Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - โอ.เค

Pages: [1]
1
[size=10pt]การภาวนาในชั้นละเอียด ต้องระวัง กิเลสจะดูเหมือนกุศล[/size][/b]

(ธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๑๗ ต.ค. ๕๓)

พวกเราภาวนาแล้วรู้สึกไหม เราชั่วกว่าที่เราคิด นึกออกไหม น่าเกลียด รู้สึกไหม กิเลสตัวไหนน่าเกลียดมาก นึกออกไหม ตัวไหน ตัวไหนดีนะ พวก Self จัดน่ะ รู้สึกไหม เวลา Self จัดนะ กูขึ้นมา โห ถ้าเห็นเท่านั้นนะ ขยะแขยงเลย Self จัด พวกนี้น่าเกลียดมาก ตายแล้วเป็นอะไร เป็นอสุรกาย น่าเกลียด

กิเลสทั้งหลายน่าเกลียดทุกตัวแหละ ไม่มีกิเลสน่ารักหรอก แต่ถ้าภาวนาไม่ประณีตพอนะ ในชั้นละเอียดเนี่ยน่าดู กิเลสในชั้นละเอียดนะ ดูเหมือนกุศล แยกไม่ออกหรอก ว่ากิเลสหรือกุศล มันเกินขั้นที่สติปัญญาจะรู้ทัน แยกไม่ได้

อย่างเวลาเราเห็นครูบาอาจารย์ปุ๊บนะ เรามีศรัทธากับท่านนะ โอ๊ ท่านดีจังเลยนะ มองตัวเองแว๊บเดียว ทำไมมันแย่อย่างนี้ เทียบเขาเทียบเราปั๊บ นี่คือมานะนะ เห็นไหม พลิกนิดเดียวเองน่ะ โอ๊ กำลังศรัทธาๆ พอหันมามองดูตัวเองนะ ไม่ได้เรื่อง มีเขามีเราขึ้นมาแล้ว มีมานะนะ เทียบเขาเทียบเรา นึกว่าศรัทธา

หรืออย่างเจริญปัญญา เจริญปัญญาไป รู้รูปรู้นามเห็นความเกิดดับไปเรื่อย ถึงจุดหนึ่งนะ มันคิดนำหน้า เห็นตัวนี้ขึ้นมานะขี้เกียจดูแล้ว เดี๋ยวมันก็ดับ มันล้ำหน้าไปแล้ว แทนที่จะเห็นสภาวะเกิดแล้วดับต่อหน้าต่อตา เนี่ยไม่เอาแล้ว ไปจับอันใหม่ จับๆๆไปเรื่อยนะ

หรือพิจารณาธรรมะมากๆ คิดพิจารณาไม่เลิกเลยนะ ค้นคว้าพิจารณาในกาย สมมุติว่าพิจารณาร่างกาย พิจารณาเนี่ย จิตหมุนติ้วๆๆไปทั่วกายเลยนะ นี่ฟุ้งซ่าน ฟุ่งซ่านกับปัญญานะคาบเส้นกันนิดเดียว คือถ้ามีสมาธิอยู่ มีจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่นะ การที่จิตออกรู้อารมณ์เนี่ยเจริญปัญญานะ ถ้าจิตออกรู้อารมณ์โดยที่จิตไม่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ดู ฟุ้งซ่านนะ ดูยากนะ กิเลสเนี่ยพอละเอียดดูยากสุดๆเลย

รูปราคะ อรูปราคะ ก็ดูยาก พอใจในความสงบเพราะการเพ่งรูป พอใจในความสงบเพราะการเพ่งนาม เพ่งรูป เช่น รู้ลมหายใจไป จิตสงบมีความสุข พอใจอยู่ในความสุขความสงบ รู้ยากนะว่าพอใจในความสุขความสงบ ตัวพอใจ ยินดีพอใจในความสุขความสงบ ตัวเนี้ยแหละตัวราคะ รูปราคะ อรูปราคะ ดูยาก มันคล้ายๆวันๆนะเราสันโดษนี่ เราสำรวมอินทรีย์ ไม่ยุ่งกับใครเลย วันๆอยู่แต่ในห้องนั่งสมาธินี่ดี ไม่รู้หรอกว่าราคะครอบอยู่นะ ดูยาก

