หากเป็นคนที่มีความตั้งใจทำอะไรจริงจัง หรือที่เรียกว่า มุ่งมั่นมากๆ มักจะมีนิสัยอย่างหนึ่งติดตัวมาด้วย นั่นก็คือ การเพ่ง
การเพ่ง กับความตั้งใจแรงๆ อาจเรียกได้ว่า เป็นเพื่อนกันมานาน ก็เป็นได้ เพราะเมื่อคนที่มีความตั้งใจแรงๆ ต้องการจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งแล้วล่ะก็ เขาย่อมต้องจดจ้องหรือพุ่งความสนใจไปในเรื่องนั้นๆอย่างไม่ว่อกแว่ก ไม่สนใจสิ่งอื่นหรือที่อาจเรียกได้ว่า "สิ่งรบกวน"
การปัดหรือปฏิเสธไม่ให้จิตไปสนใจสิ่งรบกวน นั่นก็คือการข่มใจเอาไว้ หรือการเพ่งลงไปที่จุดสนใจที่ตนต้องการ และเมื่อจะทำสมาธิ เอาจิตให้จดจ่อเอาไว้ที่อารมณ์อันเดียว โดยขาดกัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการ การเพ่งย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย และเมื่อเพ่งจนชำนาญ จนเคยชิน การเพ่งจะเกิดขึ้นเองทันทีที่นึกถึงการปฏิบัติธรรม ดังนั้น เมื่อไหร่ๆก็เพ่ง หรือที่เรียกกันง่ายๆว่า "ติดเพ่ง"
วิธีการที่หลวงพ่อปราโมทย์ ท่านมักแนะนำให้สำหรับนักเพ่ง หรือผู้ที่ติดเพ่ง ก็คือ ให้เลิกการทำสมาธิอย่างที่เคยทำไปก่อน ท่านไม่ได้มีเจตนาห้ามทำสมาธิ หรือมีทิฎฐิว่าสมาธิเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำ แต่ท่านไม่ได้อธิบายกว้างๆใ้ห้คนอื่นๆที่ได้ยินเสียงของท่านได้เข้าใจตามไปด้วย เพราะในขณะนั้น ท่านมุ่งปรับพื้นฐานของคนที่ท่านคุยด้วย หรือกำลังส่งการบ้านเป็นสำคัญ
หรือพูดอีกที เราไปแอบฟังเรื่องที่ท่านคุยกับคนอื่นที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของเขา เพียงแต่เจ้าตัวเขาไม่ได้ต้องการปกปิดอะไร แต่... เราผู้ฟังเองต่างหาก ที่ลืมไปว่า ท่านกำลังพูดกับใคร
วิธีการที่ท่านแนะนำ ให้เลิกทำสมาธิไปก่อน แล้วให้หาอารมณ์อันเป็นกุศล (หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่อกุศล) มาเป็นเครื่องอยู่สักพัก คำว่าเครื่องอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่คำว่า "วิหารธรรม" อันเป็นเรื่องของการเจริญสติ หากแต่หมายถึง ให้จิตได้เสพอารมณ์อันเป็นสุขนั้น ให้จิตไม่มีความเคร่งเครียด ให้จิตได้ผ่อนคลาย คลายตัวออกมาก่อน
