Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Topics - หงส์น้อยบ้านโค้งดารา

Pages: [1] 2 3 4
1
เขียนไว้เมื่อ วัน เสาร์ ที่ 23 กันยายน 2543 20:47:13

เมื่อแรกผมคิดว่า จะไม่เขียนเรื่องเปรียบเทียบปริยัติกับปฏิบัติอีกแล้ว
แต่คุณดังตฤณ ขอให้ผมเขียนเรื่องอีกสักหน่อยเถิด
ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่มีนักปฏิบัติที่ไหนจะยอมเสียเวลากับเรื่องนี้
ดังนั้นเพื่ออนุโลมตามคำเรียกร้องของคุณดังตฤณ
จึงขอเขียนอีกสักเรื่องหนึ่งก็แล้วกันครับ
ต่อไปนี้ไม่เขียนแล้วนะครับ ไม่อยากมีปัญหา
และในฐานะที่พวกเราสนใจการดูจิต จึงขอเขียนเรื่องจิตก็แล้วกัน

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องของจิต ขอออกนอกเรื่องไปสู่เรื่องที่กำลังเถียงกันในลานธรรม
คือเรื่องที่ว่าพระอรหันต์หัวเราะได้หรือไม่ ซึ่งคุณดังตฤณก็ได้แสดงแล้วว่า
ไม่มีหลักฐานในชั้นพระไตรปิฎกว่า พระอรหันต์หัวเราะไม่ได้

ความจริงแล้วเรื่องพระอรหันต์หัวเราะไม่ได้
เป็นทัศนะของสำนักอภิธรรมบางฝ่ายเท่านั้น
แต่สำนักที่มาตรฐานเช่น อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาจุฬาฯ วัดมหาธาตุ
มีสอนอย่างชัดเจนว่า พระอรหันต์หัวเราะได้
อยู่ในเรื่องวิญญัติรูป คืออาการพิเศษที่ทำให้รู้ความประสงค์ด้วยการเคลื่อนไหวกาย
ซึ่งการยิ้มและการหัวเราะ ก็คืออาการอย่างหนึ่งนั่นเองเพื่อจะแสดงถึงความโสมนัสยินดี
ส่วนจิตที่ทำให้เกิดรูป (ในที่นี้คือเกิดวิญญัติรูปของการหัวเราะ) เรียกว่าจิตตชรูป

จิตตชรูปที่ทำให้เกิดการยิ้มและหัวเราะในปุถุชนมี 8 ดวง
ได้แก่โลภมูลโสมนัส 4 และมหากุศลโสมนัส 4

จิตตชรูปที่ทำให้เกิดการยิ้มและหัวเราะในพระอริยะที่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์มี 6 ดวง
คือจิตโสมนัสที่ไม่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ 2 และมหากุศลโสมนัส 4

สำหรับพระอรหันต์ หัวเราะได้ด้วยจิต 5 ดวงคือ หสิตุปาทจิต 1
และมหากิริยาโสมนัส 4


(ชื่อจิตชนิดต่างๆ อีกสักครู่ก็จะเข้าใจครับ อภิธรรมไม่ยากอย่างที่คิดหรอกครับ)

ผมเข้าใจว่าผู้ที่สับสนถึงขั้นรอนสิทธิ์ไม่ให้พระอรหันต์หัวเราะนั้น
เกิดขึ้นเพราะไปอ่านพบว่า การยิ้มและหัวเราะต่างๆ มี 6 อย่างคือ
สิตะ เป็นการแสดงความยินดีในใบหน้า
หสิตะ คือยิ้มเห็นไรฟัน
วิหสิตะ คือหัวเราะเบาๆ
อุปหสิตะ คือหัวเราะโยกไหล่โคลงศีรษะ
อปหสิตะ คือหัวเราะจนน้ำตาไหล
อติหสิตะ คือหัวเราะจนไหวไปทั้งตัว

คราวนี้พออ่านพบว่า หสิตุปบาทจิต เป็นจิตที่ทำให้พระอรหันต์ยิ้มแย้ม
ก็เลยสรุปว่า พระอรหันต์ต้องยิ้มแบบหสิตะ คือยิ้มเห็นไรฟันเท่านั้น
ลืมไปสนิทว่า พระอรหันต์ยังหัวเราะได้ด้วย มหากิริยาโสมนัส 4
เลยกลายเป็นทำบาปทำกรรมแบบไม่รู้ตัวไปเรื่อยๆ ด้วยการเที่ยวพยากรณ์พระอรหันต์

**********************************

มาคุยกันเรื่องจิตดีกว่าครับ ตำราอภิธรรมชั้นหลังรวบรวมจิตขึ้นได้ 89/121 ดวง
ในขั้นแรกนี้ เราพูดเรื่องจิต 89 ดวงก็แล้วกันครับ
ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้วก็เข้าใจจิต 121 ดวงได้ไม่ยากเลย

ในเบื้องต้นตำราแบ่งกลุ่มของจิตเป็น 4 กลุ่ม ตามภพภูมิต่างๆ นั่นเอง
คือกามาวจรจิต (หรือจิตที่เที่ยวไปในกาม) รูปาวจรจิต (รูป)
อรูปปาวจรจิต (อรูป) และโลกุตรจิต (จิตเหนือโลก)

จิตที่เที่ยวไปในกามภพ เป็นจิตที่ยังกระพร่องกระแพร่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
ก็เลยมีมากชนิดหน่อย ทั้งที่เป็นอกุศล คือประกอบด้วยกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
ทั้งที่เป็นกุศล ทั้งที่เป็นวิบาก และเป็นกิริยาเฉยๆ

เรามาเริ่มรู้จักที่อกุศลจิตชนิดที่มีราคะหรือโลภะแทรกเสียก่อนก็แล้วกันครับ
โลภมูลจิต มีอยู่ทั้งหมด 8 ดวง 8 นี้เป็นผลคูณของ 2 x 2 x 2

2 ตัวแรก มองถึง ที่มาของจิต ว่าเป็นจิตที่ถูกชักชวนหรือมีสิ่งเร้าหรือไม่
เช่นที่อยากดูหนังนั้น เพื่อนชวนหรือเปล่า หรือว่าผ่านหน้าโรงหนังแล้วเลยเข้าไปดูเอง

2 ตัวที่ 2 มองถึง เวทนาที่เกิดกับจิต ซึ่งจิตโลภจะมีเวทนา 2 อย่างเท่านั้น
คือสุขเวทนาทางใจ ซึ่งอภิธรรมเรียกว่าโสมนัสเวทนา
กับความเฉยๆ หรืออทุกขมสุขเวทนา ซึ่งอภิธรรมเรียกว่าอุเบกขาเวทนา
ส่วนทุกขเวทนาไม่มี ถ้ามีทุกขเวทนามันจะกลายเป็นโทสมูลจิตไป

2 ตัวที่ 3 มองถึงความโง่และความฉลาดของจิต
คือมองว่าจิตดวงนั้นประกอบด้วยความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่า

เอาตัวแปรทั้ง 3 ชุด ชุดละ 2 ตัวนี้มาจับกลุ่มกันเข้า มันก็จะกลายเป็นจิตโลภ 8 ดวง
เช่นจิตดวงหนึ่งเป็นจิตที่เกิดโดยมีสิ่งเร้าหรือชักชวน เกิดพร้อมกับความโสมนัส
และประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ
เห็นไหมครับว่า จริงๆ แล้วไม่ได้ยากอะไรเลย

สำหรับโทสมูลจิตมันมีน้อยแค่ 2 ดวงเท่านั้น
คือมันประกอบด้วยโทมนัสเวทนาเหมือนๆ กัน ประกอบด้วยความขัดใจเหมือนกัน
แต่แยกกันด้วยเรื่องที่ว่า มันเกิดขึ้นโดยมีสิ่งเร้าหรือชักชวน หรือไม่เท่านั้น

ส่วนโมหมูลจิตก็มี 2 ดวง คือมันประกอบด้วยอุเบกขาเวทนาทั้งคู่
แต่ดวงหนึ่งประกอบด้วยวิจิกิจฉาความสงสัย อีกดวงหนึ่งประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน

เป็นไงครับ เรารู้จักจิตรวดเดียว 12 ดวงแล้ว

ถัดไปผมขอข้ามลำดับไม่เรียงตามตำรา แต่จะไปพูดถึงกุศลจิตเสียก่อน
ตำราเรียกให้โก้ๆ ว่า มหากุศลจิต มีอยู่ 8 ดวง ตามสูตร 2 x 2 x 2 เช่นกัน
จิตกลุ่มนี้เหมือนกับโลภมูลจิตทุกอย่างครับ ผิดกันตรงที่ว่า
โลภมูลจิตเอาตัวแปรว่ามีมิจฉาทิฏฐิหรือไม่ เข้ามาเป็นตัวคูณตัวหนึ่ง
แต่มหากุศลจิตไม่มีมิจฉาทิฏฐิ แต่เอาญาณหรือปัญญามาเป็นตัวคูณแทน
เช่นดวงแรก ได้แก่จิตที่เกิดโดยไม่มีการชักชวน มีความโสมนัส ประกอบด้วยปัญญา
ดวงที่ 2 ได้แก่จิตที่มีการชักชวน (เช่นเพื่อนชวนไปทำบุญ) มีโสมนัส มีปัญญา
เป็นต้น

ผ่านไปอีก 8 ดวง รวม 20 ดวงแล้วนะครับ
คราวนี้มาถึงมหากิริยาจิต อีก 8 ดวง ซึ่งที่จริงก็คือ มหากุศลจิตนั่นเอง
แต่เกิดในพระอรหันต์ ที่เรียกว่ากิริยาก็เพราะท่านอยู่เหนือดีเสียแล้ว
แล้วก็ยังมีมหาวิบากจิต อีก 8 ดวง รายละเอียดองค์ประกอบเหมือนกับมหากุศลจิตหากแต่เป็นวิบากจิต ไม่ใช่จิตที่จะกระทำกุศลหรืออกุศลได้

ทั้งมหากุศลจิต มหาวิปากจิต และมหากิริยาจิต รวมเรียกว่ากลุ่มกามาวจรโสภณจิต
รวมแล้วได้ 24 ดวง บวกกับที่กล่าวมาแล้วคืออกุศลจิตอีก 12 ดวง
เท่ากับว่าเราทำความรู้จักจิตกันมาแล้ว 36 ดวง

ถัดไปเป็นจิตที่เที่ยวไปในรูป(ภพ) เรียกเสียเพราะเลยว่า รูปาวจรโสภณจิต 15 ดวง
ทำไมจึงต้องเป็น 15 ก็เพราะมาจากสูตร 5 x 3 เท่านั้นเองครับ

5 มาจากรูปฌาน 5 (ฌานในพระสูตรท่านแยกรูปฌานไว้เพียง 4 ชั้น
แต่พระอภิธรรมแยกให้เป็น 5 ชั้น
คือปฐมฌานในพระสูตรและพระอภิธรรม
ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา เหมือนๆ กัน
พอขึ้นทุติยฌาน พระสูตรก็ตัดวิตกวิจารออก 2 ตัวเลย เหลือแค่ปีติ สุข เอกัคตา
ส่วนพระอภิธรรม ตัดวิตกตัวเดียว ยังมีวิจาร ปีติ สุข เอกัคตา
พอถึงฌานที่ 3 ของพระอภิธรรมจึงเหลือเพียงปีติ สุข เอกัคตา
เหมือนฌานที่ 2 ในพระสูตร
ถัดจากนั้นก็เหมือนๆ กันครับ)

3 มาจากชนิดของจิต ว่า (1) จิตดวงนั้นเป็นกุศลจิต
หรือ (2) เป็นวิบากจิตอันเป็นผลของกุศล
หรือ (3) เป็นการเข้าฌานของพระอรหันต์ซึ่งท่านเหนือดีเหนือชั่วไปแล้ว
จิตของท่านจึงไม่เรียกว่ากุศลจิต แต่เรียกว่ากิริยาจิต
3 นี้ พูดให้ง่ายจึงได้แก่ กุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต

ผ่านไป 51 ดวงแล้วครับ
ถัดไปเป็นอรูปปาวจรจิตมี 12 ดวง มาจากสูตร 4 x 3
4 คืออรูปฌาน 4
ส่วน 3 ก็คือกุศลจิต วิบากจิต และกิริยาจิต
รวม 63 ดวงแล้ว เห็นไหมครับว่าไม่ยากหรอกครับ

คราวนี้มาถึงจิตชนิดที่พวกเราไม่คุ้นเคยกัน ผมจึงนำมาพูดทีหลังเพื่อไม่ให้กลุ้มใจ
ได้แก่ อเหตุกวิปากจิต 15 ดวง
จิตกลุ่มนี้คิดเป็นสูตรยากนิดหน่อยครับ
คือมันเป็นวิบากจิตเหมือนๆ กัน เป็นผลของกุศลและอกุศล
และทำงานค่อนข้างไปทางอัตโนมัติ

ขั้นแรกสุด เราลองนึกถึงอายตนะทั้ง 5 คือตา หู จมูก ลิ้น และกายนะครับ
ความสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น 4 อย่างนี้เป็นการสัมผัสแล้วเกิดความรู้สึกเฉยๆ เท่านั้น
เช่นตาที่เห็นรูปนั้น มันเห็นเฉยๆ ไม่รู้สึกว่าสุขว่าทุกข์อะไร
ส่วนการสัมผัสทางกายนั้น มีสุขมีทุกข์ได้ เช่นถูกทุบเบาๆ เรียกว่านวด รู้สึกสุข
แต่ถ้านวดแรงๆ ด้วยไม้หน้าสาม ก็รู้สึกว่าทุกข์

อเหตุกวิปากจิตกลุ่มแรกเกี่ยวเนื่องกับอายตนะทั้ง 5 นี้เอง
ได้แก่วิญญาณทางตา หู จมูก และลิ้น (4 อย่าง) ซึ่งเกิดพร้อมอุเบกขาทั้งสิ้น
แต่ถึงกระนั้น ตำราก็อุตส่าห์แยกออกไปอีก
ว่ามันเป็นวิญญาณที่รู้อารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี
(ถ้าสิ่งที่มากระทบเป็นสิ่งดี ก็แสดงว่าจิตดวงนั้นเป็นวิบากที่ดี
เช่นมีเสียงเพราะๆ มาให้รับรู้
ถ้าสิ่งที่มากระทบไม่ดี ก็เป็นวิบากไม่ดี)
จิตกลุ่มนี้ก็เลยเข้าสูตรได้อีกแล้ว คือ 4 x 2 เป็น 8 ดวง

คราวนี้ก็มีถึงวิญญาณทางกายเป็นวิบากจิตมี 2 ดวง
คือถ้าเป็นวิบากดี สิ่งที่มากระทบจึงดี จิตดวงนี้ก็เกิดพร้อมความสุข
(ตามตำราอภิธรรม ถ้าเป็นสุขกายจะเรียกว่าสุข ส่วนสุขใจเรียกว่าโสมนัส)
ถ้าเป็นวิบากไม่ดี สิ่งที่มากระทบจึงไม่ดี จิตดวงนี้ก็เกิดพร้อมความทุกข์

รวมอเหตุกวิปากจิตทางกายคือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายได้ 10 ดวงแล้วนะครับ
อีก 5 ดวงที่เหลือเป็นจิตที่จะเข้าใจได้ ต้องรู้เรื่องวิถีจิต ที่ผมเขียนไปแล้ว
คือเป็นสัมปฏิจฉันนจิต หรือจิตที่รับอารมณ์ทั้ง 5 เกิดพร้อมกับอุเบกขา
มี 2 ดวงคือจิตที่รับอารมณ์ที่ดี กับที่ไม่ดี
และเป็นสันตีรณจิต คือจิตที่มีหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ทางทวารทั้ง 5 ว่ามันคืออะไร
เป็นจิตที่ประกอบด้วยอุเบกขา 2 ดวง ทำหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ที่ดีกับไม่ดี
ส่วนดวงสุดท้ายของสันตีรณจิต ทำหน้าที่ไต่สวนอารมณ์ที่ดี แต่ประกอบด้วยโสมนัส

เราพูดกันถึงจิต 63 + 15 หรือ 78 ดวงไปแล้วนะครับ
จิตกลุ่มต่อไปเรียกว่า อเหตุกกิริยาจิต มี 3 ดวงเท่านั้น
ได้แก่จิตที่ทำหน้าที่จำแนกอารมณ์ที่มากระทบทวารทั้ง 5
ว่ามันมาทางใด จะได้ส่งสัญญาณให้เกิดวิญญาณทางนั้น
เรียกว่าปัญจทวารวัชชนจิต
กับจิตที่พิจารณาอารมณ์เพื่อจะตัดสินให้เป็นกุศล อกุศล หรือกริยาเพื่อจะเสพย์ต่อไป
เรียกว่า มโนทวารวัชชนจิต
ตัวสุดท้ายคือตัวเจ้าปัญหา ที่เรียกว่า หสิตุบาทจิต
ตำราว่าเป็นจิตที่ทำให้เกิดอาการยิ้มในพระอรหันต์ ประกอบด้วยโสมนัส
(เรื่องจิตพระอรหันต์ จะแยกไปกล่าวรวมกันในตอนท้ายนะครับ)

รวมจิตที่กล่าวไปแล้วได้ 81 ดวง ยังมีโลกุตรจิตอีก 8 ดวง
ได้แก่มรรคจิต 4 และผลจิต 4 เช่นอรหัตตมรรคจิต อรหัตตผลจิต
ครบ 89 ดวงแล้วครับ แล้วถ้าจะทำให้พิสดารออกไปอีกเป็น 121 ดวงก็ง่ายๆ
เอาฌาน 5 เป็นตัวคูณเข้าไป ก็กลายเป็นโลกุตรจิต 40 ดวง
เช่นอรหัตตมรรคจิตที่ประกอบด้วยปฐมฌาน ก็เป็นดวงหนึ่ง
ประกอบด้วยทุติยฌาน ก็เป็นอีกดวงหนึ่ง เป็นต้น

สรุปแล้ว จิต 89 หรือ 121 ดวงประกอบด้วย
อกุศลจิต 12 ดวง (เป็นโลภจิตเสีย 8 ดวง เป็นโทสะและโมหะอย่างละ 2 ดวง)
อเหตุกจิต 18 ดวง กามาวจรโสภณจิต 24 ดวง รูปาวจรจิต 15 ดวง
อรูปาวจรจิต 12 ดวง และโลกุตรจิตอีก 8 หรือ 40 ดวง

ความจริงยังมีวิธีแบ่งกลุ่มจิตแบบอื่นๆ อีกหลายวิธีครับ
เช่นแบ่งตามชาติกำเนิดของจิต คืออกุศลจิต กุศลจิต วิบากจิต และกริยาจิต
แบ่งตามโลกียจิต และโลกุตรจิต เป็นต้น
แต่รวมแล้วยังเป็น 89/121 ดวงดังเดิม

***********************************
(มีต่อ)

2
เขียนไว้เมื่อ วัน ศุกร์ ที่ 25 สิงหาคม 2543 13:46:28

เรื่องนี้เกิดขึ้นจากนักคณิตศาสตร์ท่านหนึ่งชื่อ คณกะ โมคคัลลานะ
ได้เข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้า ที่วัดบุพพาราม เมืองสาวัตถี
ว่าในทางพระพุทธศาสนา มีหลักสูตร หรือลำดับการศึกษาอย่างใดหรือไม่
นับว่าถามได้สมกับที่เป็นนักคณิตศาสตร์จริงๆ ครับ

พระศาสดา ได้ทรงชี้แจงถึงหลักสูตรฝึกอบรมของพระพุทธศาสนา ดังนี้

ขั้นแรกสุด พระองค์จะทรงแนะนำนิสิตของพระองค์ให้มีศีล และสำรวมในปาฏิโมกข์
ซึ่งการถือศีลและสำรวมในปาฏิโมกข์นั้น
ท่านเน้นที่การถือด้วยการมีปัญญาเห็นโทษภัยแม้ในความผิดเพียงเล็กน้อย

ขั้นที่ 2 เมื่อถือศีลได้แล้ว พระองค์จึงจะแนะนำให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า
ให้เป็นผู้สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
การสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 นี้ ท่านไม่ได้สอนว่า อย่าดู อย่ารู้ อย่าเห็น อย่าคิดนึก
หากแต่เมื่อเห็น ก็จงเห็นให้เป็น
ให้เห็นอย่างผู้รู้ ผู้มีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ผู้หลง
คือเห็นรูปเป็นรูป อย่าหลงเอาการเห็นด้วยนิมิตคือเห็นเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เช่นผู้หญิงผู้ชาย
เพราะถ้าไม่สำรวมในขณะเห็นแล้ว
ก็จะถูกความยินดียินร้ายเพราะรูปนั้น ครอบงำจิตใจ
แม้การรู้อารมณ์ทางอื่นๆ ก็ให้สำรวมแบบเดียวกันนี้

ขั้นที่ 3 เมื่อผู้ใดสำรวมอินทรีย์เป็นแล้ว
ท่านจะแนะนำให้เป็นผู้รู้จักประมาณในการรับประทานอาหาร

ขั้นที่ 4 จะทรงแนะนำให้เป็นผู้ทำความตื่นตัว ไม่ให้ประมาทซีมเซาเอาแต่นอน
จะเป็นนักบวชประเภท เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด ไม่ได้
การนอนนั้นท่านก็แนะนำไว้ชัดว่า
"พึงเอาเท้าซ้อนเท้า มีสติรู้สึกตัว ทำความสำคัญว่า จะลุกขึ้นไว้ในใจ
แล้วสำเร็จสีหไสยาโดยข้างเบื้องขวาตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี"

ขั้นที่ 5 เมื่อสามารถรักษาศีล สำรวมอินทรีย์  ขจัดปัญหาเรื่องการกินการนอนได้แล้ว
ท่านจะแนะนำให้เจริญสติสัมปชัญญะ ในทุกอิริยาบถและทุกกิจกรรมของชีวิต

พวกเราที่หัดเจริญสติสัมปชัญญะแล้ว ทำได้ไม่ต่อเนื่อง
หรือรู้ตัวได้แว้บเดียว ก็หลงไปทีละนานๆ
ขอให้ลองสำรวจตนเองว่า สอบผ่านชั้นประถม 4 ชั้นนั้นหรือยัง
ถ้ายังก็ไม่น่าแปลกใจ ที่จะสอบตกในชั้นมัธยมศึกษานี้

ขั้นที่ 6 เป็นขั้นเอาจริงเอาจัง เหมาะสำหรับผู้เจริญสติสัมปชัญญะได้แล้ว
ถ้ายังเจริญสติสัมปชัญญะไม่ได้ โดดเข้ามาเรียนในชั้นอุดมศึกษานี้ ก็เห็นจะย่ำแย่แน่
คือท่านสอนว่า "ดูกรภิกษุ มาเถิด เธอจงพอใจเสนาสนะอันสงัด
คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และ ลอมฟางเถิด
เมื่อออกไปอยู่ป่าแล้ว ก็มีงานที่ต้องทำหลังจากบิณฑบาต
คือนั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า
เพื่อละนิวรณ์ทั้ง 5 ให้ขาดจากจิตใจ

