/|\_ _/|\_

หลังจากที่รู้จัก “การรู้”  ตามที่เล่าให้ลุงถนอมฟังแล้ว  ก็รู้สึกว่าการรู้มันเบาสบาย ความที่เข้าใจว่าขันธ์ ๕ เขาทำงานของเขาเอง  ทำให้รู้แบบเหมือนไม่ได้ปฏิบัติ   แต่พอการรู้มันเสื่อมลงส่วนหนึ่งมาจากเทศกาลปีใหม่ที่ต้องร่วมและอยากร่วมตามสมควรทำให้การปฏิบัติในรูปแบบตกหล่นไป   ก็เริ่มเผลอนานหลงนานขันธ์ ๕เป็นเราเต็มอัตรา  ปัญหาก็เริ่มมาเพราะอยากให้รู้ได้เหมือนเดิม  ก็เริ่มดิ้น เริ่มเพ่ง ดักรู้สารพัด  จนหนักๆแข็งๆ  ตอนนี้ก็พยายามตามรู้ความดิ้นรนที่เกิดขึ้น  --อย่างนี้ถูกไหมคะ


อีกอย่างคือไปอ่าน (กระทู้เก่าเล่าใหม่) เพ่ง, เผลอ, ว่าง และนานาสาระการดูจิต โดยคุณ สันตินันท์
มีท่อนหนึ่งที่คิดว่ากำลังเป็นอยู่ด้วยคือ “หลงไปกับการสร้างความรู้ตัว  คือไม่รู้เท่าทันจิต ที่กำลังสร้างความรู้ตัวขึ้นมานั่นเอง  บางคนใช้เวลาเกือบปีครับ กว่าจะเข้าใจตรงนี้ได้ แต่บางคนใช้เวลาไม่มาก ….”   
--มันเรื่องเดียวกับการดิ้นรนอยากรู้ ก็เลยไป เพ่ง ดักรู้หรือเปล่าคะ


แล้วตอนที่เผลอนานหลงนาน  หากเราพยายามทำความรู้ตัวให้เร็ว  พอทำบ่อยๆมันเหมือนเพ่งเลยค่ะ – จริงๆแล้วพอเผลอนานแล้วเราจะระวังอย่างไรคะ  หรือต้องเพียรอยู่กับวิหารธรรม 

พอเริ่มเรียบเรียงคำถามก็เหมือนกับเริ่มได้คำตอบเอง  --แต่ก็ยังอยากได้ฟังคำแนะนำอยู่ค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
 _/|\_ _/|\_ _/|\_

11
สาธุค่ะคุณลุงถนอม _/|\_ _/|\_ _/|\_

หลายวันมานี้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของจิตที่มีต่ออารมณ์ที่มากระทบ  บางอารมณ์เมื่อกระทบแล้วจิตก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร  บางอารมณ์กระทบแล้วรู้สึกกังวล 
พอเห็นความกังวล  ความกังวลก็หายไป  บางทีก็เห็นความคิดที่กำลังจะเกิดต่อทันทีแต่พอรู้ทันก็หายไป  สรุปคือได้เห็นว่าความกังวลเป็นสิ่งที่ถูกรู้

ต่างจากก่อนหน้านี้ที่มักจะรู้เห็นแต่ความคิดมากมายที่เกิดขึ้น  ถ้าเป็นความคิดธรรมดาทั่วๆไป รู้แล้วเห็นแล้วก็ดับไป  หรือรู้สึกเพียงแค่ว่าจิตโกรธ จิตมีความสุขฯลฯ   แต่บางอารมณ์หรือบางความคิดที่เรายังให้ความสำคัญอยู่มาก มันก็ถูกกิเลสตัวชอบไม่ชอบครอบงำจนเละเทะ ปรุงแต่งจนวิตกกังวลใหญ่โต   
ไม่เคยเห็นปฏิกิริยาของจิตที่เกิดขึ้นจะๆ  ต่อจากการรับอารมณ์  ทำให้รู้สึกว่าที่ทำอยู่มันวนเวียนอยู่กับที่

จากความแตกต่างที่เล่ามาทำให้เข้าใจว่าก่อนหน้านี้ เราไปเห็นแต่สิ่งที่ถูกรู้  ไม่เห็นอาการของผู้รู้  --ใช่ไหมคะ?
พอได้เห็นปฏิกิริยาของจิตที่มีต่ออารมณ์ที่มากระทบ ทำให้ขณะนั้นรู้สึกได้ว่า ที่แท้ผู้รู้มันเบาๆโปร่งๆ   และทำให้เห็นว่า ผู้รู้ที่เคยมีนั้นมันหนักๆตันๆ  ทำให้เกิดความเข้าใจว่ามันถูกปฏิกิริยาคือความรู้สึกชอบไม่ชอบนั่นแหละห่อหุ้มอยู่  มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าคะ? 