กิเลสพอละเอียดดูยากนะ หน้าตาเหมือนกุศลเลย อย่างมีมานะก็คิดว่ามีศรัทธา ฟุ้งซ่านก็คิดว่ามีปัญญา มีราคะก็คิดว่ารักสันโดษ มักน้อย ไม่คลุกคลี ความจริงราคะแทรกเข้าไปแล้ว มีหลายแบบ เพ่งรูปก็ได้ เพ่งนามก็ได้ เพ่งรูป เช่น ดูท้องพองยุบ จิตสงบอยู่กับท้อง เพ่งลมหายใจนะ เพ่งมือเพ่งเท้า เพ่งอิริยาบถสี่ วันๆไม่สนใจอะไรนะ มีแต่อิริยาบถ ดูไปเรื่อย จ้องอยู่อย่างนั้นนะ จิตสงบ จิตสงบแล้วยินดีพอใจในความสงบที่เกิดขึ้นเนี่ย เรียกว่า รูปราคะ อีกอันหนึ่ง อรูปราคะ เนี่ย ติดใจในอรูป เช่น ภาวนาไปนะ อย่างดูจิตดูใจ พวกดูจิตเนี่ยจะไปติดอรูป ต้องระวังนะ

พวกดูกาย ถ้าดูไม่ดีนะจะไปติดรูปฌาณนะ มีรูปราคะ พวกดูจิตเนี่ยจะไปติดอรูปราคะ อรูป หมายถึง ไม่มีรูปนะ อรูป เช่น อันแรกที่พวกเราฝึกไปเรื่อยแล้วจะเป็น เป็นแทบทุกคนนะ ที่ว่าดูจิตๆนะ ดูบางทีจิตมันเคลื่อนออกไปข้างหน้า อารมณ์มันหนีน่ะ ดูอยู่แล้ววิ่งหนีได้นะ อารมณ์น่ะมันเคลื่อนหนีออกไป ก็ตามไปดู พวกรายการตามไปดูนะ เนี่ยส่งออกนอกนะ จิตเคลื่อนออกไปอยู่ข้างหน้าเนี้ย แล้วสมมุติว่าเห็นโทสะโผล่ออกมา แล้วมันเลื่อนไปอยู่ข้างหน้าแล้วไปดู พอมันดับปั๊บ คราวนี้อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เข้าบ้านแล้ว โล่งว่างอยู่อย่างนี้นะ เพ่งอยู่ในความว่าง การเพ่งความว่างเนี่ย เป็นอรูปฌาณชนิดหนึ่ง ชื่อ “อากาสานัญจายตนะ”  ไปเพ่งอรูป

บางคนเห็นตรงนี้แล้ว เอ๊ะ ไอ้นี่ไม่ใช่จิตนี่ ว่างๆตรงนี้ยังไม่ใช่จิตนะ จิตเป็นคนดูย้อนเข้ามาเพ่งตัวผู้รู้ผู้ดู พอมาดูตัวผู้รู้ปั๊บ ตัวผู้รู้กลายเป็นตัวถูกรู้ เกิดตัวผู้รู้ใหม่ซ้อนลึกเข้าไปอีกนะ พอถูกรู้อีก มีตัวผู้รู้ซ้อนเข้าไปอีก ซ้อนๆๆ วิญญาณเป็นอนันต์ วิญญาณไม่มีที่สุด ตัวนี้แหละ เรียกว่า “วิญญาณัญจายตนะ”

อีกพวกหนึ่งนะประคอง ไอ้โน่นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา รักษาจิตให้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว อะไรๆก็ไม่เอา ไม่ยึดอะไรซักอย่างเลยนะ อยู่แต่ในความว่าง รักษาจิตให้ว่าง พวกนี้ชื่อ “อากิญจัญญายตนะ”