เทคนิคการละนิวรณ์ 5 นั้น ไม่ยากนัก
คือท่านให้ละอภิชฌา(ความยินดี บางแห่งท่านกล่าวถึงกามฉันทะ)ในโลก
ให้เป็นผู้มีใจปราศจากอภิชฌา
(นักดูจิตจะทราบว่า วิธีง่ายๆ ก็คือ พอรู้กามฉันทะ กามฉันทะก็ดับไป)
ให้ละพยาบาท โดยคิดอนุเคราะห์เกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูต
ให้ละถีนมิทธะแล้ว โดยมีอาโลกสัญญา(ความหมายรู้แสงสว่าง) มีสติสัมปชัญญะอยู่
ให้อุทธัจจกุกกุจจะ โดยเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบภายในอยู่
ให้ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามความสงสัย ไม่มีปัญหาอะไรในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่
(วิธีง่ายๆ ก็คือให้รู้ความสงสัย แล้วก็อย่าไปหลงตามความสงสัย)


การจะเข้ารับการฝึกอบรมในขั้นออกวิเวกนี้
เหมาะกับผู้ที่เจริญสติสัมปชัญญะเป็นแล้ว
มิฉะนั้น จะไม่สามารถต่อสู้กับนิวรณ์ได้
อาจจะตื่นกลัว หรือหลงเพลินไปกับความสงบสงัดเลยก็ได้
พวกเราที่อยากจะไปหาที่วิเวก ก็พิจารณาตนเองก่อนนะครับ
ว่าสอบผ่านขั้นเจริญสติสัมปชัญญะได้หรือยัง


ขั้นที่ 7 เมื่อละนิวรณ์ ๕ ประการได้แล้วก็คือ การเจริญสมาธิ
โดยสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
เป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติ  มีสติสัมปชัญญะอยู่
และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน
ที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่
เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่

*******************************************

ขั้นตอนการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า แปลกกว่าที่เราเคยได้ยินกัน
ที่เราเคยได้ยินกันนั้น มักจะให้หัดเข้าฌานเพื่อข่มนิวรณ์
พอข่มนิวรณ์แล้ว จึงเจริญปัญญาด้วยความมีสติสัมปชัญญะ
แต่นี่ท่านกลับสอนให้ปรับเงื่อนไขพื้นฐาน
เกี่ยวกับความประพฤติและความเป็นอยู่เสียก่อน
จากนั้นจึงหัดเจริญปัญญาด้วยความมีสติสัมปชัญญะ
แล้วละนิวรณ์ เจริญสมาธิไปตามลำดับ
เพื่อให้สติสัมปชัญญะหนักแน่นมั่นคงขึ้นอีก
อันเป็นการยกระดับจิตใจให้เจริญในธรรมยิ่งขึ้นไปตามลำดับ
เข้าลักษณะ
ใช้ปัญญาอบรมศีล ใช้ศีลอบรมปัญญา
ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ และใช้สมาธิอบรมปัญญานั่นเอง


พระพุทธเจ้าท่านสรุปในตอนสุดท้ายว่า
"ดูกรพราหมณ์ ในพวกภิกษุที่ยังเป็นเสขะ
ยังไม่บรรลุพระอรหัตมรรค
ยังปรารถนาธรรมที่เกษมจากโยคะอย่างหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้อยู่นั้น
เรามีคำพร่ำสอนเห็นปานฉะนี้
ส่วนสำหรับภิกษุพวกที่เป็นอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ
สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะผู้ชอบนั้น
ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่สบายในปัจจุบัน
และเพื่อสติสัมปชัญญะ ฯ"


นักคณิตศาสตร์ฟังหลักสูตรการฝึกอบรมของพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็สวมวิญญาณของนักคณิตศาสตร์ ทูลถามสถิติของผู้ผ่านการฝึกอบรมว่า
สาวกทุกรูป หรือบางส่วน ที่สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรนี้
พระศาสดาตรัสตอบว่า สำเร็จบางส่วน

ผู้ถามก็เกิดความฉงนใจขึ้นว่า เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น
ทั้งที่หลักสูตรที่ดีก็มีอยู่ พระศาสดาผู้สอนก็มีอยู่
ทำไมจึงมีผู้สำเร็จเพียงบางส่วน

ตรงนี้แหละที่พระศาสดาตรัสตอบว่า
ในเมื่อนิพพานก็ดำรงอยู่ ทางไปนิพพานก็ดำรงอยู่
เราผู้ชักชวนก็ดำรงอยู่ แต่ก็สาวกของเราอันเราโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้
บางพวกเพียงส่วนน้อย ยินดีนิพพานอันมีความสำเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่ยินดี
ดูกรพราหมณ์ ในเรื่องนี้ เราจะทำอย่างไรได้
ตถาคตเป็นแต่ผู้บอกหนทางให้ ฯ


พระสูตรนี้จบลงด้วยคำอุทานของพรหมณ์คณกะ โมคคัลลานะ ที่ว่า
แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า
พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยปริยายมิใช่น้อย
เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทาง
หรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีตาดีจักเห็นรูปทั้งหลายได้ ฉะนั้น
ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ
ขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

**********************************************

พวกเราอ่านธรรมของพระพุทธเจ้ากันแล้ว อย่าอ่านเปล่าๆ นะครับ
ลองสำรวจตนเองดูว่า เราเป็นนักเรียนในชั้นไหน
เพราะบางท่านใจร้อนเกินไป
พอเริ่มปฏิบัติก็คิดจะละกามบ้าง คิดจะละมานะและอวิชชาบ้าง
ทั้งที่ยังต้องปรับฐานของศีล และอินทรียสังวรให้ดีก่อน
ยังต้องหัดให้มีสติและสัมปชัญญะที่ถูกต้องเสียก่อน
เรียกว่าพยายามเรียนลัด ซึ่งสำเร็จได้ยากครับ

มาลองสำรวจตนเองดูบ้างสิครับ
หากเห็นว่าอะไรยังบกพร่องอยู่ ก็ตั้งใจแก้ไขไปตามลำดับ
อย่างผมเองพอเขียนกระทู้นี้แล้ว ก็ได้มาสำรวจตนเอง
พบข้อบกพร่องว่า ยังคลุกคลีกับหมู่พวกมากเกินไป
ตอนนี้ก็ใกล้จะบวชแล้ว เห็นจะต้องปรับตัวเองเสียก่อน
(เพราะในกระทู้นี้ ก็มาชวนพวกเราปรับตัวกันแล้ว
หากตนเองไม่ปรับตัวเสียบ้างเลย ก็ให้อายที่จะแนะนำให้หมู่เพื่อนปรับตัว)
ดังนั้น ผมจึงตั้งใจที่จะคลุกคลีกับพวกเราให้น้อยลง
โดยเฉพาะกับหมู่เพื่อนหญิงทั้งหลาย
ที่ผมจะสมาทานธรรมเกี่ยวกับมาตุคาม
ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนท่านพระอานนท์
มาหัดปฏิบัติให้เคยชินไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะบวช
มิฉะนั้นบวชแล้ว อาจจะเผลอร้องทักทายญาติธรรมฝ่ายหญิงเพราะเคยชิน
ดูจะไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าที่ควรจะเป็น

ญาติมิตรทั้งหลาย ถ้าเห็นผมหัดสำรวม ก็อย่าแปลกใจนะครับ
มันเป็นความพยายามเล็กๆ อันหนึ่ง ของคนที่พยายามจะดีน่ะครับ

********************************************

ขอกล่าวเพิ่มเติมสักนิดครับว่า พระสูตรนี้เป็นพระสูตรสอนพระ
ไม่ใช่พระสูตรสอนฆราวาสนักปฏิบัติโดยตรง
ถ้าฆราวาสจะนำมาใช้ ก็ต้องปรับให้เข้ากับความเป็นไปได้เสียก่อน

เช่นในส่วนของการถือศีล การสำรวมอินทรีย์ การเจริญสติสัมปชัญญะนี่
เป็นเรื่องที่พอจะทำได้ แม้จะไม่ง่ายเท่าพระ
การปลีกวิเวก ก็พอจะทำได้เป็นครั้งคราว นานๆ ครั้ง
ขืนคุณผู้หญิงหนีสามีไปวิเวก คุณผู้ชายหนีการช่วยภรรยาเลี้ยงลูกอ่อนไปวิเวก
แบบนั้นเข้าข่ายละทิ้งหน้าที่ มากกว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรม
พวกเราที่เป็นฆราวาส ศึกษาพระสูตรนี้แล้ว
ก็พิจารณาด้วยปัญญา นำมาปฏิบัติให้พอเหมาะพอดีกับเพศของเรา

อย่างการสำรวมอินทรีย์ที่ผมพูดถึงนั้น เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับผม
เพราะผมมีปกติไม่ดูหนังฟังเพลงอยู่แล้ว มีปกติชอบเจริญสติสัมปชัญญะอยู่แล้ว
เพียงแต่เข้มงวดกับตนเอง ให้เฝ้าสังเกตจิตใจตนเองมากขึ้น พูดตามความจำเป็น
อย่างเรื่องกินอยู่หลับนอนก็ง่ายๆ อยู่แล้ว ไม่เลือกอาหาร
ที่หลับที่นอนก็นอนเสื่อ นอนไม้กระดานมาตลอดร่วม 20 ปีแล้ว
ทุกวันนี้ภรรยาของผมก็เอาอย่าง คือรื้อที่นอนออกหมด
แล้วปูเสื่อนอนบนไม้กระดานอีกทีหนึ่ง เพราะรู้สึกสุขสบายที่นอนอย่างนี้
สุขภาพก็ดี จิตใจก็ดื ไม่ใช่การบำเพ็ญตบะ ทรมานกายแต่อย่างใด
เสื้อผ้าเครื่องใช้ ก็ใช้ตามความจำเป็น ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยอะไร

******************************************

พวกเราคงจำกันได้ถึงตัวอย่างของท่านผู้ครองเรือนผู้มีนามว่า ท่านปิปผลิ
ท่านแต่งงาน นอนบนเตียงเดียวกับภรรยา โดยมีพวงมาลัยดอกไม้กั้นกลาง
ภรรยาของท่าน ก็เป็นผู้มีศรัทธา ศีล และปัญญาเช่นเดียวกับท่าน
พึงพอใจที่จะกระทำเช่นนั้นร่วมกัน
ท่านครองชีวิตคู่ด้วยความผาสุก
มีธรรม ไม่ใช่กาม เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจร่วมกัน
เลี้ยงดูบิดามารดาจนสิ้นชีวิต หมดหน้าที่ทางโลก
แล้วสามีภรรยาก็พากันออกบวชบรรลุพระอรหันต์ด้วยกันทั้งคู่
ท่านปิปผลิ ได้ฉายานามว่า ท่านพระมหากัสสปเถระ
ผู้เป็นแบบอย่างบรมครูของพระป่าในบ้านเรา และพระเซ็นในหลายประเทศ

ท่านเป็นตัวอย่างบุคคลในอุดมคติครับ
เราไม่พร้อมถึงขั้นจะทำอย่างท่านก็ไม่เป็นไร
(เพราะแค่นึกถึงท่านก็ชื่นใจแล้ว)
เอาเพียงแค่ ดูตนเองว่า เราทำได้แค่ไหนก็แค่นั้น
ขอเพียงมีพื้นฐานที่สำคัญคือ รักษาศีล 5 ไว้
แล้วเจริญสติสัมปชัญญะให้มากๆ ไว้ ก็พอครับ
อย่างอื่นก็ค่อยลดค่อยละไปเมื่อสติ สมาธิ ปัญญาแก่กล้าขึ้น
จนพอทำได้อย่างไม่เหลือวิสัยที่จะกระทำ

3
เขียนไว้เมื่อ วัน อาทิตย์ ที่ 3 กันยายน 2543 18:40:55

ผมได้อ่านพระสูตรเรื่องหนึ่ง เป็นคำสอนของท่านพระมหากัสสปเถระ
เกี่ยวกับธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติสำคัญผิดว่าตนเป็นพระอรหันต์
และธรรม 10 ประการที่เป็นความเสื่อมในธรรมวินัย
เห็นว่าเป็นเครื่องเตือนใจ ให้เราสำรวจและเตือนตนเองได้เป็นอย่างดี
จึงขออัญเชิญมาให้พวกเราอ่านร่วมกัน

จาก พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 16
อังคุตรนิกาย ปัณณาสก์ที่ 2 เถรวรรคที่ 4 อัญญสูตร

ธรรมบทนี้ เป็นธรรมที่ท่านพระมหากัสสปเถระแสดงให้พระภิกษุฟัง
ณ วัดป่าไผ่ (เวฬุวันวิหาร) ใกล้เมืองราชคฤห์
เราจะเห็นว่า ท่านพระมหากัสสปเถระไม่ได้อยู่ถ้ำปิบผลิคูหาตลอดเวลา
แต่ท่านเข้ามาพักในวัดเป็นครั้งคราวเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม วัดในยุคนั้น ก็มักจะเป็นวัดนอกเมือง ไม่ใช่วัดกลางเมือง
เช่นวัดเวฬุวันอยู่ใกล้เมือง วัดอัมพวัน ก็อยู่นอกกำแพงเมือง เป็นต้น
การอยู่วัดของท่านในครั้งกระนั้น จึงไม่ต่างจากการอยู่วัดป่าในยุคนี้)

พระสูตรนี้เริ่มโดย ท่านพระมหากัสสปะได้เล่าให้พระภิกษุฟังว่า
มีพระบางองค์สำคัญผิดโดยสุจริต แล้วได้ประกาศตนว่าสำเร็จพระอรหันต์
แต่เมื่อ "พระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต ผู้ได้ฌาน ผู้ฉลาดในสมาบัติ
ผู้ฉลาดในจิตของผู้อื่น ผู้ฉลาดในการกำหนดรู้จิตของผู้อื่น
ย่อมไล่เลียง สอบถาม ซักถามภิกษุนั้น
ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้เปล่า ถึงความเป็นผู้ไม่มีคุณ
ถึงความไม่เจริญ ถึงความพินาศ"
  (หมายถึงพบว่าไม่ได้เป็นพระอรหันต์จริง)

ตรงนี้มีจุดน่าสังเกตนิดหนึ่งว่า  พระพุทธเจ้าและพระสาวกบางท่าน
สามารถกำหนดรู้ได้เอง ว่าใครบรรลุธรรมหรือไม่ เป็นพระอรหันต์หรือไม่
แต่ที่ท่านสอบซักไล่เลียง ก็เพื่อให้เจ้าตัวรู้ว่า ตนยังไม่เป็นพระอรหันต์
ไม่ใช่ท่านจะต้องนั่งสอบอารมณ์เสียก่อน จึงจะทราบได้ว่า บรรลุหรือไม่
ถึงยุคนี้ พระป่าท่านก็ยังไม่นิยมสอบอารมณ์กัน เพราะเสียเวลาเกินจำเป็น
แค่เพียงมองหน้าก็รู้ถึงใจกันแล้ว

ท่านพระมหากัสสปเถระ เล่าให้พระภิกษุฟังต่อไปว่า
พระตถาคตหรือสาวกท่านย่อมพิจารณาว่า
เพราะเหตุใด จึงเกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้โดยบริสุทธิ์ใจ
พระตถาคต หรือสาวกของพระตถาคตผู้ได้ฌาน ... กำหนดใจด้วยใจแล้ว
ย่อมรู้ภิกษุนั้น อย่างนี้ว่า
ท่านผู้นี้มีสุตะมาก ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก
ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ
ซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง

เพราะฉะนั้น ท่านผู้นี้จึงมีความสำคัญผิด ...
จึงพยากรณ์อรหัตผลด้วยความสำคัญผิดว่า
เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว ... กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้

ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตบางประการคือ
กรณี "อรหันต์สำคัญผิด" นั้น เกิดได้จากหลายสาเหตุ
ที่ท่านพระมหากัสสปเถระยกมา น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งเท่านั้น
และแรงจูงใจให้ท่านยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว
ก็น่าจะเกิดจากเหตุการณ์จริงในช่วงนั้น
ที่พระเถระฝ่ายปริยัติธรรมสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์
แล้วพระพุทธเจ้า หรือพระสาวกชี้ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นจริง

น่าแปลกใจนะครับ ว่าทำไมท่านพระมหากัสสปเถระผู้เป็นพระป่า
จึงวิจารณ์ข้อผิดพลาดของพระฝ่ายปริยัติ
มิหนำซ้ำยังมาแสดงธรรมเรื่องนี้ในวัด
ซึ่งมีพระปริยัติและพระหนุ่มเณรน้อยมากมายเสียอีก
จะว่าท่านอคติต่อพระปริยัติก็เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
ผมเข้าใจว่า ท่านอาจจะเจตนาอธิบาย
ให้พระหนุ่มเณรน้อยเข้าใจว่า โอกาสพลาดมันมีได้จริง
ไม่ควรตระหนกตกใจจนระส่ำระสายว่าขนาดอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปริยัติยังพลาดได้
และควรถือเป็นบทเรียน ที่จะไม่ให้พลาดอย่างนั้นบ้าง

ท่านพระมหากัสสปเถระคงไม่มีเจตนาซ้ำเติมพระฝ่ายปริยัติ
แม้จะมีเรื่องราวในอรรถกถาธรรมบทอยู่มากมาย
ถึงความขัดแย้งระหว่างพระฝ่ายปริยัติต่อพระปฏิบัติ
(พระปฏิบัติท่านจะไม่ขัดแย้งด้วย
แต่มักจะถูกรุกรานจนมีเรื่องถึงพระพุทธเจ้าเสมอ
ดังนั้น หากนักปฏิบัติในยุคนี้ จะถูกนักปริยัติรุกรานบ้าง
ก็ขอให้เข้าใจว่า เป็นเรื่องธรรมดามาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล)

ข้อสังเกตประการต่อมาก็คือ ในครั้งพุทธกาลนั้น การศึกษาพระปริยัติธรรมมีขึ้นแล้ว
โดยพระภิกษุจะทรงจำพระวินัยบ้าง พระสูตรต่างๆ มากบ้างน้อยบ้าง
แล้วถ่ายทอดอบรมสั่งสอนต่อสานุศิษย์
กระทั่งบางคราว พระพุทธเจ้าทรงสั่งให้พระภิกษุสาธยายพระสูตรให้ทรงฟังก็มี

พระปริยัติธรรมในยุคนั้น ยังไม่น่ากลัวเท่าพระปริยัติธรรมในยุคถัดๆ มา
ซึ่งยิ่งนานวัน ยิ่งละเอียดซับซ้อน
เพราะมีการเขียนตีความและขยายความธรรมในชั้นเดิมมากขึ้นทุกที
โอกาสที่ผู้ศึกษาพระปริยัติธรรมในชั้นหลังจะพลาดเพราะรู้มากไป จึงยิ่งมีมาก
และเมื่อพลาดแล้ว ก็ไม่มีพระพุทธเจ้า หรือพระสาวกที่ชำนาญทางจิตจะแก้ไขให้
เพราะท่านผู้ศึกษามากคงไม่ยอมฟังท่านที่เรียนตำรามาน้อยกว่าตน

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ
ท่านผู้ศึกษาและสั่งสอนพระปริยัติธรรมนั้น
ไม่ใช่อยู่ๆ ท่านจะสำคัญตนเป็นพระอรหันต์ได้
ผมเข้าใจว่า ท่านจะต้องลงมือเจริญสติไปแล้ว แล้วจึงเกิดวิปลาสขึ้น
(มีต่อ)

4
เขียนไว้เมื่อ วัน จันทร์ ที่ 25 กันยายน 2543 11:22:00

ขึ้นชื่อว่าจิตแล้ว จะหาสิ่งใดวิจิตรพิสดารเท่า  นั้นยากจริงๆครับ
ทั้งที่จิตเองก็เป็นเพียงธรรมชาติรู้อารมณ์เท่านั้นเอง
แต่กลับมีปรากฏการณ์แปลกประหลาดได้ตั้งมากมาย

*****************************************

ถ้าพวกเรายังจำกันได้ถึงเรื่องราวของคุณแม่น้อยแห่งวัดหินหมากเป้ง
หรือประวัติและธรรมเทศนาของครูบาอาจารย์อีกหลายองค์
จะพบว่าจิตของท่าน(บางองค์) จะมีปรากฏการณ์ประหลาด
เช่นจะเกิดการถามตอบถกเถียงปัญหากันภายในจิต
ในลักษณะผู้หนึ่งถาม อีกผู้หนึ่งตอบ ราวกับว่ามีจิตสองดวง ทั้งที่จิตย่อมมีดวงเดียว
เรื่องนี้เกิดกับผู้ปฏิบัติบางท่านเท่านั้น บางท่านไม่เกิดเลย
ซึ่งก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะไม่เกิดก็ไม่เสียหาย
ถ้าเกิดแล้วรู้ไม่ทัน กลับจะพาเสียหายได้มากกว่า

คือเมื่อเราปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง เกิดติดขัดหรือสงสัยในธรรมขึ้นมา
จิตก็อาจจะตั้งคำถามขึ้น แล้วจู่ๆ โดยที่ไม่ได้จงใจคิดนึก
ก็มีผู้พูด หรือตอบคำถามนั้นขึ้นมาในจิต
บางคราวก็สั่งสอนกันดีๆ
แต่บางคราวถ้าตัวที่สงสัยมีความเห็นแย้ง ก็จะเกิดโต้แย้งกันภายใน
มีการสอบสวนถกเถียงกันจนแน่ใจ แล้วสรุปลงในวงของไตรลักษณ์
จิตก็จะเกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมเรื่องนั้น เกิดความสุขความเบิกบานขึ้นมา

แต่ถ้าเถียงกันแล้ว ไม่ลงในวงไตรลักษณ์
ก็ขอให้ระมัดระวังไว้ว่า นั่นจะเป็นกลมายาของกิเลสหลอกลวงเอา
ด้วยกำลังความฟุ้งซ่านของจิต
ถ้าไปหลงยึดถือเข้าก็อาจจะติดวิปัสสนูปกิเลสโดยง่าย