ในชั่วขณะนั้นได้รู้สึกขึ้นมาแว่บหนึ่งว่าแท้จริงแล้วสิ่งต่างๆ มันเป็นของบนโลกนี้ทั้งหมด  ความเป็นเราเป็นเพียงความคิด  และเมื่อไหร่ที่มีความอยากที่จะให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้  หรือให้ค่าให้ความสำคัญ ก็เท่ากับว่าเพื่อที่จะให้มีตัวตนของเราไปรับผลเหล่านั้น 

แต่ตอนนี้มันก็กลับมาเผลอนานอีกแล้วค่ะ  แล้วความรู้ความเข้าใจที่ได้มาก็เหลือเพียงแค่สัญญา  ทุกอย่างก็คลุกเคล้าปะปนกันเหมือนเดิม   รู้สึกว่าการจะเห็นได้ว่า "ปฏิกิริยาของจิตที่มีต่ออารมณ์ต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้" มันยากจังเลยค่ะ ส่วนมากจิตกับกิเลสมันมักจะรวมเป็นเนื้อเดียวกัน   

รู้สึกว่าจิตไม่ตั้งมั่นพอและขาดความต่อเนื่อง  ขอรบกวนลุงถนอมช่วยแนะนำด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
 _/|\_ _/|\_ _/|\_

12
ปกติถ้าเรารู้ทันว่ากิเลสตัวไหนครอบงำเราอยู่ มันจะหายไปใช่ไหมคะ  พอไปดูความไม่ชอบใจอย่างที่คุณลุงแนะนำ มันก็ไม่หายจากสภาวะซึมๆที่ว่า 
แต่พอไปดูความหดหู่ รู้สึกว่ามันจะโปร่งขึ้นมาสักพัก  แล้วเผลอๆก็กลับไปอีก   เป็นอย่างนี้ไม่ทราบว่าเราดูถูกตัวรึเปล่า แต่เหตุมันยังไม่หมดมันก็เลยถูก
ความหดหู่ครอบงำอีก  เข้าใจถูกไหมคะ

(พอดีว่า ช่วงนี้นอกจากไม่สบายแล้ว ยังมีเรื่องราวน่ากังวลหลายเรื่องเกิดขึ้นด้วย)

 _/|\_ _/|\_ _/|\_

13
กราบขอบพระคุณค่ะ คุณลุงถนอม _/|\_

หายไปหลายวัน เพราะไม่สบายค่ะ 
ช่วงนี้รู้สึกว่า  จิตไม่ยอมดูอะไรเลย  เหมือนมันเบื่อที่จะดู  เหมือนจับจด  ดูๆปล่อยๆ เหมือนไม่ได้อะไร  เหมือนภาวนาไม่เป็น
ก็พยายามรู้มันไปอย่างนั้นค่ะ  แต่ก็หวั่นใจว่าจะกลายเป็นปล่อยปละละเลย 

ต้องปรับอะไรไหมคะ ทุกวันก็ทำตามรูปแบบอยู่ค่ะ

รบกวนคุณลุงอีกนิดนะคะ _/|\_

14
สาธุค่ะคุณลุง  _/|\_   

หนูยังงงๆตรง paragraph นี้ค่ะ 
“สำหรับที่คุณ PlaDao ถามว่า เวลาที่คุย เวลาที่อิน กับเรื่องต่างๆ ทำไมถึงมีแต่เรื่องราว แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา ก็เพราะ ในขณะนั้นที่จิตเกิดความรู้สึกตัวขึ้น เป็นการเกิดขึ้นโดยไม่ได้จงใจ เกิดขึ้นเพราะจิตไปสัมผัสกับสภาวธรรมที่จิตเขาจดจำสภาวธรรมนั้นได้แม่นยำ จึงเกิดจิตที่มีสติขึ้น จิตที่มีสติจริงๆเกิดขึ้นมาแล้ว ในขณะนั้น ความรู้สึกว่าเป็นตัวเราไม่ได้มีอยู่ เพราะเป็นจิตที่มีสติ ดังนั้น คุณ PlaDao เห็นถูกแล้ว ส่วนเวลาอื่น เช่น เวลาขับรถ เวลานั่ง หากจงใจที่จะปฏิบัติ จงใจที่จะรู้ ความรู้สึกเป็นตัวเราจะยังคงถูกปรุงขึ้นมาครับ เพราะมีความจงใจเป็นเหตุ (ตรงนี้แหละครับ ที่นักภาวนาพวกหนึ่งจึงมีความเห็นว่า ตัวเรานั้นมีอยู่ แล้วต้องทำลายไป แท้จริงแล้ว ตัวเรามีอยู่ เพราะมีความจงใจปฏิบัติครับ) แต่เพราะเราต้องฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐาน ทำให้เรายังต้องพึ่งความจงใจนะครับ เพราะหากไม่จงใจจะปฎิบัติแล้ว เราก็คงไม่ได้ฝึกฝนการเจริญสติปัฏฐาน ๔ เป็นแน่ เพียงแต่เราต้องรู้จักใช้ให้พอดีๆ เหมือนกับการเติมเกลือลงในอาหารนั่นแหละครับ ใส่มากไปก็ทานไม่ได้ ใส่แต่น้อยๆ พอดีๆ ครับ”