เห็นไหมวิธีดูจิตที่ผิดเนี่ย สารพัดแบบเลยนะ อย่านึกนะว่าดูจิตแล้วจะไปมรรคผลนิพพานง่ายๆ ส่วนใหญ่ไปติดอรูป ดูไม่เห็นหรอก ดูยากนะ พอติดอรูปแล้วพอใจ โอ๊ย ใจเราไม่มีกิเลสเลยนะ ว่าง สว่าง เหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ทั้งวัน สว่างพอใจ ไม่เห็นหรอกว่ามีความพอใจอยู่ เนี่ย ราคะมันครอบอยู่ ก็คิดว่าเราเป็นคนมักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลีนะ ฟังแล้วดีใช่ไหม พระพุทธเจ้าสอนเนี่ย มักน้อย สันโดษ ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร วันๆก็อยู่แต่ในห้อง สงบแน่วอยู่เลย พอใจ ไม่เห็น เนี่ย กิเลสพอละเอียดนะเหมือนกุศลด้วยซ้ำไป นึกว่าเป็นกุศลนะ



6
โยนิโสมนสิการ

(ธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช  วันที่ 16 พฤษภาคม 2552)

หลวงพ่อเรียนจากครูบาอาจารย์ไม่ถามมากหรอก นานๆถามทีหนึ่ง แล้วเราใช้ความสังเกตุเอา การภาวนานะ เรียนหลักให้แม่นแล้วก็สังเกตเอา ใจเราไปติดไปข้องไปแอบสร้างอะไรขึ้นมาหรือเปล่า อย่างเราภาวนาบางทีใจมันเครียดๆอย่างนี้ ถ้าจำหลักแม่น จะรู้ว่าทำเครียดๆอย่างนี้ทำผิดแล้ว จิตที่เป็นกุศลมันต้องไม่เครียด จิตที่เครียดมันไม่ใช่จิตที่เป็นกุศล

หรือภาวนาแล้วใจมันโล่ง มันว่าง มีแต่ความสุขเพลิดเพลินทั้งวันทั้งคืน ถ้าช่างสังเกตก็จะเห็นว่าทำไมมันเที่ยง ของมันต้องไม่เที่ยง ทำไมมันเที่ยง ของมันต้องเป็นทุกข์ ทำไมมันมีแต่ความสุข คอยสังเกตไป โอ๊ย ใจมันไม่ย้อนเข้ามารู้กายรู้ใจจริงหรอก ไหลออกไปอยู่ข้างนอก ไปเพลินๆ ไปสร้างภพที่ละเอียดขึ้นมา ใจไปสร้างภพว่างๆ แล้วก็ไปเกาะอยู่ในความว่างๆ ไปติดอยู่ในความว่างๆ อะไรอย่างนี้ นี่ถ้าช่างสังเกตนะ โอ้ ตรงนี้ผิดอีกแล้ว

อีกวันภาวนาไป ภาวนาไปเห็นจิตไหวยิบยับๆอะไรอย่างนี้ เห็นสภาวะอันใดอันหนึ่งเกิดขึ้น มันสนใจอยากรู้ให้ชัด ก็โผล่ไปจ้องๆ concentrate (เพ่ง) มากเลย ใจก็แนบอยู่กับสภาวะอันนั้น ช่างสังเกตก็รู้อีก นี่จิตหลงไปเกาะอารมณ์นิ่งๆอยู่แล้ว ไปแนบอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ ไม่ถูกอีกแล้ว มันไม่สักว่ารู้ไม่สักว่าเห็น ถลำลงไปรู้

หรือภาวนาบางวันจิตฟุ้งซ่าน ทำอย่างไรก็ไม่สงบนะ หาทางทำตั้งนานแล้วก็นึกขึ้นได้ จิตฟุ้งซ่านพระพุทธเจ้าบอกให้รู้ว่าฟุ้งซ่าน จิตเกิดความไม่ชอบความฟุ้งซ่านขึ้นมาเราไม่รู้ทัน พอรู้ทันมันก็หายไป

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าสภาวะอะไรเกิดขึ้น มันอยู่ที่ความสังเกตของเรา ความสังเกตโดยมีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นบรรทัดฐาน ทำไมมันเที่ยง ทำไมมันสุข หรือภาวนาแล้วรู้สึกว่าเราบังคับได้ นั่งนี่นะ เราเก่ง นั่งทั้งคืนไม่เมื่อยเลย ไม่เมื่อยเลยทำได้ไหม ทำได้ถ้ามีปีติ ถ้ามีปีติไม่รู้ว่ามีปีติ แล้วนั่งเพลินๆไป ก็ติดอยู่ในปีติ ติดอยู่ในภพของนักปฏิบัติ มีความสุข มีความเผลอเพลิน อยู่ที่รู้ทันนะ