บางท่านไม่เพียงแต่จิตแสดงธรรม หรือถกเถียงธรรมะกัน
แต่จะเกิดเป็นนิมิตรูปพระพุทธเจ้าบ้าง รูปครูบาอาจารย์บ้าง
ปรากฏขึ้นมาแสดงธรรมให้ฟังบ้าง มาตอบข้อข้องใจที่กำลังติดขัดอยู่บ้าง
ความจริงแล้วก็เป็นกระบวนการแสดงธรรมของจิตนั่นเอง เพียงแต่มีภาพนิมิตประกอบ
ถ้าเล่าให้ผู้อื่นฟัง ก็อาจจะเกิดงงขึ้นมา
เพราะคิดว่าพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ในพระนิพพานจะมาแสดงธรรมให้ฟัง
ทั้งที่นิพพานปราศจากรูปและนาม ปราศจากอายตนะที่จะเชื่อมต่อกับโลก
ท่านที่นิพพานเหมือนไฟที่ดับสลายไปแล้ว
จะกลับเป็นเปลวไฟขึ้นอีกย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

การที่จิตเกิดถามปัญหาแล้วมีผู้ตอบ
หรือเกิดนิมิตครูบาอาจารย์หรือเทพมาแสดงธรรมให้ฟังนั้น
ยังมีได้อีกสาเหตุหนึ่ง คือมีเทพที่เคยอุปการะกันมา เมตตามาชี้แนะให้
เช่นเดียวกับพระพรหมสุทธาวาสองค์หนึ่ง มาเตือนท่านพาหิยะให้ตระหนักว่า
ตนเองไม่ใช่พระอรหันต์ และเวลานี้ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก
ท่านพาหิยะจึงรีบไปเฝ้าฟังธรรม แล้วได้เป็นพระสาวกที่รู้ธรรมเร็วที่สุด

ผมเองก็เคยพบเห็นเรื่องเช่นนี้เหมือนกัน
และเมื่อเช้านี้ คุณธีรชัยก็มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แล้วขอให้ช่วยเขียนเรื่องนี้
คุณธีรชัยกลัวว่าจะปฏิบัติผิดพลาด ก็เลยทิ้งความรู้ทั้งหมดนั้น โดยไม่สนใจกับมัน
ซึ่งนับเป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะจิตนั้นสอนธรรมก็ได้ กิเลสมาหลอกเอาก็ได้
โอปปาติกะหลอกหลอนเอาก็ได้
ถึงอย่างไรก็ต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน

ดังนั้น ถ้าปฏิบัติแล้วเกิดความรู้ความเห็นใดๆ ก็ควรทิ้งเสีย
เพราะเราปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ เพื่อปล่อยวางภาระ ไม่ใช่เพื่อความรอบรู้ใดๆ

ส่วนความรู้นั้น จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่สำคัญ
เหมือนที่เซ็นกล่าวว่า จริงคือเท็จ เท็จคือจริง
คือเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ และเมื่อรู้แล้วก็ควรปล่อยวางเสีย
ถ้าสิ่งที่แสดงขึ้นนั้นเป็นธรรมจริงๆ จะพิจารณาลงในวงของไตรลักษณ์
แล้วจิตจะสงบเบิกบานอยู่ช่วงหนึ่ง
ถึงเราไม่จดจำไว้ หรือไม่ยินดียินร้ายด้วย
จิตเองนั่นแหละ ได้ซึมซับธรรมที่ถูกต้องเข้าไว้ในดวงจิตแล้ว

สำหรับประเด็นสุดท้ายก็คือปัญหาที่ว่า
จิตสอนธรรมให้ตัวเองได้อย่างไร
เรื่องนี้ไม่เคยได้ยินในตำรา
แต่ผมเคยถามครูบาอาจารย์หลายองค์ เช่นหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
คำตอบที่ได้รับก็คือ จิตเป็นธรรมชาติรู้
เขาจะรู้ขึ้นเฉยๆ ก็ได้ หรือเขาจะแสดงสัญลักษณ์ออกมาเป็นสมมุติบัญญัติ
เช่นภาษาพูด หรือนิมิตภาพพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ ด้วยก็ได้

********************************************

จิตสอนจิต กับการคิดเอาเองมีความต่างกันครับ
คือจิตสอนจิตนั้น ไม่มีความจงใจ เช่นกำลังเดินจงกรมทำสติสัมปชัญญะอยู่
เกิดเห็นเงาอะไรวูบวาบมา จิตเกิดความกลัวขึ้น
จิตก็จะเตือนตนเองว่าให้มีสติไว้ แล้วอาจจะแสดงธรรมให้ฟัง
บางคราวนั่งสมาธิอยู่ โดยก่อนนั่งติดขัดในข้อธรรมบางอย่าง
ระห่างนั่งก็ไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้ว เฝ้าทำสติสัมปชัญญะไป รู้ตัว ไม่เผลอ ไม่เพ่ง
จู่ๆ จิตรวมลงนิดหนึ่งแล้วเกิดนิมิตเป็นครูบาอาจารย์มาแสดงธรรมเรื่องนั้นให้ฟัง
หรือเกิดนิมิตเป็นสัญลักษณ์ให้แปลความหมายแก้ข้อสงสัยได้
จิตมีความชุ่มชื่นเบิกบานรื่นเริงในธรรม
แต่ทั้งหมดนี้ อย่าไปยึดถือนะครับ
จริงหรือเท็จไม่สำคัญ สำคัญที่รู้ทันจิตตนเองเท่านั้น
ส่วนความคิดจะจงใจตั้งแต่หาหัวข้อมาคิดแล้ว
แล้วก็หาเหตุผล คิดเทียบตำราและคำของครูบาอาจารย์
แต่การคิดก็มีประโยชน์ในระดับหนึ่งนะครับ
เวลาจิตเตลิดเอาไม่อยู่ ก็ใช้ความคิดนี้แหละ สอนมันตรงๆ เข้าไปเลย
หรือจะพิจารณาธรรมด้วยความคิด เช่นพิจารณาความตาย พิจารณากายก็ได้
เหมือนคนจะจมน้ำ เจอสิ่งใดลอยมาพอจะช่วยตัวได้ ก็เอาไว้ก่อนเถอะครับ

**********************************************

การทำญาณให้เห็นจิตเหมือนดังตาเห็นรูปนั้น
หมายถึงให้รู้เท่าทันกิริยาอาการทั้งหมดที่กำลังปรากฏ

เช่นเมื่อเกิดราคะ ก็เห็นสภาวะหรือปรมัตถธรรมของราคะ
อันเป็นความรู้สึกที่แทรกเข้ามาในจิต
เมื่อจิตเกิดตัณหา คือมีแรงผลักดันให้ทะยานส่งออกไปยึดอารมณ์ด้วยอำนาจของราคะ
ก็รู้ถึงแรงผลักดันและอาการทะยานไปยึดอารมณ์ของจิต
ที่ไปทางตา หู .. ใจ(โลกของความคิด)

สรุปแล้ว ก็คือให้รู้ปรมัตถธรรมหรือสภาวะของจิตใจตนเองให้ทันครับ
ไม่ใช่นั่งคิดๆ เอาว่า ตอนนี้จิตเราคงจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
คงจะมีเจตสิกฝ่ายอกุศลตัวนั้นตัวนี้ ฯลฯ
แบบนั้นรู้แต่ชื่อกิเลสตัณหา รู้แต่ชื่อกุศลต่างๆ เอาไปทำอะไรจริงไม่ได้
เหมือนเข้าไปชกกับนักมวยฝ่ายตรงข้ามที่หายตัวได้ คงจะโดนชกข้างเดียวเท่านั้นเอง

5
เขียนไว้เมื่อ วัน พุธ ที่ 19 กรกฎาคม 2543 09:10:35

เราเคยพูดกันถึงเรื่อง ความเห็นว่าจิตเป็นเราหรือสักกายทิฏฐิ
และเรื่อง ความยึดว่าจิตเป็นเรา หรือจิตเป็นตัวกู ไปคราวหนึ่งแล้ว
วันนี้จะขอคุยกันต่อให้หมดเปลือกของพระพุทธศาสนากันเสียที
เพราะถ้าไม่ผิดแผน .. ปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า
ผมก็คงไม่มีโอกาสมาคุยกับพวกเราอีกแล้ว

จิตที่เป็นตัวเรา หรือตัวกู ยังไม่ใช่จิตอวิชชา
แต่เป็นจิตที่ประกอบด้วยสังโยชน์ที่เรียกว่า มานะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัสมิมานะ
(การถือตัวว่านี่ฉัน นี่กู กูเป็นนั่นเป็นนี่, การถือเราถือเขา
- พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก)
หากสามารถผ่านด่านของ จิตที่เป็นตัวเรา หรือตัวกู แล้ว
จึงจะถึงจุดสุดท้ายของการปฏิบัติ คือจิตอวิชชา

ก่อนที่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตที่เป็นตัวเรา หรือตัวกู กับจิตอวิชชา
ผมขอทบทวนแนวทางการปฏิบัติ
ก่อนจะพบความยึดมั่นว่าจิตเป็นตัวเรา สักเล็กน้อย

ในบื้องต้น ให้ผู้ปฏิบัติจำแนกให้ออก ระหว่างจิตผู้รู้ กับอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้
แล้วรู้อารมณ์ทั้งปวงที่กำลังปรากฏ
โดยจิตที่ไม่หลงเข้าไปแทรกแซง ยินดี ยินร้ายต่อสิ่งที่ถูกรู้นั้น

การจะจำแนกผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้
ไม่ได้ทำด้วยการเอากำลังเข้าหักหาญฉุดดึงจิตออกจากอารมณ์
แต่อาจจะเริ่มจากการทำสมถะ จนจิตเป็นหนึ่ง อารมณ์เป็นหนึ่ง(สงบ)
แล้วรู้ขึ้นว่า ความสงบเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ และจิตก็เป็นเพียงผู้รู้ความสงบ

ถ้าเริ่มต้นจากการทำสมถะไม่ได้ ก็ให้ใช้ปัญญา
คือเฝ้าสังเกตกิเลสสักตัวหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับจิตใจ
เช่นความสงสัย ความโกรธ ฯลฯ
แล้วเฝ้ารู้อย่างใจเย็นๆ จนมันดับไป
ก็จะพบว่า กิเลสเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ เกิดแล้วก็ดับไป
ส่วนจิตเป็นผู้รู้ ผู้ดูกิเลสที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ถ้าทำคราวเดียวยังจำแนกผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ไม่ออก
ก็อย่าตกอกตกใจ ให้เฝ้ารู้กิเลสที่กำลังเกิดไปเรื่อยๆ ด้วยความใจเย็น
ไม่นานนักก็จะจำแนกได้ว่า อันนี้อารมณ์ที่ถูกรู้ อันนี้จิตผู้รู้อารมณ์

จากนั้น ก็เพียรมีสติ รู้อารมณ์ทั้งปวงที่กำลังปรากฏเรื่อยไป
ด้วยจิตที่รู้ตัว ไม่เผลอ
จะเห็นว่าบางคราว จิตก็อยู่คนละส่วนกับอารมณ์
บางคราว จิตก็จมอยู่กับอารมณ์ แยกกันไม่ออก
หลักปฏิบัติในขั้นนี้มีอันเดียว
คือให้รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ด้วยจิตที่เป็นกลาง
ก็จะเห็นความเกิดดับของอารมณ์ทั้งปวงเรื่อยไป

ด้วยวิธีนี้ สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะแก่กล้าไปตามลำดับ
ถึงจุดหนึ่ง ความคิดนึกปรุงแต่งก็จะดับไป
ผู้ปฏิบัติจะเกิดความรู้รวบยอด
ถึงความเป็นไตรลักษณ์ของสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง
และรู้จักกับธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ตายเป็นครั้งแรก
ถึงตรงนี้ ผู้ปฏิบัติจะไม่มีความเห็นผิดอีกแล้ว ว่าจิตเป็นเรา
เพราะความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา เกิดจากความคิดนึกปรุงแต่งทั้งสิ้น

หลังจากนั้น สติปัญญาก็จะละเอียดยิ่งขึ้น
ทำให้รู้เท่าทันกิเลสตัณหาที่ละเอียดยิ่งขึ้นไปด้วย
จะเห็นว่า ก่อนที่กิเลสจะเกิดขึ้น มันจะต้องมีผัสสะ
คือการกระทบอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
หากกระทบแล้ว สติปัญญาตามทัน มันก็จบอยู่เพียงเท่านั้น
ถ้าตามไม่ทัน จะพบว่า เมื่อมีผัสสะ
ก็จะมีการปรุงสัญญาคือความจำได้หมายรู้ และเวทนา ขึ้นมาในจิต
หากรู้ทันตรงนี้ กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบอีก
แต่ถ้ายังรู้ไม่ทัน สัญญาและเวทนาจะปรุงเป็นความคิดขึ้นมา
ถ้ารู้ทันตรงนี้ กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบอีก
แต่ถ้ารู้ไม่ทัน ตะกอนกิเลสที่อยู่ในภวังคจิตก็จะเริ่มฟุ้งขึ้นมา
กิเลสจะผุดขึ้นมากลางอก
ถ้ารู้ทันตรงนี้ กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบได้เหมือนกัน
แต่ถ้าไม่รู้ทัน กิเลสจะหลอกล่อให้จิตเกิดตัณหา เป็นแรงทะยานออกไปยึดอารมณ์
ตรงนี้ถ้ารู้ทัน กระบวนการปรุงแต่งของจิตก็จบลงอีก
แต่หลังจากนั้น ถ้าจิตหลงส่งทะยานออกไปยึดอารมณ์แล้ว
จิตจะเกิดความเป็นตัวกู ของกู  ขึ้นมากระโดดโลดเต้นทันที
ตรงนี้สายเสียแล้ว ที่จะพ้นจากความทุกข์เพราะความเป็นตัวตนของจิต

ผู้ปฏิบัติในขั้นนี้ ยังคงเห็นความเกิดดับของอารมณ์ ดังที่เคยเห็นมาแล้ว
แต่สติปัญญาจะว่องไว และเข้าใจกลไกของจิตมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งเกิดความรู้รวบยอดครั้งที่สอง
คราวนี้กิเลสราคะ โทสะ และโมหะ จะเบาบางลงมาก
เพราะสติปัญญาว่องไว พอที่จะไม่ปรุงแต่งเติมเชื้อไฟให้กิเลส
พอประกายกิเลสเกิดวาบขึ้น สติปัญญาจะทำงานเป็นอัตโนมัติ
แล้วกิเลสก็จะดับไป ก่อนที่จะลุกลามเป็นไฟกองใหญ่

******************************************

แม้จะผ่านการเกิดความรู้รวบยอดถึงสองครั้งแล้ว
ผู้ปฏิบัติก็ยังไม่เห็นจิตอวิชชาอย่างแท้จริง
จะเห็นได้ก็เพียงเงาๆ ของจิตที่เป็นตัวเราหรือตัวกูเท่านั้น

ด้วยสติปัญญาที่ละเอียดมากขึ้น
ผู้ปฏิบัติก็จะเห็นกิเลสตัณหาละเอียดมากยิ่งขึ้น
และจะเห็นว่า จิตยังมีความพอใจในกามคือความสุขทางกายทั้งปวง
เมื่อได้ความสุขนั้นมา ก็ยังมีความพอใจ อิ่มใจ
เมื่อไม่ได้ความสุขนั้น ก็มีความขัดใจ หรือขุ่นใจเล็กๆ
จิตจะรู้ชัดว่า จิตยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งเร้าภายนอก
ซึ่งหาสาระแก่นสารใดๆ ไม่ได้
เพราะสิ่งเร้าภายนอกล้วนเป็นของที่เกิดๆ ดับๆ ไปตามสภาพ

ในขั้นนี้ ผู้ปฏิบัติที่ชำนาญในการดูจิตใจตนเอง
อาจจะรู้เห็น จิตที่เป็นตัวเราหรือตัวกู ได้เป็นครั้งคราว
แต่ถึงยังไม่ชำนาญทางจิต
ก็จะเห็นชัดถึงความไม่มีสาระของสิ่งเร้าภายนอก
รวมทั้งความไร้สาระของกาย
จนเกิดความรู้รวบยอดครั้งที่สาม

จิตในขั้นนี้ ก็จะไม่ไหลไปตามสิ่งเร้าภายนอก
แต่จะจำกัดวงความรู้เข้ามาที่ตัวจิตเอง


อาศัยความสังเกตจิตตนเองอย่างละเอียดที่สุด
ผู้ปฏิบัติก็จะเห็นสังโยชน์เบื้องสูง 4 ประการ แทรกอยู่ในจิต
คือรูปราคะ ความพอใจในการเพ่งรูป
อรูปราคะ ความพอใจในการเพ่งนาม
อุทธัจจะ ความกระเพื่อมไหวนิดๆ ของจิต
เพื่อจะสรุปทบทวนสิ่งที่จิตกำลังดำเนินอยู่
ว่ากำลังทำอะไรอยู่ มีความถูกผิดอย่างไร
และการปฏิบัตินั้น จะนำไปสู่ความรู้แจ้งได้หรือไม่
เป็นความไหวกระเพื่อมในเรื่องของทิฏฐิ คือความเห็นผิดเห็นถูก
ไม่ใช่ความฟุ้งซ่านไปในกาม
และ มานะ คือความรู้สึกเทียบเราเทียบเขา

ถึงจุดนี้ ผู้ปฏิบัติส่วนมากจะมองกิเลสไม่ออก
เพราะกิเลสในขั้นนี้ ล้วนเป็นกิเลสของคนรักดี

เช่นความพอใจในสมาธิ อันได้แก่รูปราคะและอรูปราคะ
ความพอใจในปัญญา อันได้แก่อุทธัจจะ
แม้กระทั่งความนอบน้อมถ่อมตน
รู้สึกว่าครูบาอาจารย์เป็นของสูง
ส่วนเรายังต่ำต้อยจะต้องพยายามเอาอย่างครูบาอาจารย์ให้ได้
อันนี้ก็คือมานะ
กิเลสเหล่านี้ หน้าตาไม่เหมือนกิเลส
แต่หน้าตาเหมือนกุศล
ผู้ปฏิบัติส่วนมากจึงนอนแช่มันอยู่ด้วยความเต็มใจจนตลอดชีวิต

แต่ผู้มีปัญญารอบคอบ หรือได้รับคำชี้แนะจากครูอาจารย์
จะเกิดความเฉลียวใจย้อนสังเกต โดยไม่จงใจเพ่งจ้อง
และรู้ชัดด้วยใจว่า
เมื่อมีรูปราคะ ก็มีจิตที่เป็นเรา ผู้ยินดีในรูปราคะ
เมื่อมีอรูปราคะ ก็มีจิตที่เป็นเรา ผู้ยินดีในอรูปราคะ
เมื่อมีอุทธัจจะ ก็มีจิตที่เป็นเรา ผู้ปรารถนาความหลุดพ้น
เมื่อมีมานะ ก็มีจิตที่เป็นเรา ผู้เทียบตนเองกับท่าน

ทันทีที่รู้ถึงจิตที่เป็นเรา หรือจิตที่มีอัสสมิมานะ
ความเป็นเราของจิตก็จะสลายตัวลงทันที
จิตจะเข้าถึงสภาวะอันหนึ่ง
ที่เข้ามารู้อยู่ที่จุดเดียว คือตัวจิตเอง
จะกล่าวว่า เป็นสภาวะที่เป็นหนึ่ง
คือจิตผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสิ่งเดียวกันก็ได้
เมื่อมันเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง
ก็ย่อมไม่มีความซึมซ่านของจิตออกไปภายนอก


(มีต่อ)

6
เขียนไว้เมื่อ วัน พุธ ที่ 11 ตุลาคม 2543 08:40:33

เราเคยได้ยินกันจนชินหูเกี่ยวกับปัญญา 3 ชนิดคือ
สุตตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา
วันนี้เราลองมาสนทนากันว่า นักปฏิบัติผู้อบรมภาวนามยปัญญานั้น
จะเกิดปัญญารอบรู้ในเรื่องใดได้บ้าง
เพื่อนๆ แต่ละท่าน อาจจะกำหนดคำตอบด้วยตนเองก็ได้
ว่าท่านเองมีปัญญาเรื่องใดบ้าง อันเป็นผลจากการปฏิบัติธรรม

*************************************

หากให้ผมลองประมวลว่า ที่ปฏิบัติธรรมมานานนั้น ได้ความรู้อะไรบ้าง
ก็เห็นจะสรุปได้ว่า พอจะรู้อยู่ 3 เรื่องด้วยกัน

ความรู้ชนิดแรก เป็นผลของสมถกรรมฐาน
แล้วจิตน้อม (บางท่านถึงขั้น น้อมจิต ไปได้ตามใจปรารถนา แต่ผมทำไม่ได้ถึงเพียงนั้น)
ไปรู้ถึงอดีตบ้าง
จิตน้อมไปรู้ถึงความตายและความเกิดของสัตว์ต่างๆ บ้าง
ได้เห็นว่า ในการเดินทางท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏนั้น เป็นเรื่องเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง
เดี๋ยวก็ขึ้นสูง เดี๋ยวก็ลงต่ำ หาความแน่นอนอะไรไม่ได้เลย
หากแต่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามกระแสกรรมของตนเอง
ช่วงใดวิบากกรรมที่ดีให้ผล ก็เกิดหรือประสบพบเห็นสิ่งที่เจริญกายเจริญใจ
ช่วงใดวิบากกรรมที่เลวให้ผล ก็เกิดหรือประสบพบเห็นสิ่งที่ไม่เจริญกายเจริญใจ
บางคราวรู้ถึงปัญหาชีวิตที่รออยู่ข้างหน้า เนื่องจากกรรมบางอย่างกำลังจะให้ผล
จึงพยายามดิ้นรนที่จะป้องกันแก้ไข แต่ก็ไม่อาจต้านทานกระแสกรรมได้

ด้วยความรู้พิเศษอันเป็นผลของสมถกรรมฐานนี้เอง
เป็นเหตุให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า กัมมสกตาปัญญา คือความรู้ว่ากรรมเป็นสมบัติของเราเอง

ความรู้ชนิดนี้ยังเป็นความรู้ที่ไม่จำกัดเฉพาะชาวพุทธ
เพราะคนศาสนาอื่นที่เป็นกัมมวาที ก็มีอยู่
เนื่องจากสมถกรรมฐาน เป็นของสาธารณะ ในลัทธิศาสนาอื่นก็มี

แต่การที่เป็นกัมมวาทีนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะพ้นจากความหลงผิดได้
เพราะจิตที่ไม่ได้เจริญวิปัสสนา จะเกิดความหลงผิดได้ว่า
จิตนี้แหละเที่ยง จิตนี้แหละเป็นอมตะ
เมื่อมันออกจากร่างหนึ่งแล้ว ก็ไปเกิดในร่างใหม่ได้
และร่างใหม่จะดีหรือเลว จะพบความสุขหรือทุกข์ ก็เพราะกรรมที่เคยทำมา
ซึ่งอันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ที่เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ นั่นเอง