คือที่ “หนูเห็นความรู้สึกว่า  เป็นเรากำลังทำกิจกรรมต่างๆ  เช่น เรากำลังขับรถ  เรากำลังนั่ง เป็นต้น  และต่อจากนั้นก็หนีไปรับอารมณ์อื่น”  นั้น     มันรู้ขึ้นมาตอนที่จิตหนีจากอารมณ์อื่นมารู้กาย  และเกิดรู้สึกขึ้นมาว่า “เรา”   ตอนนั้นทำให้หนูเข้าใจว่า ความเป็นเรานั้นเป็นเพียงความคิด  แท้จริงกายก็อยู่ส่วนกายไม่ใช่เรา   ส่วนความรู้สึกว่า “เรา” และเรื่องราวอื่นนอกจากนั้นก็เป็นเพียงนามธรรมที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

คำถามคือว่า   การรู้เห็นสภาวะที่ว่านี้  หนูกำลังจงใจดูหรือว่า หนูกำลังเห็นว่าความเป็นตัวเราเป็นสิ่งที่ถูกรู้


ส่วนที่ว่า “แต่ขณะที่อินอยู่กับการพูดคุย  หรืออินกับการทำงาน หรือคิดเรื่องต่างๆที่ต้องจดจ่อ  จะรู้สึกว่ามีแต่เรื่องราวเหล่านั้น  ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา”   นั้น ขณะหนูกำลังหลงยาวค่ะ  นานๆก็จะรู้สึกถึงร่างกายบ้าง  แต่ไม่ได้สนใจว่ามีตัวเราหรือไม่มีตัวเรา       

จากคำอธิบายของคุณลุง  หนูเข้าใจว่าอย่างนี้ค่ะ... จริงๆแล้วหนูกำลังหลงจนไม่รู้ไม่เห็นว่า  มีการปรุงความเป็นเราสลับอยู่...    เข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะ

ขอบพระคุณค่ะ 
_/|\_ _/|\_ _/|\_

15
เรียน คุณลุงถนอมค่ะ

เมื่อตอนที่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆ  หนูรู้สึกว่ามีตัวเรายืนพื้นอยู่  แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน   มาระยะนี้หนูเห็นความรู้สึกว่า เป็นเรากำลังทำกิจกรรมต่างๆ  เช่น เรากำลังขับรถ  เรากำลังนั่ง เป็นต้น  และต่อจากนั้นก็หนีไปรับอารมณ์อื่น   
แต่ขณะที่อินอยู่กับการพูดคุย  หรืออินกับการทำงาน หรือคิดเรื่องต่างๆที่ต้องจดจ่อ  จะรู้สึกว่ามีแต่เรื่องราวเหล่านั้น  ไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเรา
ก็เลยสงสัยว่า  โดยหลักปริยัติแล้วขณะนั้นมันปรุงแต่งไปจนเป็นภพ ชาติแล้วใช่ไหมคะ   มันก็ควรจะมีความเป็นตัวเป็นตนของเราแล้วใช่ไหมคะ  แต่หนูไม่รู้สึกถึงความเป็นตัวเราในขณะนั้น    แม้ว่าจะมีบางขณะที่สลับมารู้สึกถึงตัวเองบ้าง 
 
ขอรบกวนคุณลุงช่วยแจกแจงสภาวะให้หน่อยค่ะ  และหนูกำลังดูอะไรคลาดเคลื่อนไปหรือเปล่า

กราบขอบพระคุณค่ะ  _/|\_

Pages: [1]