จากนั้น เมื่อจิตคลายตัว ใจสบายดีแล้ว ท่านจึงเริ่มสอน ให้หัดสังเกตสภาวะ เพื่ออาศัยการเห็นสภาวะนั้น เป็นเหตุให้เกิดจิตที่มีสติที่ประกอบด้วยความรู้สึกตัวขึ้นมา ดังนั้น ตรงนี้ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ท่านไม่ได้ห้ามทำสมาธิ ท่านไม่ได้ต่อต้านสมาธิ แต่ท่านกำลังปรับพื้นฐานการภาวนา ให้เกิดความสมดุลระหว่างการเจริญสติ กับการเจริญสมาธิ เพื่อให้จิตใจพร้อมสำหรับการทำวิปัสสนา
หากอ่านถึงตรงนี้ บางท่านอาจคิดไปถึงคำว่า จิตตสิกขา การศึกษาเรื่องจิต ให้รู้ว่าจิตชนิดใดใช้ทำสมถะ จิตชนิดใดใ้ช้ทำวิปัสสนา และตรงนี้ยังไม่ใช่ปัญญาสิกขา ยังไม่เป็นวิปัสสนา ดังนั้น หากใครเข้าใจผิดไปอีกว่า ตรงนี้เป็นวิปัสสนาแล้ว (คือ การฝึกจิตให้รู้สภาวะที่ปรากฎ สภาวะอันเป็นปรมัตถ์ ไม่ใ่ช่สภาวะอันเป็นบัญญัติ) ก็ขอให้เข้าใจกันตรงนี้เลยครับว่า ตรงนี้เป็น จิตตสิกขา เป็นการเตรียมพร้อมที่จะเจริญวิปัสสนา แต่ยังไม่ใช่ครับ
หากท่านใด ทำเท่านี้ แล้วสามารถเริ่มต้นการสังเกตสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นที่กายที่ใจของเราได้แล้ว ก็ขอให้เจริญสติต่อไปได้เลย แต่หากกับบางคนยังไม่สามารถ เพราะเหตุว่า พอเว้นไม่ภาวนาไปหลายๆเดือนแล้ว พอกลับมาภาวนา ก็กลับเพ่งขึ้นมาใหม่ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ก็แสดงว่าความตั้งใจอันเป็นพื้นฐานของตนนั้น มีรุนแรงมาก หรือสะสมมานาน จนเวลาไม่กี่เดือน หรือปีหนึ่งๆ อาจไม่เพียงพอที่จะละหรือเลิกความเคยชินอันเดิมๆที่ตนมีได้ และเราก็คงจะทอดเวลาให้ยาวนานไปมากกว่านั้นไม่ได้ ก็ต้องเดินหน้าลุยกันไปด้วยความไม่พร้อมนี่ล่ะครับ แต่ก็ต้องยอมรับความทุกข์ หรือความทรมานที่จะตามมาด้วย หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า ต้องเลืิอกเส้นทางทุกขาปฎิปทาแล้ว
ที่บอกว่าเป็นทุกขาปฏิปทาก็เพราะว่า เส้นทางสายนี้ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอย ต้องทุกข์หนัก ทุกข์หนักเพราะการเพ่ง การเพ่งนั้นสร้างทุกข์ให้อยู่แล้วโดยปกติธรรมดา แต่จะผ่านให้ได้ก็ต้องเดินหน้าลุย
เส้นทางทุกขาปฏิปทาของการเพ่งนั้น เราต้องอาศัยการสังเกตจิตที่เพ่งนั่นเองเป็นเครื่องมือในการหัดเจริญสติ เวลาที่นึกถึงการภาวนา จิตจะหวลเข้ามาล็อกเข้าสู่การเพ่งโดยอัตโนมัติ การเพ่งนั้นย่อมนำมาซึ่งความทุกข์ แต่ก็ได้ให้ประโยชน์ เพราะทุกๆครั้งที่เกิดขึ้น เราจะเห็นได้เองถึงการเคลื่อนไหว หรือการเปลี่ยนแปลงของจิต เราจะเห็นได้เองถึงการบังคับไม่ได้ ห้ามไม่ได้ของจิต เพียงแต่ระยะเวลาที่เห็นนั้นแว่บเดียว แต่ระยะเวลาที่ทุกข์เพราะต้องเสวยวิบากนั้นยาวนานกว่า