ปัญญาที่ยิ่งกว่านี้ อันเป็นภาวนามยปัญญา ยังมีอยู่อีก
แต่เป็นปัญญาอันเกิดจากการเจริญวิปัสสนา เรียกว่าวิปัสสนาปัญญา
ได้แก่ปัญญาที่เห็นว่าขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์ นั่นเอง
ดังเช่นที่พวกเราเดินจงกรม รับรู้ความรู้สึกทางกายที่มากระทบกัน ระหว่างเท้ากับพื้น
หรือรับรู้ความรู้สึกสุข ทุกข์ และเป็นกลางๆ ในจิต
หรือรับรู้ถึงกุศล และอกุศลที่เกิดขึ้นในจิต เป็นต้น
เราก็จะรู้ชัดอยู่เสมอๆ ถึงความเกิดดับของรูปธรรมและนามธรรม อย่างเป็นปัจจุบัน
ด้วยจิตที่เป็นกลาง ปราศจากความยินดีและความยินร้าย
หรือถ้าจิตเกิดความยินดียินราย ก็รู้ทันอีก
จนจิตกลับเข้าสู่ความตั้งมั่นและเป็นกลาง แล้วรู้อารมณ์ที่กำลังปรากฏต่อไป

วิปัสสนาปัญญานี้ จะทำให้สิ่งเร้าต่างๆ ทั้งทางวัตถุและนามธรรม
ลดอำนาจยั่วยวนจิตให้หลงใหล จนถึงขั้นที่จิตจะรู้จักปล่อยวางต่อไป

ในระหว่างการเจริญวิปัสสนานั้น ผู้ที่มีจิตใจละเอียดอ่อน
จะสังเกตเห็นกลไกการทำงานของจิตได้ด้วย
คือเห็นชัดว่า ความทุกข์นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลอยๆ
แต่เกิดขึ้นเป็นคราวๆ เมื่อจิตทะยานเข้าไปยึดอารมณ์อันหนึ่งอันใด
หากจิตไม่ทะยานเข้าไปยึดอารมณ์ ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น
นี้คือการชิมลางที่จะเห็นอริยสัจจ์อย่างถึงใจ อันเป็น โลกุตรปัญญา
แต่ในขั้นที่เราเห็นความเกิด - ดับของทุกข์ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยของทุกข์ กันอยู่อย่างนี้
ยังเป็นขั้นการเจริญวิปัสสนาด้วยธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานอยู่

จิตที่เจริญวิปัสสนาปัญญามากเข้าๆ ก็จะเริ่มถอดถอนตนเองออกจากสิ่งห่อหุ้ม
จนหลุดออกจากสิ่งห่อหุ้ม เสมือนไม่มีอะไรห่อหุ้มอยู่อีก
แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะพบว่า จิตยังไม่หลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์
มันมีสภาพคล้ายๆ กับต้นไม้ ที่แหวกพ้นจากดินขึ้นมา ยืนต้นแตกกิ่งใบได้แล้ว
สัมผัสกับความโปร่งว่างของอากาศ
สัมผัสความเย็นของหยาดฝน สัมผัสความอบอุ่นของแสงแดด
ดูเหมือนจะเป็นอิสระเต็มที่ ถ้าไม่ย้อนสังเกตเห็นว่า รากยังติดดินอยู่

ปัญญาที่จะถอนรากของจิตจากอุปาทานขันธ์ได้อย่างเบ็ดเสร็จ เรียกว่าโลกุตรปัญญา
เป็นสภาพที่จิตมีปัญญาจนยอมรับด้วยใจถึงทุกข์อริยสัจจ์ที่ปรากฏอยู่
ปราศจากตัณหาหรือความอยากที่จะพ้นจากทุกข์ แล้วเที่ยวแสวงหาสิ่งอื่นเป็นที่อิงอาศัย
ปราศจากการวิพากษ์วิจารณ์ ออกความคิดความเห็น หรือให้ค่ากับสิ่งทั้งปวง
เป็นสภาพคล้ายๆ การยอมจำนน แต่ไม่ใช่การยอมจำนน
แต่เป็นการหยุด เงียบ ระงับ สลัดคืนทุกสิ่งกระทั่งจิตให้กับธรรมชาติไป
แล้วก้าวเข้าสู่ความดับ ทั้งรูป นาม ขันธ์ อายตนะ ธาตุ กระทั่งตัวจิตเองในวับเดียว

เมื่อจิตผ่านสภาวะนั้นออกไปแล้ว จิตก็หมดรากที่จะยึดขันธ์
หมดธุระการงานที่จะต้องพากเพียรต่อไป
มีแต่ความเบิกบานสบายบนความไม่ยึดติดอะไรเลย

ผมพอจะเข้าใจ ปัญญาชนิดนี้และการทำงานของมัน บ้างแล้ว
เพราะเห็นบุคคลตัวอย่าง และเห็นร่องรอยมาแล้ว
แต่ที่ต้องนำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังก่อนที่จะทำได้จริง
ก็เพราะต่อไปจะไม่มีโอกาสเล่าอีกแล้ว
จึงหวังเพียงการทิ้งร่องรอยไว้ให้หมู่เพื่อนทั้งหลาย
จะได้เห็นแนวทางพอที่จะตามๆ กันไปได้ต่อไป

*****************************************

จิตนี้ที่จริงแล้วตกอยู่ใต้อำนาจของไตรลักษณ์ครับ
คืิอไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาด้วย

จิตเองก็มีปัจจัยที่ทำให้เกิดได้แก่ อวิชชา ตัณหา กรรม และนามรูป
และเมื่อจิตเกิดมาแล้ว ก็อยู่ใต้อำนาจไตรลักษณ์ตลอดเวลา
เช่นเราจะสั่งให้มันตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่แปรปรวน หรือไม่ให้มันตกภวังค์ ก็สั่งไม่ได้
จะสั่งให้มันเลือกรู้เฉพาะอารมณ์ทางตา ไม่รู้อารมณ์ทางหู ก็ไม่ได้
จะสั่งให้มันเลือกรู้แต่อารมณ์ที่ดี ไม่รู้อารมณ์ที่ไม่ดี ก็ไม่ได้
จะสั่งให้มันดีตลอด ไม่ให้เกิดอกุศลเลย ก็สั่งไม่ได้
จะสั่งให้มันโกรธอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้หายโกรธเลย ก็สั่งไม่ได้เช่นกัน

แต่ที่อี๊ดรู้สึกว่า จิตมีหนึ่งเดียว แล้วเวียนรู้อารมณ์นั้นอารมณ์นี้ ดีบ้างชั่วบ้าง
พอตายแล้วก็ออกจากร่างไปเกิดใหม่
ทัศนะอย่างนี้เป็นทัศนะธรรมดาทั่วไปครับ
ส่วนมากใครๆ ก็รู้สึกอย่างนี้ (เว้นแต่พวกที่คิดว่าตายแล้วสูญ)
เนื่องจากจิตที่เกิดมาใหม่นั้น มันมีความจำได้หมายรู้เกิดมาด้วยพร้อมกับจิต
และจิตดวงใหม่ มันรับมรดกกรรมสืบเนื่องมาจากจิตดวงเก่าๆ
เราก็เลยคิดว่ามันเป็นอันเดียวกัน
คล้ายๆ กับเราจุดไม้ขีดไฟ แล้วเอาไฟไปจุดเทียน
ไฟของไม้ขีด กับไฟของเทียนมันร้อนเหมือนกัน แสงสีเหมือนกัน
เราก็เลยนึกว่า มันเป็นไฟอันเดียวกัน
ทั้งที่มันเป็นเพียงไฟที่ต่อเนื่องกันไปเท่านั้น

**************************************

การที่นั่งทำสมาธิแล้วรู้ว่า
"กายนี้ไม่ใช่ของเรา ตัวเราก็เป็นเพียงอาการรู้เท่านั้นเอง หน้าตา รูปร่างอะไรก็ไม่มี"
ก็นับว่าเป็นความรู้ที่ถูกต้องอันหนึ่ง
แต่ความรู้ตรงนี้ยังไม่พอถึงขั้นปลอดภัยจากความหลงผิดนะครับ
เพราะนักปฏิบัตินอกพระพุทธศาสนาเขาก็เห็นเหมือนกันว่ากายไม่ใช่เรา
ส่วนตัวเราเป็นเพียงธรรมชาติรู้ หรือจิตนั่นเอง
ความเห็นว่าจิตเป็นเรานี้แหละ แสดงว่า สักกายทิฏฐิ ยังมีอยู่

ความรู้ความเข้าใจทุกชนิด เมื่อพบคราวแรกก็ย่อมนำความตื่นเต้นยินดีมาให้
แต่เมื่อพบบ่อยๆ ก็ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ ไป
แม้แต่เรื่องโลกๆ ก็เป็นอย่างเดียวกัน
เหมือนคนที่เป็นแฟนกัน เวลาเจอหน้ากัน
ย่อมตื่นเต้นกว่าคนที่แต่งงานอยู่กินกันแล้ว
ถ้าไม่เชื่อถาม หนึ่ง ดูก็ได้ :)

ที่ต่ายเล่าว่า เดินอยู่แล้วโดนคนกระแทกเข้าจังๆ
เห็นความโกรธพุ่งออกมาจากกลางอก แล้วก็ดับทันที รู้ชัดๆจังๆว่า โทสะมันไม่ใช่เรา
อันนี้เป็นความรู้ที่ถูกต้องแล้ว แต่เมื่อรู้แล้วก็ให้ทิ้งความรู้นั้นเสีย
อย่าเอามาอนุมานสำหรับการรู้คราวต่อไป

เช่นต่อไปโดนคนกระแทกอีก เกิดความโกรธขึ้นอีก
ก็ให้รู้ความเกิดดับของความโกรธไป
ไม่ใช่เอาความรู้เดิมมาอนุมานว่า ความโกรธไม่ใช่เรา
แต่ต้องให้รู้ความเกิดดับของความโกรธจริงๆ


ธรรมดาของจิตนั้น ถ้ามันสรุปอะไรไว้แล้ว
มันมักจะชินกับการเอาความรู้ของเก่ามาตัดสินปรากฏการณ์ใหม่
ทำให้หมดโอกาสที่จะหาความรู้เพิ่มขึ้น

เช่นพอความโกรธเกิดขึ้น ก็จะไม่สนใจรู้สภาวะของความโกรธ
แต่ไปคิดรวบยอดเอาว่า ความโกรธไม่ใช่เรา ช่างมันเถอะ
กลายเป็นการเอาความจำ เข้ามาปิดกั้นการเรียนรู้สภาวธรรมอันเป็นปัจจุบันของจิต
แล้วก็เกิดความภูมิใจว่า เดี๋ยวนี้ฉันรู้ทันความโกรธ พอรู้ปุ๊บมันก็ดับปั๊บ

ที่ผ่านมาจิตของต่ายมันชอบสรุปเอาเองล่วงหน้าอย่างนี้
เช่นเดินจงกรมอยู่แล้วเกิดความรู้เห็นหรืออาการอย่างนั้นอย่างนี้
ก็ไปหลงยินดีกับมัน แล้วสรุปเอาเลยว่า
อันนี้คืออย่างนี้ เกิดจากอย่างนี้ แก้ได้อย่างนี้
แทนที่จะเฝ้ารู้ความเกิดดับของสภาวธรรมทั้งหลายต่อไปด้วยจิตที่เป็นกลาง

เวลาพบหน้าครูบาอาจารย์จึงต้องถูกเข่นเป็นธรรมดา
เพราะถ้าได้รับคำชมก็จะยิ่งเหลิงว่าตัวเก่งหนักเข้าไปอีก
แล้วก็จะพยายามไปปฏิบัติเพื่อหาความรู้ความเห็นต่างๆ มาคุยอีก
แทนที่จะเฝ้ารู้ เฝ้าสังเกตจิตใจของตนไปอย่างเงียบๆ เพื่อความพ้นทุกข์ของตนเอง

**************************************************

เวลาที่เราเจริญสติมากๆ จิตมันเป็นอย่างนั้นแหละครับคุณอี๊ด
ประเภทกายหลับ จิตยังไม่ยอมหลับ แต่กลับตื่นขึ้นทำสมาธิ
ต่อเมื่อภาวนาไปนานๆ มันจะเปลี่ยนสภาพไปอีก
คือหลับก็หลับลงภวังค์ไปเลย เป็นการพักจริงๆ
ตอนตื่นจะรู้กายเช่นลมหายใจ หรือรู้จิตทันทีเป็นอัตโนมัติ

ช่วงที่ผมยังหนุ่มกว่านี้
จิตใจมันยังขยันแบบไม่รู้จักแยกเวลาปฏิบัติกับเวลาพักผ่อน
คราวหนึ่งผมไปราชการต่างจังหวัด ตอนนั้นยังเด็กก็ต้องนอนห้องละ 2 คน
พอหลับ จิตก็ตื่นขึ้นนั่งสมาธิตลอดคืน สดชื่นดีเหลือเกิน
พอเช้ามืดตื่นขึ้นมา เห็นเพื่อนร่วมห้องนอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่
เรียกขึ้นมาถามก็ได้ความว่า เมื่อคืนเขาหลับไปตื่นหนึ่ง
พอลืมตาขึ้นก็เห็นผมนั่งสมาธิอยู่บนเตียง
แล้วก็เห็นผมอีกคนหนึ่งนอนหลับอยู่
เขาคิดว่าผมเลี้ยงผีเอาไว้นั่งเฝ้าเวลาเจ้าของหลับ
ก็เลยรีบคลุมโปงอยู่จนสว่าง

เรื่องนี้เล่ากันสนุกๆ นะครับอย่าคิดมาก
ถ้าคุณอี๊ดมีอาการกายหลับแต่จิตตื่นบ่อยๆ
สักวันอาจจะมีคนเห็นอย่างนี้บ้างก็ได้เหมือนกันเวลาที่เราเจริญสติมากๆ จิตมันเป็นอย่างนั้นแหละครับคุณอี๊ด
ประเภทกายหลับ จิตยังไม่ยอมหลับ แต่กลับตื่นขึ้นทำสมาธิ
ต่อเมื่อภาวนาไปนานๆ มันจะเปลี่ยนสภาพไปอีก
คือหลับก็หลับลงภวังค์ไปเลย เป็นการพักจริงๆ
ตอนตื่นจะรู้กายเช่นลมหายใจ หรือรู้จิตทันทีเป็นอัตโนมัติ

ช่วงที่ผมยังหนุ่มกว่านี้
จิตใจมันยังขยันแบบไม่รู้จักแยกเวลาปฏิบัติกับเวลาพักผ่อน
คราวหนึ่งผมไปราชการต่างจังหวัด ตอนนั้นยังเด็กก็ต้องนอนห้องละ 2 คน
พอหลับ จิตก็ตื่นขึ้นนั่งสมาธิตลอดคืน สดชื่นดีเหลือเกิน
พอเช้ามืดตื่นขึ้นมา เห็นเพื่อนร่วมห้องนอนคลุมโปงตัวสั่นอยู่
เรียกขึ้นมาถามก็ได้ความว่า เมื่อคืนเขาหลับไปตื่นหนึ่ง
พอลืมตาขึ้นก็เห็นผมนั่งสมาธิอยู่บนเตียง
แล้วก็เห็นผมอีกคนหนึ่งนอนหลับอยู่
เขาคิดว่าผมเลี้ยงผีเอาไว้นั่งเฝ้าเวลาเจ้าของหลับ
ก็เลยรีบคลุมโปงอยู่จนสว่าง

เรื่องนี้เล่ากันสนุกๆ นะครับอย่าคิดมาก
ถ้าคุณอี๊ดมีอาการกายหลับแต่จิตตื่นบ่อยๆ
สักวันอาจจะมีคนเห็นอย่างนี้บ้างก็ได้เหมือนกัน


7
บทความนี้ ลุงถนอมได้ลงตอบกระทู้ของคุณ Student ไว้ ผมเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่ถนัด อานาปานสติ (ดูลมหายใจ)นะครับ

ลุงถนอม : คำอธิบายเรื่อง วิตก วิจาร ในองค์ฌานนั้น เข้าใจว่าน่าจะสงสัยในเรื่องการทำสมถะให้ถึงฌานมากกว่า ดังนั้นขอคัดลอก
พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช มาให้อ่านกัน ซึ่งตรงนี้เป็นคลิปส์ที่ยังไม่ได้เผยแพร่นะครับ เลยเอาลิงก์มาให้อ่านไม่ได้
และคัดมาเพียงส่วนหนึ่งของคลิปส์นี้เท่านั้นครับ เพราะยังทำไม่เสร็จ ยังรอกระบวนการสุดท้าย และรอคิวเผยแพร่อยู่ครับ >>>

สมถะอีกชนิดหนึ่งเป็นสมถะเต็มรูปแบบ อันนั้นทำยากแล้ว ในยุคนี้ที่มาเรียนกับหลวงพ่อ หลวงพ่อเห็นอยู่ไม่กี่คน มีไม่มาก ที่ทำสมถะเต็มรูปแบบได้ เห็นมีคุณดำเกิง มีอาจารย์วิชา อาจารย์วิชาเป็นลูกศิษย์อาจารย์วิริยังค์ทำอานาปานสติ คุณดำเกิงเป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านก็ทำอานาปานสติเหมือนกัน พวกนี้เขาฝึกสมาธิ เขาฝึกกันทุกวัน หายใจไปนะ หายใจไป หัดใหม่ๆก็จะไปรู้ลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก ลมหายใจเนี่ยเขาเรียกว่า "บริกรรมนิมิต" ไปรู้ลมหายใจ ไม่เอาสติไปที่อื่นแล้ว มีแต่สติอยู่กับลม แต่ว่าไม่เผลอตัวนะ ไม่เคลิ้ม ไม่ลืมตัว รู้สึกตัวอยู่ แล้วก็เห็นร่างกายนี้หายใจ ใจเป็นคนดูอยู่ เห็นลมอยู่ เอาลมหายใจนี้เป็นอารมณ์

หายใจไปนะ ทีแรกลมหายใจจะยาว หายใจเป็นธรรมชาติเนี่ย เราจะหายใจยาว หายใจลึกนะ หายใจไปถึงท้องเลย ทีนี้พอเราหายใจไปเรื่อย จนเริ่มสงบ ลมหายใจจะสั้น สั้นๆนะ จนขึ้นมาอยู่ที่ปลายจมูกนี้หน่อยเดียว เพราะฉะนั้นพอลมมันละเอียด ลมมั้นสั้นนะ ค่อยๆละเอียดๆนะ ใจนี้มันจะโล่งว่าง จะสว่าง มันจะรู้สึกสว่าง

ทำไมรู้สึกสว่าง เวลาคนนั่งสมาธินะ เลือดจะมาเลี้ยงสมองส่วนหน้านี้เยอะ ถ้าคนฟุ้งซ่านนะ เลือดจะไปเลี้ยงที่อื่น ไปเลี้ยงมือเลี้ยงเท้ามั้ง เลี้ยงปาก แต่พอจิตเริ่มสงบนะ เลือดมาอยู่ที่ตรงนี้เยอะ จะให้ความรู้สึกว่าสว่าง สบาย แต่ไม่ใช่ว่าสว่างขึ้นมาเพราะเลือดมาอยู่ที่หัวหรอกนะ อันนี้สำหรับมนุษย์นะ เทวดาเขาไม่มีเลือดนี่ เขานั่งสมาธิเขาก็สว่างได้เหมือนกัน พอจิตมันสงบมันก็จะสว่างขึ้นมา

ทีนี้สว่างทีแรกมันก็จะสว่างอยู่ตรงนี้ เป็นดวงขึ้นมา ให้เราดูดวงสว่างตรงนี้แทนลมหายใจ เพราะลมหายใจสั้น..จนลมหายใจหยุดไปแล้วนะ จะเป็นดวงสว่างขึ้นมา ใช้แสงสว่างตรงนี้แทนลมหายใจ ตัวนี้เรียกว่า "อุคคหนิมิต" ไม่ใช่บริกรรมนิมิตแล้ว ตัวลมเป็นแค่บริกรรมนิมิตนะ พอมันเป็นความสว่างเกิดขึ้น เป็นอุคคหนิมิต ใช้ความสว่างนี้เป็นอารมณ์กรรมฐาน หายใจไปเรื่อย..แต่มันไม่รู้สึกว่าหายใจเท่าไหร่ มันเหมือนหายใจทางผิวหนัง แต่ใจมันจะสว่าง รู้ในความสว่าง มันก็ใหญ่ๆขึ้นมาได้นะถ้าฝึกชำนาญ ถ้าไม่ชำนาญก็จะถลำลงไปในแสงแล้วก็เบลอร์ไปเลย เคลิ้มๆไป ถ้าชำนาญก็จะขยับได้ ให้ใหญ่แค่ไหนก็ได้ ให้เต็มโลกก็ได้ จิตใจก็เริ่มมีปีติมีควาสุขขึ้นมา นี่ได้สมาธิ

พอมีสมาธิขึ้นมาแล้วนะ ก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น จิตมันยังตรึกมันยังตรองถึงดวงสว่างนี้อยู่ เรียกว่ามีวิตกมีวิจารอยู่ จิตยังไม่ละเอียดจริง เราเฝ้ารู้ไปนะ จิตมันสงบขึ้นมาเนี่ย มันทิ้งการตรึกการตรองในตัวนิมิต ไม่เอานิมิตนะ มันกลับมารู้ที่จิตได้ จิตมันตั้งมั่นขึ้นมาเป็นตัวผู้รู้ขึ้นมา พอจิตตั้งมั่นเป็นตัวผู้รู้แล้วเนี่ยมันจะเห็นว่ามีความสุขเกิดขึ้น มันมีความสุขอยู่แล้วแหละแต่ทีแรกมันหวือหวามันไม่ดูความสุขนะ มันมัวแต่ไปดูนิมิต จิตมันเปลี่ยนจากการรู้นิมิตมาดูความสุขแทน ความสุขก็จะดับให้ดู เป็นอุเบกขาขึ้นมา มีปีติ มีสุข สุดท้ายจิตเป็นอุเบกขา แล้วทรงตัวเป็นผู้รู้อยู่นะ บางทีร่างกายหายไปเลย ไม่มีร่างกายแล้ว



8
เขียนไว้เมื่อ วัน พฤหัสบดี ที่ 21 กันยายน 2543 09:54:42

ผมเคยเรียนเรื่องอริยสัจจ์ 4 มาตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา
เรียนแล้วเกิดความสงสัยอย่างมากว่า ทุกข์ เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็รู้จัก
แต่เหตุใดพระพุทธเจ้าท่านต้องมาสอนให้สาวกรู้จักทุกข์ด้วย
(คนรุ่นผมตอนเด็กเขามีวิชาศีลธรรมให้เรียนกัน
ตำราของกระทรวงศึกษาธิการสอนไว้ จำได้เลยว่า นิพพาน แปลว่า ตาย
ตอนเด็กๆ จึงรู้สึกว่า นิพพานนี่น่ากลัว ไม่น่าปรารถนาเลย)

ความทุกข์ที่พระองค์นำมาแสดง เป็นของตื้นๆ พื้นๆ อย่างยิ่ง
เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว
เพราะใครๆ ก็เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย
หรือใครๆ ก็รู้ว่า การประสบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์
การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์  และเมื่อไม่ได้อย่างที่ใจอยากก็เป็นทุกข์
ใครๆ ก็เคยเศร้าโศก ร่ำไรรำพัน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้นใจ เหี่ยวแห้งใจ

ตอนโตขึ้นมาหน่อย อ่านพระพุทธประวัติบ้าง ชาดกบ้าง
แล้วรู้สึกรักพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง
เพราะท่านต้องทนลำบากบำเพ็ญบารมีมาตั้งสี่อสงไขยแสนมหากัปป์
ในพระชาติสุดท้ายก็ทรมานพระกายจนสลบ
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของมหาบุรุษที่กินใจเด็กๆ มาก
แล้วก็มาสงสัยอยู่อีกหน่อยหนึ่งว่า
ท่านทนลำบากตั้งมากมาย เพียงเพื่อจะทราบและสั่งสอนว่า
ใครๆ ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายกระนั้นหรือ
ความลำบากของพระองค์ กับธรรมที่ทรงรู้ เหตุใดจึงมีน้ำหนักต่างกันนัก

แรกที่เริ่มลงมือศึกษาปฏิบัติธรรมจริงๆ จังๆ ได้ฟังครูบาอาจารย์สอนว่า
รู้ทุกข์อย่างเดียวก็คือปฏิบัติกิจของอริยสัจจ์ 4 ครบแล้ว
แต่ก็ยังเห็นว่าทุกข์ไม่ใช่เรื่องลึกซึ้ง
มรรคต่างหาก เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งกว้างขวางมาก

ปฏิบัติมาช่วงหนึ่งจึงเห็นความสำคัญของเรื่องทุกข์จับใจ
ว่าประเด็นไม่ใช่อยู่ที่ว่า ให้รู้ว่าคนเราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
เพราะอันนั้น ใครๆ ก็รู้อยู่แล้ว
แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า
ให้รู้และยอมรับด้วยใจว่า
ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตลอดจนบรรดาความทุกข์ต่างๆ และสิ่งทั้งปวง
มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติธรรมดาต่างหาก
ถ้าไปหลงยึด หรือปฏิเสธมันเข้า นั่นแหละจะเกิดทุกข์ซ้ำสอง


การปฏิบัติธรรม ก็คือการเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อเรียนรู้ความจริงตรงหน้า
จนกระทั่งจิตยอมรับความเป็นธรรมดาของความทุกข์ทั้งหลาย (ซึ่งก็คือสิ่งทั้งปวงที่เกิดขึ้น)
รู้ว่ามันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน
จิตจึงพ้นจากความดิ้นรนแส่ส่ายเพราะสิ่งธรรมดาที่ต้องเผชิญนั้น

ธรรมที่ตื้นๆ ตรงไปตรงมาอย่างนี้แหละครับ
ที่ท่านผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพากันอุทานว่า
"เป็นธรรมตื้น
แต่ทำไมหนอ จึงไม่รู้จัก จนต้องฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
แล้วต้องลงมือปฏิบัติธรรมแทบล้มแทบตาย
กว่าใจจะยอมลงให้กับ ธรรม ธรรมดาๆ อันนี้"

************************************

ข้อสังเกต ..

1. ทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงแจกแจงนั้น
มีทั้งทุกข์ตาม บัญญัติ อันได้แก่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
ความพลัดพราก การประสบสิ่งที่ไม่พอใจ ความไม่สมอยาก ฯลฯ
และทุกข์ในมุมมองของ ปรมัตถ คืออุปาทานขันธ์

2. บุคคลจำนวนมากในครั้งพุทธกาลบรรลุพระโสดาบัน
ด้วยการฟังธรรมในขั้นบัญญัติ และไม่รู้จักธรรมในขั้นปรมัตถ์จนตลอดชีวิต
เช่นท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี เป็นพระโสดาบัน
ทั้งที่ท่านไม่เคยฟังธรรมเรื่องขันธ์ 5 เลย
เคยฟังแต่เรื่องเกิดแก่เจ็บตายธรรมดาๆ นี่เอง

จนตอนที่เจ็บหนัก ใกล้จะอนิจจกรรม
ท่านพระสารีบุตรจึงแสดงเรื่องขันธ์ 5 ให้ฟัง
ซึ่งท่านเศรษฐีก็ร้องไห้ด้วยความเสียดายโอกาส แล้วบ่นว่าได้ฟังช้าไป

3. ธรรมที่ทรงแสดงต่อหลายท่าน ในขั้นสุดยอดเพื่อการบรรลุพระอรหันต์นั้น
(เท่าที่จำได้ตอนนี้) มักจะเป็นธรรมในขั้นปรมัตถ์
เช่นทรงสอนอนัตตลักขณสูตร ว่าด้วยขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์แก่ท่านพระปัญจวัคคีย์
ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร ว่าด้วยอายตนะเป็นของร้อน แก่ชฎิล 1,000 รูป
ทรงแสดงเรื่องสักแต่รู้ สักแต่เห็น สักแต่ทราบ แก่ท่านพระพาหิยะ
และท่านพระสารีบุตรบรรลุพระอรหันต์
เพราะได้ฟังพระศาสดาทรงแสดงธรรมเรื่องเวทนา 3 ไม่เที่ยง  เป็นต้น

4. จากข้อ 2 - 3 จะเห็นได้ว่า พระศาสดาทรงแสดงธรรมอย่างมีการจำแนก
ผู้ฟังจึงได้ประโยชน์จากธรรมอย่างถึงใจ
ส่วนพวกเราชาวพุทธในยุคนี้ ฟังธรรมเฟ้อเกินไปหรือเปล่า
เพราะต่างก็พูดถึงปรมัตถธรรมได้คล่องปาก เพราะจำได้ขึ้นใจ
แต่กลับไม่รู้ธรรมเหมือนท่านที่ฟังเพียงธรรมในขั้นบัญญัติเมื่อครั้งพุทธกาล
เป็นไปได้ไหมครับ ว่าความรู้ที่เต็มสมองนั้น
ได้ปิดกั้นจิตใจไม่ให้เปิดขึ้นรับธรรมเสียแล้ว

(มีต่อ)

9
เขียนไว้เมื่อ วัน อังคาร ที่ 19 กันยายน 2543 11:00:57

เซ็น กับเถรวาท มีรากฐานต้นกำเนิดอันเดียวกัน
เป้าหมายก็มุ่งสู่ความหลุดพ้นอันเดียวกัน
แต่กระบวนการอธิบายธรรม กลับเป็นตรงข้ามกันหลายส่วน
ปัญหาที่น่าพิจารณาก็คือ สิ่งที่อธิบายเป็นตรงข้ามกันนั้น
เป็นสิ่งที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกันจริงๆ
หรือเป็นเพียงภาษา หรืออุบาย ที่แตกต่างกันเท่านั้น ?
และคำสอนของทั้งสองฝ่าย มีประโยชน์อย่างใดบ้าง ?

เราลองมาคุยกันสัก 2 ประเด็น คือเรื่องโพธิจิต กับการปลุกโพธิจิตให้ตื่นขึ้น
(หมายเหตุ ... ทัศนะของเซ็นที่ผมยกมากล่าวนี้
มาจากการศึกษางานของท่านเว่ยหล่างและท่านฮวงโป
อาจจะไม่ครอบคลุมไปถึงคำสอนของเซ็นสาขาอื่นๆ)

**************************************

โพธิจิต

แนวความคิดเรื่อง โพธิจิต เป็นแนวความคิดฝ่ายเซ็น
สาระสำคัญก็คือ ทัศนะที่ว่า สัตว์ทั้งปวงมีธรรมชาติแห่งการตรัสรู้(รู้ธรรม)อยู่ในตนเอง
แต่ธรรมชาติอันนี้ ถูกปิดบังเอาไว้ด้วยความหลงผิดของจิต
(เหมือนกับมีเพชรอยู่แล้ว แต่หมกอยู่ในโคลนตม)
คือจิตเที่ยวยึดมั่นสิ่งภายนอก แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรมก็ยึดมั่นในวัตรปฏิบัติต่างๆ
เช่นการถือศีล ทำสมาธิ และขบคิดพิจารณาธรรม เป็นต้น

คำสอนเรื่อง โพธิจิต ไม่ปรากฏในธรรมฝ่ายเถรวาท
กล่าวคือในฝ่ายเถรวาท ไม่เชื่อเรื่องที่ว่าสัตว์มีโพธิจิตอยู่แล้ว
แต่กลับเห็นว่า จิตประกอบด้วยเจตสิกทั้งอกุศล กุศล และเป็นกลางๆ
จิตเป็นสิ่งที่อบรมได้  จิตที่อบรมดีแล้วหลุดพ้นได้
และที่สำคัญคือ จิตเป็นสิ่งที่เกิดดับต่อเนื่องกันตลอดเวลา
(แม้แต่จิตพระอรหันต์ ก็ยังเกิดดับอยู่นั่นเอง
เพียงแต่ท่านฉลาดจนกิเลสตัณหาย้อมไม่ติดเท่านั้นเอง)

คำสอนของฝ่ายเถรวาทคล้ายๆ กับว่า
เมื่อมีดิน มีพันธุ์พืช มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จึงเกิดเป็นต้นไม้
เมื่อต้นไม้ตาย เกิดทับถมในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
จึงกลายเป็นคาร์บอนบริสุทธิ์ หรือเพชร
เพชร หรือจิตที่หลุดพ้น หรือโพธิจิต จึงไม่ได้มีมาแต่แรก

คำสอนจุดนี้ดูจะขัดแย้งเป็นตรงข้ามกัน
ซึ่งผมคงไม่ชวนเถียงว่า คำสอนของใครถูกหรือผิด
เพราะจิตใจของผมไม่ได้เป็นกลางจริง
แต่โน้มเอียงที่จะเชื่อเฉพาะคำสอนตรงของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว
สิ่งที่อยากจะชวนพิจารณาก็คือ คำสอนของแต่ละฝ่ายมีประโยชน์อย่างใดบ้าง

ถ้าทำใจให้กว้าง ก็จะเห็นว่า แต่ละฝ่ายมีข้อดีอยู่เช่นกัน
กล่าวคือคำสอนเรื่องโพธิจิตของเซ็น
ฟังแล้วเกิดกำลังใจว่าเรามีพระรัตนตรัยอยู่กับตัวแล้ว
ไม่ต้องค้นหาในที่อื่น แต่ให้น้อมเข้ามาศึกษาอยู่ภายในนี้แหละ
ทั้งพระพุทธเจ้าเอง เมื่อก่อนท่านก็มีกิเลสเหมือนเรานี่เอง
แต่ท่านค้นพบโพธิจิตแล้ว
เราเองก็น่าจะเจริญรอยตามท่านได้เช่นกัน

นอกจากนี้ เมื่อเข้าถึงโพธิจิตแล้ว
ก็ไม่เห็นว่าอาจารย์เซ็นจะสอนให้ยึดโพธิจิต หรือยึดความว่างใดๆ
เพราะจุดสุดท้าย ก็ตรงกัน คือความไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง
คำสอนเรื่องโพธิจิต จึงอาจเป็นเพียงอุบาย
เพื่อปลุกเร้าให้เกิดการแสวงหาสัจจธรรมภายในจิตตนเองก็ได้
ซึ่งถ้าเป็นเพียงอุบาย ไม่ยืนยันว่าโพธิจิตเป็นอัตตา
ก็น่าจะไม่มีข้อขัดแย้งกับเถรวาทในสาระสำคัญแต่อย่างใด

ส่วนคำสอนของเถรวาท ก็มีความสุขุมรอบคอบ
โดยสอนให้รู้จักความเกิดดับของจิต คือจิตเป็นอนัตตา
เพื่อไม่ให้ผู้ศึกษาเกิดความหลงผิด
จนบ่มเพาะสักกายทิฏฐิคือความเห็นผิดว่าขันธ์ 5 เป็นเราให้เติบกล้า

*************************************

การปลุกโพธิจิต

มรรควิถีของเถรวาทกับเซ็นก็ดูจะตรงข้ามกันอีก
คือเถรวาทสอนให้เรียนรู้อุปาทานขันธ์ หรือสิ่งที่จิตไปหลงยึดมั่นเข้า
จนรู้จริงแล้วจึงเลิกยึดมั่น จิตจึงหลุดพ้นจากอาสวกิเลส

และก่อนที่จะถึงขั้นเรียนรู้อุปาทานขันธ์ได้
ท่านก็สอนให้รู้จักรักษาศีล และทำสมาธิเพื่อเตรียมความพร้อมของจิตเสียก่อน

ในขณะที่เซ็นดูเหมือนจะไม่สนใจกับสิ่งที่จิตไปยึดมั่นเข้า
หากแต่สอนให้ตัดตรงเข้าสู่โพธิจิตเลยทีเดียว

เซ็นปฏิเสธการปฏิบัติธรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป
แต่สอนให้ลืมตาตื่นต่อสัจจธรรมขึ้นเลย โดยเน้นให้ รู้ ไม่ใช่คิด
เพราะความคิดนั้นแหละ คือสิ่งปิดบังความจริง ด้วยประสบการณ์เก่าๆ ของผู้คิดเอง
ทั้งยังปฏิเสธเงื่อนไขของการปฏิบัติทั้งหลาย
จนคล้ายกับว่า เซ็นไม่มีไตรสิกขาในส่วนของศีล และสมาธิ

ความจริงถ้าผู้ใดมีทัศนะว่า สัตว์ทั้งปวงมีโพธิจิตอย่างหนึ่ง
กับฝึก รู้ อย่างต่อเนื่องจริงจังไม่ให้จิตตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสตัณหาอีกอย่างหนึ่ง
ถึงจะไม่สมาทานศีล จิตก็ย่อมมีศีลเอง
เพราะจะเกิดความเมตตาต่อสรรพสัตว์อย่างหนึ่ง
และเพราะจิตไม่ถูกความชั่วย้อมเอาอีกประการหนึ่ง
เซ็น จึงอาจจะไม่พูดถึงศีล แต่จะกล่าวว่าเซ็นไม่มีศีล ก็คงไม่ถนัดนัก
ส่วนเรื่องสมาธิ เท่าที่ทราบก็มีการทำสมาธิกัน
เพราะชื่อของเซ็น ก็คือฌาน อันเป็นชื่อของสมาธินั่นเอง

สำหรับคำสอนเรื่อง ให้รู้ ไม่ให้หลงความคิด
อันนี้ก็คือหลักการสำคัญของวิปัสสนา

และแม้เซ็นจะไม่สอนให้เรียนรู้เรื่องอุปาทานขันธ์
แต่ในขณะที่ รู้ นั้นเอง สิ่งแรกที่จิตไปรู้เข้าจะไม่ใช่โพธิจิต
หากแต่เป็นรูปและนามขันธ์ต่างๆ อันเหมือนคูหาที่(โพธิ)จิต อาศัยอยู่นั่นเอง
(เพราะเซ็นเองก็ย้ำนักหนา ว่าไม่ให้ใช้จิตแสวงหาจิต
คือไม่ได้สอนให้มองตรงเข้าหาโพธิจิต)
ต่อเมื่อรู้สิ่งปรุงแต่งต่างๆ จนวางเพราะเห็นไตรลักษณ์แล้วนั่นแหละ
จึงจะพบโพธิจิต หรือจิตที่หลุดพ้น
ดังนั้นจะกล่าวว่าเซ็น ไม่เรียนรู้อุปาทานขันธ์ ก็ไม่เชิงนัก
ที่จริงเขาเรียนรู้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ได้เรียกชื่อว่า อันนี้คือขันธ์อันนี้

*********************************************

ที่ผมนำเรื่องนี้มาพูดขึ้น ก็เพราะเห็นว่า
เราควรจำแนกให้ออกว่า คำสอนส่วนไหนเป็นของเถรวาท ส่วนไหนเป็นของเซ็น
อย่าให้สับสนปะปนกัน จนตัวเราเองก็งง พอพูดไปแล้วก็พาให้ผู้อื่นงงด้วย
แต่ไม่ใช่จำแนกเพื่อจะข่มซึ่งกันและกัน หากแต่เพื่อพยายามทำความเข้าใจกัน
เพราะถึงอย่างไร เซ็น ก็อยู่ในร่มของพระพุทธศาสนาร่วมกับเถรวาท
และในอนาคต ยังไม่แน่เหมือนกันว่า เมื่อกล่าวถึงพระพุทธศาสนา
ชาวโลกเขาอาจจะนึกถึงมหายานและเซ็นมากกว่าเถรวาท
เพราะเขาแทบจะไม่รู้จักเถรวาทแล้ว ก็เป็นได้

*************************************


(มีต่อ)

10
เขียนไว้เมื่อ วัน จันทร์ ที่ 11 กันยายน 2543 10:46:40

สัมปชัญญะคือตัวปัญญาสัมมาทิฏฐิ
เป็นธรรมมีอุปการะมากควบคู่กับสติ
วิปัสสนาจะเกิดไม่ได้ถ้าขาดสัมปชัญญะ
แต่นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อย ไม่มีสัมปชัญญะบริบูรณ์จริงๆ
หมู่เพื่อนควรมาทำความรู้จักกับสัมปชัญญะกันเถิด


************************************************

ในการปฏิบัติวิปัสสนานั้น
สัมปชัญญะเป็นธรรมสำคัญ ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องเจริญควบคู่ไปกับสติ
บางคราว เมื่อกล่าวถึงการเจริญสติ
ก็มีความหมายรวมถึงการเจริญสติและสัมปชัญญะ
เพราะหากเจริญสัมปชัญญะไม่ถูกต้อง
การเจริญสติจะกลายเป็นการทำสมถกรรมฐานไปทันที

นักปฏิบัติเกือบร้อยละร้อย ไม่มีสัมปชัญญะ !!!
มีแต่เอาสติเพ่งจ้องใส่อารมณ์ที่กำลังปรากฏ
และเมื่อขาดสัมปชัญญะ ก็ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้จริง
จิตในขณะนั้นจะแข็ง ซึม ทื่อ เหมือนคนสะกดจิตตนเอง
แม้จะรู้อารมณ์ ก็รู้ไปอย่างทื่อๆ ไม่นานจิตก็ซึมด้วยโมหะ
ซึมแล้วเพลินสุขเหมือนคนติดยาบ้าง
ตกภวังค์บ้าง หรือส่ายออกรู้ออกเห็นสิ่งภายนอกบ้าง
หาสาระอันใดในทางการเจริญปัญญาไม่ได้เลย

การที่สติจดจ่อเข้ากับอารมณ์อันเดียว แล้วจิต"หลง"อยู่กับอารมณ์นั้น
จะไม่สามารถจำแนกแยกแยะสมมุติบัญญัติ
กับสภาวะหรือปรมัตถ์ออกจากกันได้
เช่นเมื่อเอาสติกำหนดรู้ลมหายใจ ก็เพ่งทื่อๆ เข้าไปที่ลมหายใจ
กำหนดบริกรรมพุทโธ จิตก็หลงทื่อๆ อยู่กับพุทโธ
หรือรู้การกระเพื่อมของท้อง ก็รู้ไปอย่างทื่อๆ
ที่มันทื่อๆ ก็เพราะขณะนั้นมีแต่สติ
ไม่มีปัญญา เพราะตัวปัญญาถูกกดให้นิ่งๆ อยู่ ไม่สามารถทำงานได้
แม้บางท่านจะพยายามนึกว่า สิ่งที่ถูกรู้เป็นรูป รู้เป็นนาม
ก็ยังเป็นเพียงการน้อมนึก ไม่ใช่การเห็นแจ้งเป็นปัจจุบันด้วยใจ
เพราะจิตยังไม่มีสัมปชัญญะจริงๆ
คือจิตยังเคลื่อนหลงไปตามอารมณ์ แต่ไม่รู้ทันจิตตนเอง
ซึ่งจิตในขณะนั้น กำลังถูกโมหะครอบงำอยู่นั่นเอง


ในตำรารุ่นหลังมักกล่าวว่า การทำสมถะจะต้องรู้อารมณ์ที่เป็นบัญญัติ
แต่ถ้าเป็นคนที่ชำนาญในการทำสมถะ และชำนาญในการสังเกตจิตจริงๆ
จะพบว่า ในเบื้องต้นจิตจะรู้อารมณ์อะไรก็ได้
แต่ถ้าขาดสัมปชัญญะเมื่อใด จิตก็จะพลิกไปเป็นสมถะเสมอ
หมดสมรรถภาพไม่สามารถรู้ปรมัตถ์ได้
และเมื่อทำสมถะจนจิตสงบลงถึงขั้นจริงๆ แล้ว
จิตไม่มีปัญญาจะไปจำแนกบัญญัติและปรมัตถ์ได้
จิตไปรู้อะไร ก็รู้ไปอย่างทื่อๆ และไร้เดียงสาเท่านั้นเอง
มันไม่สนใจหรอกว่า ขณะนั้นมันรู้อะไร
มีแต่จมแช่ลงในอารมณ์อันเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ การที่รู้ปรมัตถ์ โดยจงใจรู้ปรมัตถ์ แล้วไม่รู้ทันจิต
จิตก็จะพลิกกลับไปสู่ความหลงทันที เพราะขาดสัมปชัญญะ
อย่างมากที่สุดก็ได้สมถะ ทั้งที่เริ่มต้นด้วยการรู้ปรมัตถ์ ก็ตาม

แต่เมื่อใดมีสติสัมปชัญญะ จิตก็จะสามารถเจริญวิปัสสนาได้
จิตในขณะนั้น สามารถจำแนกได้ชัด
คือมีสมมุติบัญญัติก็รู้ว่ามีสมมุติบัญญัติ และไม่หลงสมมุติบัญญัติ
ส่วนปรมัตถ์ ก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมอันหนึ่งที่ปรากฏขึ้น และไม่หลงปรมัตถ์
ไม่ใช่ว่าในขณะที่เจริญวิปัสสนาอยู่นั้น จะไม่รู้สมมุติบัญญัติ
เพราะสมมุติบัญญัติ มันก็มีความจริงของตัวมันเองอยู่
ไม่ใช่ไม่มีจริง  แต่มันมีจริงโดยสมมุติ


ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงมีความเห็นต่างจากตำราอยู่บ้าง
คือตำราเห็นว่า ถ้ารู้บัญญัติก็เป็นสมถะ แต่ถ้ารู้ปรมัตถ์ก็เป็นวิปัสสนา
แต่ผมมีความเห็นว่า ถ้ามีสติอย่างเดียวไม่มีสัมปชัญญะ อันเป็นการทำสมถะ
จิตย่อมจะหลงกับอารมณ์อันเป็นสมมุติบัญญัติ
แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ อันเป็นการเจริญวิปัสสนา
จิตย่อมจะรู้ทันทั้งปรมัตถ์และบัญญัติตามความเป็นจริง