บางครั้งจิตไปสร้างสภาวะอะไรขึ้นมา ดูไม่ออกเลย รู้แต่ว่ามันแปลกๆ เพราะหลายวันแล้วมันนิ่งๆอยู่นั่นแหละ พอเห็นว่าทำไมมันนิ่งๆ ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่ามันไปสร้างตรงไหน สร้างเมื่อไรให้สังเกตตอนตื่นนอน พวกนักปฏิบัติชั้นดี พอตื่นปุ๊บก็คิดเชียวว่าจะปฏิบัติอย่างไรดี พอคิดเรื่องการปฏิบัติปั๊บ จิตจะไหวตัวกุ๊กกิ๊ก 2-3 ที แล้วก็เข้ามาอยู่ในภาวะซึ่งมันเคยติดอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าตรงไหนสังเกตยาก ดูไม่ออกจริงๆนะ ดูมันตอนตื่นนอนนั่นแหละดีที่สุดเลย ตื่นนอนแล้วพอคิดถึงการปฏิบัติปุ๊บ จิตมันจะไปสร้างภพขึ้นมาด้วยความเคยชิน เพราฉะนั้นถ้าเมื่อไรเราสังเกตสภาวะออก จิตไปติดไปข้องอยู่ในภพอันใดอันหนึ่ง หรือจิตปฏิเสธภพอันใดอันหนึ่งนี่ไม่ถูกแล้ว ไม่ได้รู้อย่างเป็นกลาง มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นบรรทัดฐาน

ทีนี้บางคนมักง่ายไปนิดหนึ่ง คิดว่าโยนิโสมนสิการคือคิดอย่างแยบคาย คิดอย่างฉลาด คิดอย่างเดียวไม่ได้นะ ต้องมีสภาวะรองรับ ถ้าไม่มีสภาวะรองรับไม่ใช่การทำวิปัสสนาหรอก ฉะนั้นต้องเห็นนะ มีสภาวะรองรับ เช่นจิตมันไปเป็นอย่างนี้

หรือบางคนภาวนารู้สึกจิตเสื่อม มัวๆมืดๆ ดูไม่รู้เรื่อง มาส่งการบ้านว่าหมู่นี้มืดไปหมดเลย ดูไม่รู้เรื่อง หลวงพ่อก็ถาม แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามืด แล้วรู้ได้อย่างไรว่าดูไม่รู้เรื่อง ถ้ามืดรู้ว่ามืด นั่นก็รู้แล้ว ดูไม่รู้เรื่อง รู้ว่าดูไม่รู้เรื่อง ไอ้นั่นก็รู้เรื่องแล้ว จะเอาอะไรล่ะ อยากเอาดีใช่ไหม อยากเอาชัดๆใช่ไหม ไม่มีหรอก ดีตลอดชัดตลอดไม่มี มีแต่เจริญแล้วเสื่อม ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่เจริญแล้วเสื่อม ที่สำคัญคือ รู้ด้วยความเป็นกลาง เจริญแล้วหลงยินดีก็ใช้ไม่ได้ เสื่อมแล้วหลงยินร้ายก็ใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบางทีใจมันเสื่อม ภาวนาแล้วสติไม่เกิดเลยหมู่นี้ โมโหมันนะ ดิ้นรนใหญ่ ใจดิ้นขลุกขลักๆ อย่างชมพูเคยดิ้นเป็นเดือนๆใช่ไหม 2 เดือนใช่ไหม ดิ้นขลุกขลักๆ โอ๊ย เสื่อมไปหมดแล้ว ความจริงถ้ารู้ว่ารู้ได้ไม่ชัด รู้ว่าอยากรู้ให้ชัด รู้ว่ากำลังดิ้นรนเพื่อจะรู้ให้ชัด นี่รู้สภาวะลงปัจจุบัน รู้สภาวะถูกต้องก็ชัดขึ้นมาเองเลย ดีทันทีเลย ไม่มีอะไร ง่ายสุดๆเลย

7
ยินดีที่ได้รู้จักครับ  ;D

Pages: [1]