แต่หากเป็นคนที่มีความตั้งใจจริง และตั้งใจแรง เรื่องแค่นี้คงไม่ได้เป็นปัญหาอะไร ไม่เกินความสามารถที่จะทนทานไปได้
เมื่อเราได้สังเกตเห็นจิตที่วิ่งไปวิ่งมา จิตที่เข้าไปเพ่งที่ห้ามไม่ได้ เห็นได้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ต้องบอกกันก็คือ อย่าปล่อยให้จิตจมแช่อยู่กับการเพ่งอย่างนั้น เพราะการจมแช่อย่างนั้นจะเสริมแรงการเพ่งให้แรงขึ้น ความทุกข์ก็มากขึ้น ตามไปด้วย แต่ให้เกิดการเคลื่อนไหวทางกายแทน เคลื่อนไหวกายก็เพื่อให้จิตใจเคลื่อนไหว คือ ตามปกติเมื่อมีการกระทบทางอายตนะ หรือที่เรียกว่าผัสสะ บางครั้งจิตจะทำหน้าที่เป็นวิญญาณรับรู้ รับรู้การสัมผัสกันของอายตนะภายนอก อายตนะภายใน ตรงนี้แหละที่ทำให้จิตนั้นละออกจากการเพ่ง ไปรับรู้ทางอายตนะแทน
วิธีการนี้จะทำให้จิตที่เพ่งอยู่ เคลื่อนออกจากการเพ่งไปได้ ดังนั้น ท่านที่ชอบติดเพ่ง จำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหวกายเอาไว้ให้มาก แม้แต่การฝึกตามรูปแบบ ก็ต้องใช้การเคลื่อนไหวเป็นหลัก จะเป็นการเดินจงกรมก็ดี จะเป็นการขยับเคลื่อนมือแขนก็ดี หรือแม้แต่การสวดมนต์ ก็ยังต้องคอยระลึกถึงปากหรือขากรรไกรที่เคลื่อนไหว จะช่วยให้จิตเคลื่อนไหว ไม่จมอยู่กับการเพ่งได้
สำหรับนักเพ่งที่มีลักษณะเฉพาะอีกประการหนึ่งก็คือ ชอบที่จะเพ่งเข้าไปลึกๆในจิตใจ ก็ต้องอาศัยการคอยระลึกรู้ถึงสิ่งอื่นที่อยู่ไกลจากจุดเพ่งออกไป เช่น การมองไกลไปบนท้องฟ้า ซึ่งปกตินักเพ่งจะเผลอยาก เผลอแป๊บเดียวก็จะเพ่งโดยนิสัยเคยชิน ดังนั้น หากชอบเพ่งเข้าข้างใน ก็ต้องใช้ตามองท้องฟ้า เพราะจิตจะทำหน้าที่เป็นจักขุวิญญาณ ไปรู้ท้องฟ้า รู้ก้อนเมฆ จิตจะเกิดและดับที่ท้องฟ้า ไกลตัวออกไป การทำเช่นนี้ จะทำให้เกิดชนิดที่รู้ทางตา (จักขุวิญญาณ)ที่ท้องฟ้าหรือก้อนเมฆ ปนๆหรือสลับๆกับเกิดจิตที่เพ่งเข้าข้างใน ก็จะได้เห็นจิตที่เคลื่อนไหว และได้เห็นอีกว่า บังคับจิต หรือห้ามจิต หรือกำหนดจิต ให้อยู่ที่ใดที่หนึ่งตลอดเวลาไม่ได้
วิธีการนี้ จะทำให้จิตใจผ่อนคลายออกมาได้ แต่ก็ต้องอดทนอยู่กับความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการเพ่งด้วย ซึ่งหากเลือกได้คงไม่มีใครอยากจะเลือก แต่เมื่อจริตมาเป็นนักเพ่งชนิดทุกขาปฏิปทา เราคงปฎิเสธไม่ได้ และต้องลงมือเดินข้ามไปให้ได้ ไม่ลงมือในวันนี้ก็ต้องลงมือในวันหน้าอยู่ดี...
ขอให้เจริญในธรรมครับ