พระศาสดาท่านจึงทรงสอนต้นทาง อยู่ที่การเจริญสติสัมปชัญญะ
ไม่ได้ทรงเน้นย้ำเรื่องอารมณ์กรรมฐานในเรื่องบัญญัติและปรมัตถ์แต่อย่างใด

เพราะถ้าเจริญสติสัมปชัญญะถูกต้อง ก็จะรู้จักปรมัตถ์เอง
และแม้ถึงจะคิดถึงปรมัตถ์ แต่เจริญสติสัมปชัญญะไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็เป็นเพียงการทำสมถะเท่านั้น
เพราะจิตหลงอยู่แค่บัญญัติเรื่องปรมัตถ์เป็นอารมณ์อันเดียวโดยต่อเนื่อง


ผมมีความเห็นอีกว่า การเจริญวิปัสสนา จะต้องรู้สิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริง
คำว่าสิ่งทั้งปวง หมายถึงทั้งปรมัตถ์และบัญญัติด้วย
ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะการเจริญวิปัสสนานั้น
ต้องทำในทุกๆ ขณะของการดำรงชีวิตที่มีความตื่นอยู่

ไม่ใช่เก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง หรือในสำนักที่ไม่มีผัสสะแปลกใหม่มากระทบ
แล้วทุกวันก็เจตนากำหนดรู้ปรมัตถ์ไปเรื่อยๆ
โดยเจตนาไม่สนใจบัญญัติ

วิปัสสนาจริงๆ นั้น ต้องพากเพียรทำอยู่
ทุกคราวเมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง .. ใจคิดนึก
และธรรมชาติของจิตนั้น เมื่อรู้อารมณ์อันเป็นปรมัตถ์ด้วยอายตนะทั้ง 6 แล้ว
ก็มักจะรู้บัญญัติต่อเนื่องด้วยอายตนะคือใจด้วย
(เว้นแต่อารมณ์ที่มากระทบถ้าอ่อนมาก เพียงจิตไหวนิดหนึ่งก็ดับตกภวังค์บ้าง
หรือจิตทำงานไปเพียงเล็กน้อย ยังไม่ทันจะเสพย์อารมณ์ ก็ดับตกภวังค์บ้าง
กรณีเช่นว่านี้ น่าจะทำวิปัสสนาไม่ได้ เพราะจิตเดินปัญญาไม่ได้)
จะเลือกรู้อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเจตนาไม่ได้
สิ่งสำคัญ อยู่ที่การรู้ให้ทันและรู้ให้ตรงตามความจริง
ทั้งปรมัตถ์และบัญญัติ ต่างหาก


เช่นเมื่อเดินไปตามถนน เห็นสุนัขเดินสวนมา
สติปัญญาจะทำงานทันที คือจำแนกได้ชัดเจนโดยไม่ตั้งใจจะจำแนกว่า
รูปที่มากระทบตา ก็คือสภาพธรรมอันหนึ่ง
ตรงนี้ต้องรู้ด้วยใจจริงๆ จึงจะรู้ปรมัตถ์
ไม่ใช่รู้ด้วยการพยายามคิดว่าสุนัขไม่มี มีแต่รูป

ถ้ารู้ด้วยใจจริงๆ แล้ว จะทราบเลยว่า
การที่ตากระทบรูปนั้น ไม่ก่อน้ำหนักใดๆ ขึ้นในจิตใจเลย

ถัดจากนั้นก็มีบัญญัติและรู้บัญญัติว่า "สุนัข"
รู้ความคิดที่ว่า "นี่มันสุนัขบ้าให้ระวังไว้"
จิตเกิดมีอาการไหววูบขึ้นมาในใจ ก็รู้อาการนั้น
อาการไหววูบนี้ ก็เป็นเจตสิกปรมัตถ์อันเป็นฝ่ายนามธรรมอันหนึ่ง
รู้แล้ว จิตอาจจะมีบัญญัติว่า นี่คือความตกใจ/กลัว
หรือจะไม่สรุปว่านี่คือความตกใจ/กลัวก็ได้ ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร
เพียงเห็นอาการวูบ แล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง ก็พอแล้ว

จากนั้นก็หาทางหลบหลีกเสียด้วยความมีเหตุผล
ไม่ใช่เห็นสุนัขบ้าเดินมา ก็ไปกำหนดว่ารูปๆ
ไม่ใช้สติปัญญา แต่ทำใจทื่อๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว
แล้วเดินเข้าไปให้สุนัขกัดแบบปล่อยตามบุญตามกรรม
อย่างนี้เรียกว่าไม่มีปัญญา หรือไม่มีสัมปชัญญะอีกชนิดหนึ่ง
(จะกล่าวถึงชนิดของสัมปชัญญะต่อไปทีหลัง)
แม้แต่สัตว์ต่างๆ เขาก็ไม่นิยมทำกัน เพราะเมื่อมีภัยเขาก็ยังรู้จักหลบหลีกเสีย

สรุปแล้ว ตามความเข้าใจส่วนตัวของผม
ถ้ามีสัมปชัญญะอยู่ก็คือมีปัญญาอยู่
เพราะสัมปชัญญะนั่นแหละคือตัวปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ

จิตใจในขณะนั้นจะสามารถจำแนกแยกแยะผิดชอบชั่วดี ควร-ไม่ควรได้
จิตจะรู้ปรมัตถ์โดยความเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง และรู้สมมุติโดยความเป็นสมมุติ
ไม่หลง ไม่ซึมทื่อ ไม่มีเจตนาจะยอมรับ
หรือปฏิเสธความจริงใดๆ ทั้งสมมุติและปรมัตถ์
จิตที่เจริญวิปัสสนาจะมีสภาพเช่นนี้
ไม่ใช่รู้แต่ปรมัตถ์ โดยไม่รู้บัญญัติ
อันเป็นเรื่องการปฏิบัติที่เจตนาทำให้ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง

***************************************
(ยังมีต่อ)

11
เป็นคนละกระทู้กับ กระทู้อุบายสลายกาม

เขียนไว้เมื่อ วัน อาทิตย์ ที่ 1 ตุลาคม 2543 07:02:57

เมื่อสัปดาห์ก่อน มีเมล์ถามปัญหาเกี่ยวกับกามราคะ
โดยผู้ถามอยากจะถามในกระทู้ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาแต่ไม่กล้าถาม ได้อ่านด้วย
ผมจึงรับอาสามาตั้งกระทู้ตอบให้เสียเอง เพราะผู้ถามเป็นผู้หญิง
แต่ที่การเขียนกระทู้ล่าช้าออกมาเพราะผมไปต่างจังหวัดเสียหลายวัน

ประเด็นของเธอก็คือ เธอสังเกตเห็นว่า
เมื่อมีโทสะแล้ว มักจะพบกามราคะตามมาเสมอ
โทสะนั้นเธอคิดว่าพอสู้ได้ แต่กามราคะ ยังเป็นสิ่งที่เธอพ่ายแพ้
จึงอยากทราบวิธีการในการต่อสู้กับกามราคะ

ความจริงแล้ว กามราคะและโทสะนั้น
เหมือนคนละด้านของเหรียญอันเดียวกัน
เช่นในเวลาที่เกิดความต้องการทางเพศ แต่ไม่รู้ว่ามีกามราคะแล้ว
และกดข่มไว้ โดยไม่รู้ทันว่าได้กดข่มไว้
จิตก็จะพลิกไปเป็นโทสจิต เหมือนเด็กโยเยเพราะไม่ได้ของเล่นที่ชอบใจ
ครั้นโทสจิตผ่านไปแล้ว กามราคะก็แสดงตัวชัดขึ้นมาอีกสลับกันไป

หรือแม้ว่า กามราคะได้รับการตอบสนองแล้วก็ตาม
จะพบว่าจิตมีโทสะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ หลังจากที่เสพย์กามไปแล้ว
เพราะการเสพย์กามนั้น ทำให้จิตกระเพื่อมหวั่นไหวได้มาก
ยิ่งไปยุ่งกับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน ยิ่งหวั่นไหวมาก
ท่านจึงสอนให้สันโดษในคู่ของตน
เพราะแม้จิตจะเศร้าหมองบ้างก็ไม่มากนัก ไม่เหมือนกับไปยุ่งกับคนอื่นๆ
ดังนั้น ถ้าประพฤติพรหมจรรย์ไม่ได้ ก็อย่าประพฤติผิดในกาม
เพราะกิเลสทั้งราคะและโทสะจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ปฏิบัติที่มองกามราคะซึ่งเกิดขึ้นแต่แรกไม่ออก แล้วกดข่มไว้
จึงคิดว่า ตนเองเกิดโทสะขึ้นมาก่อน แต่สู้โทสะได้
แล้วจึงเกิดราคะตามมาทีหลัง
ความจริงแล้ว โทสะก็อาศัยกามราคะที่ไม่ได้รับการตอบสนองเกิดขึ้นนั่นเอง
ถ้าปราศจากกามราคะ โทสะก็พลอยไม่เกิดไปด้วย

***********************************

ก่อนจะต่อสู้กับกามราคะ ควรทราบเสียก่อนว่า
กามราคะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง ที่จิตพึงพอใจในกาม
ได้แก่ความพึงพอใจ ติดตรึงใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย
เป็นคำที่กว้างกว่าความต้องการทางเพศ

แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงว่า
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของสตรีเป็นที่พึงใจของบุรุษ
และรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของบุรุษเป็นที่พึงใจของสตรี
ดังนั้น เรื่องของเพศตรงข้ามจึงจัดเป็นกามราคะที่ร้ายแรงมาก
มากกว่ารูปวาดสวยๆ เสียงเพลงเพราะๆ ดอกไม้หอมๆ อาหารรสอร่อยฯลฯ

กามราคะ เกิดขึ้นเพราะจิตไม่รู้เท่าทันความไม่มีสาระของกาย
จิตจึงเพลิดเพลินพึงใจที่จะหาความสุขทางกาย
ด้วยการมองหารูปสวย/หล่อ เสียงเพราะ กลิ่นหอม สัมผัสที่พอใจ ฯลฯ
หากเมื่อใดจิตเห็นจริงว่า กายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หรือเป็นอสุภะ
กิเลสกามก็จะอ่อนกำลังลงทันที


อุบายภาวนาในการสู้กับกาม ก็มีเป็นขั้นๆ ไป
อย่างอ่อนๆ ก็เช่นการหลีกเลี่ยงผัสสะ
เช่นครูบาอาจารย์บางองค์ ท่านแบกกลดหนีสาวที่ท่านไปหลงรักเข้า
เพราะถ้าสู้ไม่ไหว ก็ต้องหนีเอาไว้ก่อน

อุบายที่เข้มข้นขึ้นไปอีก ได้แก่การพิจารณาเพศตรงข้าม
เช่นการพิจารณาคนที่เราพอใจลงเป็นอสุภะ หรือไตรลักษณ์
ถ้าจิตเห็นจริงแล้ว จะลดความผูกพันกันทางกามลงได้

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เคยเล่าให้ผมฟังว่า
มีพระรูปหนึ่งบริกรรมพุทโธได้ไม่นาน จิตกลับไปบริกรรมชื่อแฟน
หลวงพ่อจึงให้บริกรรมชื่อแฟนต่อไป จนเกิดนิมิตรูปแฟนขึ้นมา
พระท่านก็ดูรูปแล้วบริกรรมต่อไป รูปก็เริ่มเหี่ยวโทรมลง หมดสวยหมดงาม
จิตของท่านก็ถอดถอนจากความผูกพันในกามกับแฟน

ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ สมัยเป็นฆราวาส
ท่านแก้ความรักสาวโดยการไปพิจารณาอุจจาระของสาว
สมัยนั้นพิจารณาได้ เพราะชาวบ้านถ่ายกันตามทุ่งนา
เดี๋ยวนี้จะเอาแบบวิธีนี้คงไม่ได้แล้ว เพราะสาวเขาปกปิดร่องรอยมิดชิด

อุบายถัดมา เป็นการทรมานตนเอง
เช่นพระบางรูปไปหลงรักผู้หญิง ท่านยอมอดข้าวจนกว่าจะตัดรักได้
วันแรกยังตัดไม่ได้ พอหลายวันเข้าก็ตัดได้
เพราะจิตกลัวว่ากายจะตายจึงเลิกรักสาว
เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เรารักที่สุดก็คือตัวเราเอง

อุบายถัดมา เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาตนเอง
ซึ่งพระส่วนมากท่านพิจารณาร่างกายของท่านลงเป็นอสุภะบ้าง
พิจารณาความตายบ้าง พิจารณาความเป็นทุกข์ของกายบ้าง
วิธีนี้เป็นวิธีที่ประณีตยิ่งขึ้น เพราะเป็นการพิจารณาตนเอง
ไม่ใช่วิธีพิจารณาเพศตรงข้าม หรือหนีเพศตรงข้าม

อุบายทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงการเอาตัวรอดเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ต่อเมื่อเจริญสติสัมปชัญญะมากเข้า
จนจิตเกิดปัญญาวิปัสสนาอย่างแท้จริงแล้ว
นั่นแหละจึงจะเอาชนะกามได้อย่างเด็ดขาดพร้อมทั้งปฏิฆะด้วย


ที่ผมเคยใช้แล้วได้ผล ในการเอาต่อสู้กับกามโดยไม่ได้เจตนาก็คือ
การเดินจงกรมแล้วเอาสติระลึกรู้ลงในกาย
เห็นกายเดินไปตามสภาพของกาย จิตเป็นคนดูอยู่
ถึงจุดหนึ่งจิตเกิดปัญญาขึ้นว่า กายนี้มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่เป็นทุกข์อะไร
ความทุกข์มันเกิดจากจิตเข้าไปยึดกาย แล้วอยากอย่างนั้นอย่างนี้
ไม่ยอมรับความจริงว่า กายมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย
จิตจึงเป็นทุกข์เพราะความอยากของจิตเอง
เมื่อจิตเดินปัญญามาถึงจุดนี้
จิตก็เห็นกายเป็นของธรรมชาติธรรมดาอันหนึ่ง
พอจิตไม่ยึดกายแล้ว กามก็หาที่ตั้งไม่ได้เอง
ไม่จำเป็นต้องไปต่อสู้เพื่อละกามโดยตรงแต่อย่างใด


***********************************

ปกติกามราคะและปฏิฆะจะขาดไปพร้อมๆ กัน
เพราะเหตุที่ว่า กามและปฏิฆะมันเกิดจากรากเหง้าอันเดียวกัน
คือเกิดจากความโง่ของจิตที่เข้าไปยึดกาย และมันรักความสุขทางกาย
มัน(จิต)อยากให้ตาเห็นแต่รูปที่ดี ไม่อยากให้ตาเห็นรูปที่ไม่ดี
มันอยากให้หูได้ยินเสียงที่ดี ไม่ได้ยินเสียงที่ไม่ดี
มันอยากให้จมูกได้กลิ่นหอม ไม่อยากได้กลิ่นเหม็น
มันอยากให้ลิ้นรู้รสอร่อย ไม่อยากรู้รสที่ไม่อร่อย
มันอยากให้กายสัมผัสความเห็นร้อนอ่อนแข็งที่พอเหมาะ
ไม่อยากสัมผัสสิ่งที่รุนแรงเกินไป
เมื่อมันได้สิ่งที่ชอบใจ มันก็เกิดกามราคะ คือรักใคร่ผูกพันในอารมณ์ที่ดี
เมื่อมันได้สิ่งที่ไม่ชอบใจ มันก็เกิดปฏิฆะ คือความขัดใจ

ความยึดในกายนี้แหละ เป็นที่ตั้งของกามราคะและปฏิฆะ
เหมือนที่ความยึดในจิต เป็นที่ตั้งของสังโยชน์เบื้องสูง
คือรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา


***********************************

อันที่จริง เมื่อเรายังละกามไม่ได้
ก็ควรควบคุมให้มันอยู่ในขอบเขตที่พอเหมาะ คืออย่าทำผิดศีล 5
แล้วเจริญสติสัมปชัญญะเรียนรู้คุณและโทษของมันไป
ความทุกข์ทรมานเพราะกามก็จะค่อยลดน้อยลงเป็นลำดับ


กามนั้นไม่ใช่จะเป็นโทษอย่างเดียว คุณของมันก็มีเรียกว่ากามคุณ
ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากมันเสียบ้าง ก็จะดีไม่น้อย
แม้พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้คนทำทานและถือศีล เพื่อไปเสวยกามสุขในสวรรค์
ถัดจากนั้นจึงสอนให้เห็นโทษของกามเป็นลำดับต่อไป
ท่านไม่หักหาญ ห้ามเรื่องกามกับคนที่ยังไม่พร้อม
แต่ใช้กามเป็นเหยื่อล่อจิตที่อินทรีย์ยังอ่อนให้ยอมรับธรรม
แล้วค่อยแนะนำทางเจริญปัญญาในภายหลัง

เหมือนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด เอากิเลสมาแก้กิเลส เอาหนามบ่งหนาม
คือผมรู้จักพระชาวออสเตรเลียรูปหนึ่ง ท่านเครียดและหงุดหงิดใจอยู่เสมอ
เนื่องจากต้องมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยมากมาย
ครูบาอาจารย์จึงออกอุบายอนุญาตให้ท่านเลี้ยงไก่สวยงามนานาชนิด
(เลี้ยงแบบไก่ป่า คือทำที่อยู่ให้ตามต้นไม้ ไม่ได้กักขัง
ไก่มีความสุขกันมากทีเดียว)
เนื่องจากท่านชอบไก่มาก (คลับคล้ายว่าจะเป็นดอกเตอร์เกี่ยวกับไก่ด้วย)
พอเห็นไก่แล้ว ท่านจะอารมณ์ดี หายหงุดหงิดได้

ครูบาอาจารย์ท่านฉลาดมาก คือท่านแก้ปฏิฆะ ด้วยกามราคะ
เนื่องจากปฏิฆะที่ต่อเนื่องรุนแรงนั้น แทบจะทำให้พระรูปนี้ทิ้งวัดไป
จึงต้องล่อด้วยของที่ชอบใจคือไก่ที่สวยงาม
เมื่อพระท่านดูแลไก่นานเข้า ไม่ไปสนใจกับผู้อื่น
จิตใจของท่านก็ผ่อนคลาย เกิดความนุ่มนวล อ่อนโยน
แล้วจิตใจก็เปลี่ยนจากกาม ไปเป็นความเมตตาต่อไก่อันเป็นกุศลจิต
และทำให้ง่ายที่จะปฏิบัติธรรมต่อไป

ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากกามราคะเสียบ้าง ก็เข้าทีเหมือนกัน
แต่วิธีนี้ ไม่แนะนำให้พระหนุ่มเณรน้อยนำไปใช้โดยพลการนะครับ

***************************************

การทำงานศิลปะ การปลูกต้นไม้ การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง
การเล่นพระเครื่อง การเล่นแสตมป์ การยิงธนู ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้ยังเป็นราคะ หรือโลภมูลจิตอยู่ครับ เพราะทำไปด้วยความชอบใจ
แต่โทษของมันเบาบางกว่าโทสะ
เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า โทสะมีโทษมาก แต่แก้ง่าย
ราคะมีโทษน้อย แต่แก้ยาก
ส่วนโมหะมีโทษมาก และแก้ยาก

บางคราว การใช้กิเลสก็เป็นอุบายสู้กิเลส
โดยเปลี่ยนจากกิเลสที่มีโทษมาก ให้เป็นกิเลสที่มีโทษน้อยลง
(แต่ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของครูบาอาจารย์)
เช่นแทนที่จะหมกมุ่นกับความน้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ คับแค้นใจ กลุ้มใจ
อันเป็นโทสะซึ่งมีโทษมาก ก็หันมาทำงานอดิเรกที่ชอบใจ
จิตใจก็จะสงบลง หายเร่าร้อนแล้ว กลับมาปฏิบัติธรรมก็ทำได้ง่ายขึ้น

หรือบางคราวโมหะครอบจิตจนมืดตื้อแกะไม่ออก
ยิ่งนั่งดู ก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ซ้ำโทสะก็จะเริ่มเข้าผสมโรง คือหงุดหงิดใจขึ้นมา
โมหะมีโทษมาก โทสะก็มีโทษมาก
ผมจึงเคยแนะพวกเราบางคนว่า ให้หยุดการปฏิบัติไว้ก่อนชั่วคราว
ไปเปลี่ยนอารมณ์เดินดูสิ่งที่สวยๆ งามๆ ให้สบายใจ
แล้วถ้าจิตเกิดราคะ ก็ให้รู้ราคะไป
อันนี้ก็เป็นอุบายเอาตัวรอดจากกิเลสที่มีโทษมาก ไปเป็นกิเลสที่โทษน้อย
แล้วค่อยพลิกกลับมาเป็นกุศลจิตทีหลัง

อันตรายมันอยู่ตรงที่ พลิกกลับไปเป็นกุศลจิตไม่ได้ นี่แหละครับ
เรื่องอย่างนี้ จึงควรอยู่ในสายตาของครูบาอาจารย์ไว้

สำหรับเอี้ยง ปลูกต้นไม้ไปเถอะครับ
จิตใจที่สบายๆ ร่วมกับการที่เราทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นนิจ
เกิดพลาดพลั้งเป็นอะไรไป
ถึงชาตินี้อาจจะไม่รู้ธรรม แต่สุคติก็เป็นที่หวังได้ครับ

(มีต่อ)

12
เขียนไว้เมื่อ วัน พฤหัสบดี ที่ 7 กันยายน 2543 14:59:22

กระทู้ "คุยกันเบาๆ เรื่องทิฏฐิ" ซึ่งในตอนท้ายพาดพิงไปถึงอุปาทาน 4 นั้น
เป็นที่สนใจของหมู่เพื่อนบางท่าน และมีคำถามเพิ่มเติมเข้ามาหลายเรื่อง
เช่นสงสัยว่า ทิฏฐุปาทาน เป็นเรื่องของความเห็น
อัตวาทุปาทานก็เป็นเรื่องความเห็นเช่นกัน แล้วทำไมจึงต้องแยกกัน
บางท่านก็สงสัยว่า แล้วความยึดถือในลูกเมีย ทรัพย์สิน ชื่อเสียงเกียรติยศ
ความยึดถือกาย ความยึดถือจิต ฯลฯ ควรจะจัดเป็นอุปาทานประเภทใด

ถ้าตามตอบเป็นรายคำถามคงเสียเวลามาก
วันนี้เรามาคุยกันถึงเรื่อง อุปาทาน 4 เสียเลยดีกว่า

************************************

ก่อนจะกล่าวถึงเนื้อหาของ อุปาทาน 4
เราน่าจะเข้าใจสถานะของคำสอนเรื่องนี้เสียก่อน

คำสอนเรื่องอุปาทาน 4 ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของปฏิจจสมุปบาท
จัดเป็นคำสอนเชิงอภิธรรม หรือเชิงปรมัตถ์ คือพูดถึงสภาพธรรมล้วนๆ
ไม่ใช่ธรรมะที่สอนเกี่ยวกับปุคคลบัญญัติ หรือเรื่องบุคคล ตัวตน สัตว์ เรา เขา
ท่านจึงไม่กล่าวถึงความยึดถือในครอบครัว ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศ ฯลฯ

คำสอนเรื่องอุปาทาน 4 เป็นคำสอนสำหรับนักบวช หรือผู้แสวงหาความหลุดพ้น
ไม่ใช่คำสอนสำหรับชาวบ้านทั่วไป
พระศาสดาจึงทรงเพ่งเล็งอธิบาย หรือจำแนกชนิดของอุปาทาน
ตามกลุ่มของสภาวธรรมที่ผู้แสวงหาความหลุดพ้นพากันติดอยู่
เพื่อจะได้พากันถอดถอนอุปาทานนั้น
ไม่ใช่เพื่อให้ฟังกันเล่นเพลินๆ หรือประเทืองปัญญา

สำหรับวิธีการศึกษาเนื้อหาของเรื่องอุปาทาน 4 นั้น
ถ้าจะให้เข้าใจง่าย สมควรปรับมุมมองเสียหน่อย
ในเมื่อธรรมอันนี้ ออกมาจากพระทัยของพระศาสดา และทรงประทานให้แก่ผู้ปฏิบัติ
เราก็ควรลงมือปฏิบัติ เพื่อรองรับพระธรรมนั้นด้วยจิตใจของเราเอง
จึงจะเข้าใจได้ลึกซึ้งและผสานเข้ากับการปฏิบัติในชีวิตจริงได้
เพราะเราเอาตัวผู้ศึกษาเป็นศูนย์กลางของการศึกษา
วิธีนี้จะต่างจากการเรียนธรรมะแบบเดิม ที่เอาตำราเป็นตัวตั้ง
โดยศึกษาว่าตำราแยกแยะธรรมนี้อย่างไรบ้าง
ซึ่งเมื่อทราบแล้ว ก็มักไม่ถึงใจ และนำไปปฏิบัติได้ยาก

เราจึงควรพากันเจริญสติสัมปชัญญะ
โดยการนั่งสมาธิและเดินจงกรมแบบที่เป็นวิปัสสนา
แล้วคอยเฝ้ารู้ว่า จริงๆ แล้ว จิตไปยึดมั่นอะไรได้บ้าง
ด้วยวิธีนี้ เราอาจจะพบมุมมองที่แปลกใหม่สำหรับอุปาทาน 4 ก็ได้

******************************************

สิ่งที่จิตพร้อมจะทะยานไปยึดได้เสมอก็คือ
รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย
เช่นเดินจงกรมอยู่ดีๆ เกิดเห็นเงาอะไรวอบแว่บผ่านมา
จิตก็มักจะทะยานออกไปยึดสิ่งที่ตาเห็นนั้น
ถ้าสิ่งนั้นสวยงาม จิตก็ยินดี ถ้าสิ่งนั้นน่าเกลียดน่ากลัว จิตก็ยินร้าย
หรือนั่งสมาธิอยู่ในป่า ได้กลิ่นหอมรวยรินของดอกไม้ป่า
จิตก็หลงเข้าไปยึดกลิ่นนั้น ด้วยความยินดี

สรุปแล้ว สิ่งที่จิตเข้าไปยึดก็คือ "สิ่งแวดล้อมภายนอก" ที่ไปรู้เข้า
หรือจะกล่าวว่า จิตไปยึดมั่นใน "สิ่งที่รับรู้ได้ทางอายตนะทางกายทั้ง 5" ก็ได้
สิ่งนี้น่าจะสอดคล้องใกล้เคียงกับ กามุปาทาน นั่นเอง

สิ่งต่อมาที่จิตยึดมั่นก็คือ"ความคิดเห็นต่างๆ"
ทั้งความคิดเห็นที่ดีและที่ชั่ว ทั้งความเห็นถูกและความเห็นผิด
จิตยึดได้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าจิตจะยึดได้เฉพาะมิจฉาทิฏฐิอย่างเดียว
เหมือนที่ตำราชั้นหลังเพ่งเล็งไปที่มิจฉาทิฏฐิเป็นหลัก
และเมื่อยึดความเห็นแล้ว จะเห็นถูกหรือเห็นผิด ก็เกิดทุกข์ทั้งนั้น
สิ่งนี้ก็น่าจะสอดคล้องใกล้เคียงกับ ทิฏฐุปาทาน

สิ่งต่อมาที่จิตมักยึดถือ นอกเหนือจากสิ่งแวดล้อมภายนอก และความคิดเห็นของตนเอง
ก็คือ "ความเชื่อที่สืบทอดกันมา"
สำหรับนักปฏิบัติแล้ว ความเชื่อที่สำคัญก็คือ
การถือศีลอย่างนี้ การบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัติอย่างนี้ จะเป็นทางพาให้พ้นทุกข์ได้
เช่นก่อนจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ ควรจะจุดธูปเทียนเท่านี้ๆ ดอก
ต้องไหว้พระสวดมนต์ หรืออัญเชิญปีติทั้ง 5 เสียก่อน
และต้องแผ่ส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ภูติผีปีศาจ
ต้องนั่งหันหน้าทิศนั้นทิศนี้ เพื่อความเป็นสิริมงคล
บรรดา "ความเชื่อ" ทั้งหลายนี้แหละ
เราไม่ได้คิดเอง แต่เชื่องมงายตามกันมา
ก็เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องคอยสำรวจใจตนเองเหมือนกัน ว่าหลงไปยึดถือหรือเปล่า
สิ่งนี้ก็น่าจะสอดคล้องใกล้เคียงกับ สีลัพพตุปาทาน

นอกจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ความคิดนึกปรุงแต่งของจิต และความเชื่อทั้งหลายแล้ว
นักปฏิบัติที่เชี่ยวชาญ จะสังเกตเห็นความยึดถือที่ลึกลับที่สุด
ในจิตใจเรานั้น มีอะไรอยู่ตัวหนึ่ง ที่มันเรียกตัวเองว่า เรา เรา เรา
มันมีวาทะ หรือมันพูดอยู่ตลอดเวลา ว่าเรา เรา เรา
แล้วจิตก็หลงยึดเอาจริงๆ ว่า เรา เรา เรา
มันเป็นเสมือนแกนกลางของการรับรู้ทั้งปวง
ไม่ว่าสิ่งที่ถูกรู้จะเป็นสิ่งแวดล้อมภายนอก ความคิดเห็น หรือความเชื่อต่างๆ
สิ่งนี้ก็น่าจะสอดคล้องใกล้เคียงกับสิ่งที่เรียกว่า อัตวาทุปาทาน
และเพราะความยึดมั่นนี้แหละ
เมื่อจิตไปประสบกับอารมณ์อันละเอียด คือรูปฌานและอรูปฌานเข้า
จิตก็จะกระหยิ่มยินดีมีความสุข เพราะความยึดมั่นจิตนั่นเอง

ถ้าพิจารณาจากสิ่งที่จิตไปติดยึดจริงๆ ที่รู้ได้ในระหว่างการปฏิบัติ
นอกเหนือจากความยึดมั่น 4 อย่างนี้แล้ว ผมก็ไม่เห็นความยึดมั่นอย่างอื่นอีก
เพราะครอบคลุมตั้งแต่สิ่งแวดล้อมภายนอก ความคิดเห็นภายในของตนเอง
รูปแบบและความเชื่อถือที่สืบทอดกันมา
จนถึงความยึดถือในศูนย์กลางของทุกสิ่ง คือ เรา เรา เรา

ขอเรียนว่า เรื่องที่เล่ามานี้ จะไม่ตรงกับตำราชั้นหลังบ้าง
(เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ซึ่งผู้ศึกษาควรจะมีความคิดเห็นได้)
แต่ที่นำมาเล่าก็เพราะเห็นว่า
พอจะเป็นแนวทางที่ช่วยให้เพื่อนนักปฏิบัติใช้สำรวจตนเองได้ว่า
จิตใจยังหลงไปยึดมั่นถือมั่นอะไรอยู่บ้าง

**********************************************

ความจริงนั้นมีอยู่ 2 ระดับคือสมมุติสัจจะ และปรมัตถสัจจะ
ความคิดที่ว่า "สิ่งทั้งหลายเป็นอนัตตา พระพุทธเจ้าก็ไม่มี
พ่อแม่ครูอาจารย์ก็ไม่มี ตัวเราก็ไม่มี"
ยังจัดเป็นความคิดสุดโต่งครับ เพราะปฏิเสธสมมุติสัจจะ
ขอย้ำว่า แม้จะเป็นสมมุติ มันก็เป็นสัจจะคือความจริงอันหนึ่ง
ไม่ใช่ไม่มี หรือไม่จริงนะครับ แต่มันจริงโดยสมมุติ

คราวนี้เราต้องรู้จักจำแนกว่า
อะไรเป็นความจริงโดยสมมุติ อะไรเป็นความจริงโดยเนื้อแท้
อย่างพระพุทธเจ้านั้น โดยสมมุติของโลก
พระองค์ก็ทราบว่า "พระองค์" เป็นพระพุทธเจ้า
แต่โดยความจริงอันแท้
พระองค์ท่านก็ไม่ได้สำคัญมั่นหมายว่ามีหรือไม่มีพระพุทธเจ้า
ท่านเห็นแต่ว่า ขันธ์ 5 เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

**************************************


13
เขียนไว้เมื่อ วัน พุธ ที่ 6 กันยายน 2543 10:51:34

เพื่อนนักปฏิบัติเมล์มาถามผมบ่อยๆ ว่า ทำอย่างไรจะข่มหรือละกามได้
แต่ไม่มีใครเคยถามผมว่า ทำอย่างไรจะละทิฏฐิได้
ยกเว้นสักกายทิฏฐิ ที่มีผู้ถามถึงวิธีละอยู่เป็นครั้งคราว
ซึ่งผมก็ตอบว่า ให้เจริญสติปัฏฐานเรื่อยๆ ไป

พระศาสดาทรงสอนว่า "กษัตริย์ต่อกษัตริย์ มักขัดแย้งกันเพราะกามและทิฏฐิ"
ซึ่งหมายความว่า นักการเมืองหรือนักปกครอง
มักจะขัดแย้งกันเพราะผลประโยชน์ทางวัตถุอย่างหนึ่ง
เพราะผลประโยชน์ทางความคิดหรืออุดมการณ์ อีกอย่างหนึ่ง

ทรงสอนว่า "นักบวชกับนักบวช มักจะขัดแย้งกันเพราะทิฏฐิ"
เพราะเรื่องกามนั้น ต่างคนต่างเห็นโทษภัย และพยายามละอยู่แล้ว
แต่เรื่องทิฏฐินั้น ไม่ค่อยมีใครเห็นว่ามีโทษภัย
จึงไม่ค่อยระมัดระวังอันตรายจากทิฏฐิกันเท่าที่ควร
พากันปล่อยให้ทิฏฐิอิงอาศัย เดินเข้าเดินออกในจิตใจตนเองได้ทั้งวัน

เมื่อเช้านี้ ก่อนจะออกจากบ้านไปทำงาน
ผมเห็นแม่บ้าน (แม่บ้านเป็นคำไทยแท้ แปลว่าผู้เป็นใหญ่ในบ้าน) จิตใจกำลังผ่องใสมีกำลัง
จึงแนะว่า อย่าทำความรู้ตัวอยู่เฉยๆ ให้เดินปัญญาด้วย
โดยรู้ลงไปเวลาจิตมีความเห็นต่างๆ มันจะเกิดความเป็นเราขึ้นมา

แม่บ้านของผมก็คอยเฝ้ารู้อยู่ที่จิตใจตนเอง
แล้วก็พบว่า ทุกคราวที่เกิดความเห็น
(ความเห็นไม่ใช่ความคิดนะครับ
ความเห็นจะมีการให้ค่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่า อันนี้เป็นอย่างนี้
อันนี้ดี - ไม่ดี  ผิด - ถูก  ควร - ไม่ควร ฯลฯ
ตามการประเมินค่าและมาตรฐานของตนเอง)
จิตจะเคลื่อนเข้าไปยึดความเห็นนั้นเสมอ
แม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่สุด จิตก็ยังยึดถือความเห็นที่เกิดขึ้น
เช่นตอนขับรถออกจากบ้าน มีรถอีกคันหนึ่งปาดหน้า
ก็เห็นความเห็นว่า ทำอย่างนี้ไม่ดี ไม่คิดถึงอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
เห็นถึงการให้ค่าว่า ดี - ไม่ดี ถูก - ผิด
แล้วเห็นว่าจิตเข้าไปยึดถือความเห็นนั้น

พบอีกว่า ทุกคราวที่เกิดความยึดในความเห็น
จะเกิดความขัดข้อง เป็นกลุ่มก้อนขึ้นที่กลางอก
ถ้ายึดถือแรง ก้อนนี้จะโตและแน่น ถ้ายึดเบาๆ ก้อนก็เล็กและเบาบาง
ยึดขึ้นทีไร ก็ทุกข์ทีนั้น
และเธอก็สรุปว่า คนเราทะเลาะกันก็เพราะยึดในทิฏฐินี้แหละ

ผมขับรถไป ก็เล่าเพิ่มเติมให้ผู้โดยสาร/แม่บ้าน ฟังต่อไปว่า
ความยึดมั่นในความเห็นนั้น ตำราเรียกว่า ทิฏฐุปาทาน
เมื่อเกิดความเห็นแล้วยึดความเห็น
ก็จะเกิดตัวเราขึ้นมา เป็นเจ้าของความเห็นนั้น
และเมื่อเกิดตัวเรา หรือตัวกู หรือที่สมัยนี้ชอบเรียกว่าเกิดอัตตาตัวตนขึ้น
ก็จะมีปฏิกิริยาเป็นก้อนแน่นหน้าอกขึ้น
ใครที่อัตตาแรง ก็เหมือนแบกครกตำข้าวไว้กลางอก
ไม่รู้เลยว่ากำลังเป็นทุกข์อยู่เพราะภาระการแบกหาม
เพราะตอนนั้นกำลังหลง มีแต่เราเก่ง เราถูก ฯลฯ

แม่บ้านผมก็บอกว่า ลำพังความเห็นเกิดขึ้นนั้นยังไม่ทุกข์หรอก
จิตต้องเคลื่อนเข้าไปยึดความเห็นก่อน จึงจะเกิดทุกข์

และเจ้าความทุกข์นั้น ก็เป็นสิ่งที่เกิดๆ ดับๆ ต่อเนื่องกันไป
ใหญ่บ้างเล็กบ้างไปตามกำลังความยึดมั่น
ถ้าเฝ้ารู้อยู่ตรงนี้ ก็มีงานกรรมฐานให้ทำได้ทั้งวันทีเดียว

ผมก็เล่าต่อว่า สักกายทิฏฐิ ก็คือความเห็นเหมือนกัน
เมื่อปฏิบัติไปถึงจุดหนึ่ง สักกายทิฏฐิจะไม่เกิดขึ้นอีก
แต่ทิฏฐิอื่นๆ ก็ยังเกิดขึ้นตลอดไป
แม้พระอริยบุคคลชั้นสูง ท่านก็ยังมีทิฏฐิคือความเห็นเกิดขึ้นเสมอ
เพียงแต่ท่านไม่ยึดถือในความเห็นนั้นเท่านั้น
เมื่อไม่ยึดทิฏฐิ ก็ไม่ทุกข์เพราะทิฏฐิ
เหมือนที่ขันธ์ก็มีอยู่ แต่เมื่อไม่ยึดขันธ์ ก็ไม่ทุกข์เพราะขันธ์

เมื่อเช้าคุยกันเท่านี้ เพราะขับรถถึงที่ทำงานเสียก่อน
แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน

*************************************

ปกติเมื่อพูดถึงคำว่า ทิฏฐิ
ในตำรามักจะหมายถึง มิจฉาทิฏฐิ หรือความเห็นผิด เท่านั้น

ไม่ได้แปลว่า ความเห็น ที่ครอบคลุมถึงความเห็นในทุกๆ เรื่อง
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว คนเราฆ่ากันได้เพราะขัดแย้งในเรื่องทิฏฐิทุกๆ เรื่อง
เช่นสามีอยากจะไปตีเทนนิส ภรรยาอยากจะไปตีแบดมินตัน
แต่ลงท้ายทั้งสองคนก็ตีกันเอง เพราะมีความเห็นขัดแย้งกัน
แล้วต่างคนต่างก็ยืดหยัดยึดมั่นในความเห็นของตน

เพื่อนบางท่านอาจจะงงๆ ว่าถ้าเราไม่มีความเห็นเสียเลย จะดีหรือ
ขอเรียนว่า จิตเขาย่อมมีความคิดและความเห็นเกิดขึ้นได้เสมอ
ไม่ใช่จะห้ามไม่ให้ผู้ปฏิบัติมีความคิดและความเห็น
เพียงแต่อย่าไปยึดมั่นในความเห็นของตนมากนัก เพราะตนเองจะเป็นทุกข์เอง

บางท่านอาจจะคิดต่อไปว่า ถ้าไม่ให้ยึดมั่นในความเห็น
ก็แสดงว่าชาวพุทธต้องไม่มีอุดมการณ์
เพราะอุดมการณ์คือความเห็นว่าสิ่งนี้ดี สมควรทำ หรือสมควรไปให้ถึง
ในจุดนี้ขอเรียนว่า ชาวพุทธมีอุดมการณ์ได้
หากพิจารณาโดยถ่องแท้ด้วยเหตุผลแล้ว
เห็นว่าสิ่งนี้ควรทำเพราะเป็นประโยชน์ต่อตน และ/หรือ ผู้อื่น

แต่ในการทำนั้น ก็ไม่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์จนลืมศีล 5
หรือถึงขั้นเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
และหากทำไปเต็มที่แล้ว ได้ผลเพียงใดก็ยอมรับเพียงนั้น
ไม่ทุกข์ร้อนเพราะแรงยึดมั่นในอุดมการณ์

เมื่อพูดถึงความยึดมั่นในความเห็นแล้ว
ก็ขอแจกแจงถึงความยึดมั่นทั้ง 4 ประการเสียเลย
ตัวอุปาทานนั้น พระศาสดาทรงแจกแจงไว้ 4 ประการคือ
กามุปาทาน คือความยึดมั่นในกาม
ทิฏฐุปาทาน คือความยึดมั่นในความเห็น
สีลัพพตุปาทาน คือความยึดมั่นในศีลพรต
อัตตวาทุปาทาน คือความยึดมั่นในวาทะว่าเป็นตัวตน
เราจะเห็นว่า ทั้ง 4 ประการนี้ครอบคลุมสิ่งที่คนเรายึดมั่นไว้หมดแล้ว

ทีนี้ตำรารุ่นหลังท่านก็มาอธิบายต่อว่า
พระโสดาบัน ละ ทิฏฐุปาทานได้  เพราะไม่มีความเห็นผิดอีกแล้ว
ละ สีลัพพตุปาทาน คือความยึดมั่นในการถือศีลบำเพ็ญพรตอย่างผิดๆ
และละ อัตตวาทุปาทาน คือการมีวาทะ(ทัศนะ)ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นตัวตน
ส่วนกามนั้น ใครๆ ก็ทราบว่า พระอนาคามีท่านละกามได้
แต่ถ้าระบุว่า พระอนาคามีท่านละ กามุปาทาน ได้
แล้วจะเหลืออุปาทานอะไรให้ผู้เจริญอรหัตตมรรค ละกัน

ตำราก็เลยตีความใหม่ว่า กามุปาทาน ไม่ได้หมายถึงกามราคะเท่านั้น
แต่รวมถึงรูปราคะ และอรูปราคะเข้าไปด้วย
ดังนั้น พระอนาคามี ก็ยังมี กามุปาทาน ต่อเมื่อเป็นพระอรหันต์จึงละได้

ตำรารุ่นหลังเกิดจากการตีความของนักปราชญ์นั่นแหละครับ
เราควรรับฟังไว้ประกอบความรู้
แต่ในส่วนของผมเองแล้ว กลับเห็น(ความเห็นส่วนตัวนะครับ)ว่า
ท่านผู้เจริญอรหัตมรรค ท่านยังมีอุปาทานหลายอย่าง
จะเรียกว่าอุปาทานชนิดไหนก็แล้วแต่เถิด
แต่ไม่ใช่มีอุปาทานเฉพาะ กามุปาทาน แน่ๆ
เว้นแต่จะขยายการตีความคำว่า กามุปาทาน ออกไปให้กว้างสุดขีด

เช่นท่านยังยึดในความสุขสงบ ด้วยอำนาจกระตุ้นของรูปราคะและอรูปราคะ
ท่านยังยึดในความเห็นในทางดี ด้วยอำนาจกระตุ้นของอุทธัจจะ
เช่นเห็นว่า การทำทาน รักษาศีลเจริญภาวนา เป็นสิ่งที่ดี
หรือนิพพานเป็นของดีที่จะต้องพยายามไปให้ถึง
ที่สำคัญคือ ท่านยังยึดถือจิต ด้วยอำนาจกระตุ้นของมานะและอวิชชา
และจะต้องพยายามทำจิตให้หลุดพ้นให้ได้

ถ้าเอาของจริงๆ มาพูดกันก็มีปัญหาน้อยครับ
แต่ถ้ากางตำราเถียงกัน ก็อดมีความยึดในทิฏฐิ ไม่ได้หรอกครับ
พอยึดแล้วก็จะร้อน และเกิดก้อนแน่นๆ ที่หน้าอก
หาความสบายใดๆ ไม่ได้เลย

************************************************

14
เขียนไว้เมื่อ วัน จันทร์ ที่ 9 ตุลาคม 2543 08:23:42

1 พุทโธ เพื่อสิ่งใด

ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ และศิษย์ส่วนมากของท่าน
ปฏิบัติธรรมด้วยการพิจารณากาย
(มีเพียงส่วนน้อย เช่นหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่ปฏิบัติตัดตรงเข้าสู่จิต)
แต่ก่อนจะพิจารณากาย ท่านให้ทำจิตให้สงบเสียก่อน
ด้วยการบริกรรมพุทโธเป็นหลัก
แต่ศิษย์ของท่านบางองค์ กำหนดลมหายใจควบเข้าไปด้วย
มีบางองค์เท่านั้น ที่ใช้กรรมฐานพิเศษออกไปตามจริตนิสัย
เช่นหลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านเจริญเมตตาเพราะมีปกติเจ้าโทสะ

การบริกรรมพุทโธ ไม่ได้บริกรรมปาวๆ เหมือนนกแก้วนกขุนทอง
แต่ท่านให้บริกรรมเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
พระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ที่อื่นไกล แต่อยู่ในจิตใจของเรานี่เอง
การบริกรรมพุทโธ จึงเป็นเครื่องน้อมจิตให้สงบ
แล้วเข้ามาทำความรู้จักกับ จิตผู้รู้พุทโธ


ครูบาอาจารย์บางองค์เช่นหลวงปู่บุญจันทร์ ถาวโร
เคยแนะนำให้บริกรรมว่า "พุทโธใจรู้ พุทโธรู้ใจ"
คือให้บริกรรมจนพบผู้บริกรรมว่าพุทโธ
ซึ่งจะพบไม่ยากเลย หากตระหนักชัดว่า
คำว่าพุทโธ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ จิตนั้นแหละ เป็นผู้คิดคำว่า พุทโธ
และเมื่อมีจิตผู้รู้แล้ว คราวนี้จึงพร้อมที่จะพิจารณากาย

***********************************

2 กายคตาสติ เป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา

เมื่อพูดถึงการพิจารณากาย หรือกายคตาสติ
ตำราชั้นหลังจะถือว่าเป็นเพียงการทำสมถะเท่านั้น
ทั้งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงชัดว่า
กายคตาสตินำผู้ปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้
ทั้งยังมีพยานบุคคล ที่บรรลุพระอรหันต์ด้วยการเจริญกายคตาสติ
ได้แก่ท่านพระมหากัสสปเถระ และท่านพระอานนทเถระ เป็นต้น

อันที่จริงการพิจารณากายจะทำให้เป็นสมถะก็ได้ ทำให้เป็นวิปัสสนาก็ได้
หากพิจารณาด้วยการคิดเอา ว่ากายแต่ละส่วนนี้มีรูปพรรณสัณฐานอย่างนี้ๆ
มีสี มีกลิ่น มีความสกปรก ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อย่างนี้ๆ
หรือบางท่านเมื่อพิจารณาแล้ว ก็เกิดนิมิต เห็นตนเองเป็นศพเน่าสลายไป
การคิดพิจารณาอย่างนี้ยังเป็นสมถกรรมฐาน เพราะยังอาศัยความคิด อาศัยนิมิต
ไม่มีตัวจริงของจริงเป็นหลักฐานรองรับการพิจารณา

แต่การคิดก็เป็นประโยชน์อยู่เหมือนกัน
สำหรับแก้ความเกียจคร้านในการเจริญปัญญา
เนื่องจากบางท่านบริกรรมพุทโธแล้ว เข้าไปติดความสงบอยู่
ยังไม่สามารถแยกเอาจิตผู้รู้พุทโธออกมาได้
ครูบาอาจารย์ก็จะออกอุบายไม่ให้จิตสงบอยู่เฉยๆ แต่ให้หัดพิจารณาไว้
ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของการคิดพิจารณากายก็คือ
เป็นเครื่องข่มราคะโดยตรง เหมาะกับพระหนุ่มๆ จะได้ไม่สึกตามสาวไปเสียก่อน

บางท่านเห็นว่าการพิจารณากายจะเป็นสมถะ
ถ้าคิดว่ากายส่วนนี้คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
แต่ถ้าคิดว่า นี้เป็นเพียงรูป ไม่ใช่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
มีความแค่นแข็งเป็นธาตุดิน มีความไหวเป็นธาตุลม
มีความเกาะเกี่ยวคงรูปร่างอยู่ด้วยธาตุน้ำ และมีความอบอุ่นด้วยธาตุไฟ
การคิดพิจารณาอย่างนี้ก็ยังไม่ใช่วิปัสสนาอยู่นั่นเองถ้าจิตไม่พร้อมจริง
เพราะเป็นแค่การเปลี่ยนชื่อเรียกหา จาก ผม เป็น รูป เท่านั้น
แล้วก็ยังเป็นการคิด ไม่ใช่การรู้

ส่วนการพิจารณากายที่เป็นวิปัสสนานั้น จะทำได้เมื่อรู้จักจิตผู้รู้แล้ว
เพราะเมื่อผู้ปฏิบัติมีจิตผู้รู้ ก็จะมีองค์ธรรมสำคัญ 3 ประการสำหรับเจริญวิปัสสนา
คือสัมมาสมาธิ สัมมาสติ และสัมมาทิฏฐิ
หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า สมาธิ สติ และสัมปชัญญะ นั่นเอง

***********************************

3 หลักของวิปัสสนา

การที่จิตตั้งมั่นทรงตัวเป็นหนึ่ง หรือเป็นธรรมเอก
โดยไม่ต้องบังคับ (ไม่เพ่ง)
และไม่กวัดแกว่งส่งส่ายออกไปตามสิ่งเร้า(ไม่เผลอ)
ไม่ถูกนิวรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโมหะครอบงำ
สภาพความตั้งมั่นเช่นนี้แหละคือสัมมาสมาธิ
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเจริญวิปัสสนา

เพราะในสภาพนั้น หากสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏขึ้นให้จิตรู้
จิตจะรู้ได้อย่างว่องไว และชัดเจนที่สุด
เพราะมันเป็นสิ่งที่แปลกปลอมเพิ่มขึ้นจากภาวะของจิตปกติ
ที่ทรงตัวตั้งมั่น และรู้อยู่
เมื่อสติรู้สิ่งที่กำลังปรากฏแล้ว จิตที่ตั้งมั่นไม่หลงไม่เผลอนั้น
ก็จะทำงานวิจัยสภาวธรรมที่กำลังปรากฏนั้น
(เรียกว่าธรรมวิจัย หรือปัญญา หรือสัมปชัญญะ หรือสัมมาทิฏฐิ)
คือรู้ว่า สิ่งบางสิ่งเกิดขึ้น แล้วสิ่งนั้นมีบทบาทอย่างใด แล้วสิ่งนั้นก็ดับไป

ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอมซ้ำๆ หน้ากันบ่อยๆ
จิตจะเริ่มสาวถึงเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิด
และเหตุที่ทำให้สิ่งนั้นดับไปได้เอง

ตัวอย่างเช่น ในขณะที่ทำความรู้ตัวอยู่นั้น
จู่ๆ ก็พบว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมา
(ซึ่งพอดูอาการมันแล้วสามารถเรียกชื่อในภายหลังได้ว่าราคะ)
ก็จะเห็นสภาวะของราคะที่เกิดขึ้นนั้น เห็นอาการที่มันล่อลวงให้จิตหลง
เห็นอาการที่จิตหลงบ้าง ไม่หลงบ้าง แล้วแต่ความฉลาดของจิต
และเห็นว่า ในที่สุดมันก็ดับไป

พอเห็นมันเกิดดับหลายคราวเข้า ต่อมาก็จะเกิดความเข้าใจราคะมากขึ้น
รู้ว่าถ้าตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง .. ใจคิดนึกไปในสิ่งที่พอใจ
จะทำให้ราคะเกิดขึ้นได้ง่าย เป็นต้น

สัมมาสมาธิ หรือการมีจิตผู้รู้ หรือการมีธรรมเอก หรือเอโกทิภาวะ
เหมือนกับการเก็บกวาดโต๊ะทำงานจนเกลี้ยงเกลา
มันเกื้อกูลให้สติสัมปชัญญะทำงานได้อย่างเต็มที่
คือพอมีอะไรตกแว้บลงบนโต๊ะ
แม้แต่ชิ้นเล็กๆ ก็รู้ทันทีด้วยอำนาจของสัมมาสติ
แล้วสัมปชัญญะหรือปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิ
ก็จะวิจัยเองว่า สิ่งนี้คืออะไร มาได้อย่างไร
มาแล้วมีผลอย่างไรกับโต๊ะ(จิต)
แต่ทั้งหมดนี้ เป็นกระบวนการที่จิตดำเนินไปเองนะครับ
เราเพียงแต่ทำความรู้ตัวไว้ ไม่เผลอ ไม่เพ่ง

อนึ่ง คำว่า รู้ ก็คือรู้จริงๆ ไม่ใช่คิดๆ เอา
โดยไม่มีพยานของจริงมารองรับการคิดนั้น

เช่นจะรู้กาย ก็ต้องรู้ที่กายจริงๆ เช่นเท้ากระทบพื้นจริงๆ
ไม่ใช่ไปสร้างภาพนิมิตว่าเราเดินจงกรมเอา


หรือจะรู้เวทนา ก็ต้องรู้เวทนาจริงๆ ที่กำลังปรากฏกับกายหรือจิตในขณะนั้น
เช่นถ้าจิตกำลังเป็นทุกข์ ก็รู้ความทุกข์นั้นไป
ไม่ต้องไปนั่งคิดว่า ความสุขเป็นอย่างไรหนอ

หรือจะดูจิต ก็ต้องรู้สภาวธรรมที่ปรากฏในจิตจริงๆ
เช่นรู้ความโกรธที่กำลังพุ่งขึ้นมา
ไม่ใช่หายโกรธไป 8 ปีแล้ว กลับมานั่งนึกว่า ความโกรธเป็นอย่างไร

หรือจะพิจารณาธรรม ก็ให้เห็นการเกิดขึ้นของนิวรณ์ หรือตัณหา หรือโพชฌงค์ ฯลฯ
คือรู้ถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ
ไม่ใช่ไปนั่งนึกเอาว่า ตัณหาเป็นแรงผลักดันอย่างไรหนอ

เหมือนที่ผมแนะนำหมู่เพื่อนที่มาถามธรรมกับผมว่า
ให้รู้ ความสงสัย ที่กำลังมีอยู่ในจิตในตอนนี้
หรือให้รู้ ความอยากถาม ที่กำลังปรากฏในจิตขณะนี้
เราจะทำวิปัสสนา ต้องทำตอนที่มีของจริงปรากฏให้เห็นครับ
มิฉะนั้น จิตจะไม่เห็นของจริง แล้วไม่ยอมรับความจริง
จะไปคิดหลอกจิตเอาตามใจชอบไม่ได้
เพราะผู้ปฏิบัติเองนั่นแหละ จะถูกกิเลสหลอกเอา


และเมื่อจิตรู้สภาวธรรมอย่างเป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ
จิตก็จะเกิดปัญญาปล่อยวางอารมณ์ภายนอกเข้ามาเป็นลำดับ
จนเข้ามาหยุดอยู่ที่จิตเอง
ตรงจุดนี้ จิตมีความตั้งมั่นอย่างสมบูรณ์
เพราะสิ่งเร้าภายนอกไม่อาจหลอกล่อให้จิตกวัดแกว่งออกไปได้
สติ ก็กำหนดรู้อยู่ที่จิต ซึ่งสงบ ว่าง
สัมปชัญญะ ก็พิจารณา(ด้วยการรู้) อยู่ที่จิต
กล่าวง่ายๆ ก็คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ประชุมลงที่จิต
หากมีกำลังพอ จิตก็อาจจะปฏิวัติตนเองไปสู่มรรคผลต่อไป


***********************************

(มีต่อ)

15
เขียนไว้เมื่อ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 11:25:23

ถ้าเราศึกษาประวัติของพระมหาเถระในอดีต หรือครูบาอาจารย์ในยุคปัจจุบัน
จะพบว่าบางท่านจะมีสหธรรมิกที่สนิทสนมคุ้นเคยเป็นพิเศษ
เช่นท่านพระสารีบุตร จะเป็นเพื่อนสนิทกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ
และเมื่อทั้งสองท่านต่างมีภารกิจมากขึ้น มีโอกาสสนทนากันเองน้อยลง
ท่านพระสารีบุตรก็มีท่านพระมหาโกฏฐิตะ เป็นคู่สนทนาอยู่บ่อยครั้ง

ในยุคสมัยของเรานี้  ท่านพระอาจารย์มั่นกับท่านพระอาจารย์เสาร์
ท่านก็มีความใกล้ชิดต่อกันตราบจนมรณภาพ
หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่หลุยกับหลวงปู่ชอบ ฯลฯ
ก็เป็นตัวอย่างของเพื่อนสหธรรมิกที่เห็นได้ชัดเจน
ถึงผมเองก็มีพุทธินันท์ เป็นเพื่อนร่วมศึกษาธรรมมาด้วยกัน

นักปฏิบัติที่มีเพื่อนคู่ใจหรือเพื่อนสหธรรมิกก็มี ที่ปฏิบัติเดี่ยวๆ ก็มี
และที่ปฏิบัติพร้อมๆ กันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็มี
ซึ่งการปฏิบัติเป็นกลุ่มใหญ่
เหมาะสำหรับการศึกษาวิธีปฏิบัติในเบื้องต้นเท่านั้น
เมื่อทราบวิธีแล้ว ก็ต้องแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามลำพัง
หรือแยกย้ายไปปฏิบัติเป็นกลุ่มย่อยๆ
จะเอาแต่นั่งรวมกลุ่มคุยธรรมะกันทั้งวัน แบบนั้นเห็นจะไปไม่รอด

ถึงพระมหาเถระในอดีต และในปัจจุบัน
ท่านก็ศึกษาธรรมจากพระศาสดาหรือครูบาอาจารย์ แล้วแยกย้ายกันปฏิบัติ
หากถูกอัธยาศัยกับใครเป็นพิเศษ ก็อาจจะไปหาที่ปฏิบัติร่วมกัน
หรือแยกย้ายกันปฏิบัติ แต่มาพบกันเป็นครั้งคราว
เพื่อตรวจสอบหรือปรึกษาหารือการปฏิบัติกัน
และเมื่อถึงเวลาอันสมควร ต่างองค์ก็กลับไปหาครูบาอาจารย์
แล้วจึงไปพบกันเป็นกลุ่มใหญ่ในสำนักของครูบาอาจารย์
ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติที่ไหนก็หอบหิ้วกันไปเป็นจำนวนมากๆ เป็นร้อยเป็นพันองค์
ทั้งนี้เพราะพระศาสดาไม่ประสงค์จะให้สาวกคลุกคลีกันอย่างนั้น

****************************************

การมีเพื่อนสหธรรมิก นับแต่ครูบาอาจารย์ลงมา
จนถึงเพื่อนที่ถูกใจกันในด้านการศึกษาและปฏิบัติธรรม
หรือเพื่อนที่ถูกอัธยาศัยกันเป็นส่วนตัว
ก็ยังจัดเป็นเพื่อนภายนอก
ไม่อาจจัดเป็นเพื่อนคู่ใจอย่างแท้จริงของนักปฏิบัติได้
เพราะถึงจะอยู่ใกล้ชิดกัน ก็อยู่ได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
แล้วต่างคนต่างก็ต้องแยกย้ายกันไป
เพื่อทำสงครามกับกิเลสตัณหาภายในจิตใจของตนเอง

การทำศึกกับกิเลสตัณหาเป็นกิจเฉพาะบุคคล
ประเภทตัวใครตัวคนนั้น ช่วยกันไม่ได้
ข้าศึกคือกิเลสตัณหา ก็กล้าหาญชาญชัยเสียเหลือเกิน
มีอุบายพลิกแพลงเข้าโจมตีผู้ปฏิบัติอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งกลางวันกลางคืน
ด้วยสงครามร้อนบ้าง สงครามเย็นบ้าง
เข้ามาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ... ทางใจบ้าง
ในยามที่ต่อสู้ในสงครามชนิดนี้ ผู้ปฏิบัติจะเหลือเพียงตัวคนเดียว
ทำนองเดียวกับที่พระศาสดาของเรา ทรงผจญมารตามลำพังพระองค์เอง
เพราะทวยเทพทั้งหลาย พากันหลบลี้หนีหน้าไปหมด
ถึงพวกเราเหล่าสาวกทั้งหลาย
ในยามที่จะปฏิบัติธรรม ก็ต้องต่อสู้ตามลำพังเช่นกัน
ครูบาอาจารย์ หรือเพื่อนสหธรรมิก ก็เข้าไปช่วยต่อสู้ด้วยไม่ได้

ในยามนี้แหละ เราจะรู้ว่า เพื่อนคู่ใจที่แท้จริงของเราคืออะไร

วันนี้เขียนเท่านี้ก่อนนะครับ
พวกเราใครมีเพื่อนคู่ใจแบบไหน
จะลองนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ดี
แต่ขอแบบประสบการณ์จริงๆ
ส่วนเพื่อนคู่ใจของผมก็มีเหมือนกัน
แต่จะเป็นเพื่อนคนเดียวกันหรือเปล่า ก็ยังไม่แน่ใจครับ

***********************************

เรามาคุยกันต่อเรื่องเพื่อนคู่ใจของนักปฏิบัติ

หลายท่านมาเล่าถึงเพื่อนคู่ใจอย่างน่าฟัง
เรื่องนี้ไ่ม่มีใครผิด เพราะเป็นคำตอบที่ถูกเฉพาะตัวทั้งสิ้น
และเพื่อนคู่ใจที่เล่ากันนั้น ก็มีทั้งเพื่อนดี
เช่นกาย ความว่าง สติสัมปชัญญะ
และเพื่อนชั่ว เช่นอวิชชา และกิเลสนานาชนิด
ช่างเหมือนชีวิตจริงภายนอกนี่ ที่เราก็มีทั้งเพื่อนดีและเพื่อนชั่ว

คนมีปัญญา ก็ย่อมได้ประโยชน์ทั้งจากเพื่อนดีและเพื่อนชั่ว
อย่างน้อยที่สุด การเห็นเพื่อนชั่วในจิตใจของเรา
ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตนเอง

สำหรับผมเอง โยนิโสมนสิการ คือเพื่อนคู่ใจในการปฏิบัติอย่างแท้จริง
ถ้าปราศจากโยนิโสมนสิการเสียอย่างเดียว
ผมจะไม่มีทางปฏิบัติมาถึงปัจจุบันนี้ได้เลย

แต่ก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์จริง
ขออธิบายคำว่า โยนิโสมนสิการ ตามตำราเสียก่อน

โยนิโสมนสิการ
- การทำในใจโดยแยบคาย,
- กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย,
- การพิจารณาโดยแยบคาย คือพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง
โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ
แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ
และความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย
หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว
ยังกุศลธรรมให้บังเกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ
ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา,
- ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี
(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก)

********************************

คราวนี้ขอนำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง
เกี่ยวกับการใช้โยนิโสมนสิการ
ทั้งที่ตอนนั้น ไม่ทราบหรอกว่า นั่นคือการใช้โยนิโสมนสิการ
 
ผมไปฟังธรรมครั้งแรกจากหลวงปู่ดูลย์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2525
ครั้งนั้นหลวงปู่สอนให้ดูจิตตนเอง
ตอนฟังก็คิดว่าเข้าใจ แต่พอลาท่านกลับกรุงเทพแล้ว
จึงรู้ว่าผมเองดูจิตไม่ได้หรอก เพราะยังไม่ทราบว่า
จิตเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน จะเอาอะไรไปดู

เมื่อไม่สามารถเรียนถามจากครูบาอาจารย์ อันเป็นยอดกัลยาณมิตรได้
ผมก็จำเป็นต้องพึ่งตนเอง โดยการพิจารณาอย่างแยบคาย
เพื่อทำความรู้จักจิต รู้จักที่อยู่ของจิต และพัฒนาเครื่องมือดูจิต
เริ่มแรกก็พิจารณาว่า จิตจะต้องอยู่ในขันธ์ 5 นี้เอง
จึงทำใจให้สบายๆ กำหนดสติตรวจสอบลงในร่างกายทีละส่วน
เมื่อไม่พบจิต ก็พิจารณาแยกแยะหาจิตในเวทนา สัญญา และสังขาร
ในที่สุดก็เข้าใจชัดว่า จิตเป็นธรรมชาติรู้  อะไรถูกรู้ อันนั้นไม่ใช่จิต
ตรงกับตำราที่ท่านกล่าวว่า
โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง
โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ
แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ
สิ่งที่ผมทำ คือการแยกแยะจนรู้สภาวะของขันธ์และจิต
แล้วทำให้รู้ถึงเหตุผล หรือความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับอารมณ์ทั้งปวง

ในช่วงแรกเริ่มปฏิบัตินั้น พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมากมาย
เช่นรู้ความไหวยิบยับขึ้นมาจากความว่างบ้าง
รู้ความไหวกลางอกเมื่อเวลาอายตนะภายในกระทบกับอายตนะภายนอก
บางวันก็เกิดก้อนอัดแน่นขึ้นกลางอก
บางวันจิตก็ว่าง สว่าง เบา สบาย
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ
ในการพิจารณาว่า สิ่งนี้คืออะไร เกิดด้วยเหตุใด มีบทบาทอย่างไร
และเราควรกระทำต่อสิ่งนั้นอย่างไร

เพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์ และไม่มีเพื่อนภายนอกจะปรึกษาด้วยได้
ผมมีสิ่งเดียวเป็นเพื่อน คือโยนิโสมนสิการ
บางอย่างต้องพิจารณาโดยการเฝ้ารู้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกนานนับเดือน
จนเข้าใจชัดและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสภาวะที่ปรากฏนั้น
การที่ต้องลูบคลำค้นคว้าแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตนเองนั้นเอง
จึงพอจะได้ความรู้ความเข้าใจมาบอกกับหมู่เพื่อนในวันนี้
เพราะสิ่งใดที่ผู้อื่นผิด เกือบทั้งหมดนั้นผมเคยผิดมาก่อนแล้ว

โยนิโสมนสิการ เหมือนกับเสนาธิการใหญ่ของจิต
เป็นผู้เปิดเผยกลศึกของศัตรูร้ายคือกิเลสตัณหาอุปาทานทั้งปวง
เป็นผู้กำหนดกลศึกในการรับมือกับข้าศึกนั้นๆ
และเป็นผู้เลือกเฟ้น มอบหมายให้ขุนศึกฝ่ายธรรมะทั้งหลาย ทำงานในแต่ละช่วงจังหวะ
เช่นบางขณะก็เจริญศรัทธา บางขณะเร่งความเพียร
บางขณะเจริญสติ บางขณะเจริญสมาธิ และบางขณะเจริญปัญญา

กิเลสเป็นของเร็วและว่องไวยิ่งนัก
เวลาที่ผู้ปฏิบัติเผชิญหน้ากับมันนั้น
จะมัวเที่ยวถามครูบาอาจารย์ก็ไม่ทันแล้ว
อาศัยโยนิโสมนสิการนี้แหละ เป็นเพื่อนคู่ใจ
เพราะเป็นของทันกันกับกิเลสตัณหา

เพราะประจักษ์ชัดถึงคุณค่าของโยนิโสมนสิการนี้แหละ
ทำให้ผมซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเมื่ออ่านคำสอนของพระศาสดา
ที่ท่านทรงสอนไว้อย่างชัดเจนว่า
กัลยาณมิตรหนึ่ง โยนิโสมนสิการหนึ่ง
คือบุพนิมิตหรือเครื่องหมายแรกแห่งการปรากฏของอริยมรรค

Pages: [1] 2 3 4