16
คุยกันในสวน / Re: [กระทู้เก่ามาเล่าใหม่] ว่าด้วยสัมปชัญญะ โดย คุณสันตินันท์
« on: Tue 21 Dec 10, 21:55:51 »
(ต่อ)
ผมเคยพบเห็นปัญหาในลานธรรมหลายคราวมาแล้ว
คือเมื่อมีผู้กล่าวว่านิยมพระสูตร ก็คล้ายกับว่าต่อต้านพระอภิธรรม
เรื่องนี้ไม่อยากให้คิดอย่างนั้นกันนะครับ
เพราะพระอภิธรรมก็เป็นหนึ่งในพระไตรปิฎกเหมือนกัน
ผมเองที่จริงก็ชอบศึกษาเหมือนกัน
ชอบฟังวิทยุรายการของอาจารย์แนบ อาจารย์สุจินต์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
เพิ่งมาขยาดอภิธรรมเอาตอนหลังที่ลูกศิษย์อาจารย์แนบ
หันไปเป็นพวกเข้าทรงเสียหลายท่านนี่เอง
ผมเพิ่งไปได้หนังสือดีมาเล่มหนึ่ง ชื่อ ความเข้าใจเรื่องอภิธรรม
เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งพระองค์ท่านเป็นนักปริยัติที่ปราดเปรื่องสุดขีดองค์หนึ่ง
ทั้งยังเป็นนักปฏิบัติระดับครูบาอาจารย์ในสายพระป่าองค์หนึ่ง
ลองหามาศึกษาดูนะครับ แล้วจะเข้าใจพระอภิธรรมในขั้นพื้นฐานได้ไม่ยาก
จุดเด่นก็คือ ท่านจำแนกข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นออกจากกัน
อันเป็นวิธีการศึกษาที่ปัญญาชนยุคนี้คุ้นเคยกัน
เช่นท่านระบุชัดเลยว่า พระอภิธรรมปิฎกไม่ปรากฏที่มาในตำราชั้นบาลี
บางคัมภีร์มีหลักฐานว่าแต่งขึ้นภายหลัง
ส่วนคัมภีร์ที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครแต่ง
ก็มีอรรถกถา(ซึ่งแต่งขึ้นภายหลัง)ระบุว่า
เป็นธรรมเทศนาบนดาวดึงส์ให้พระพุทธมารดาฟัง
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อธิบายขึ้นภายหลัง และมีข้อโต้แย้งได้อีกมาก
ท่านระบุว่าในอรรถกถายกย่องพระอภิธรรมมาก
ถึงกับประณามผู้คัดค้านว่าเป็นคนนอกศาสนาทีเดียว
(อันนี้หมายถึงพระอภิธรรมปิฎกนะครับ)
จากจุดนี้ ท่านได้วิเคราะห์ว่าความรุนแรงของฝ่ายนิยมอภิธรรม
ได้สะท้อนว่าคงมีผู้คัดค้านพระอภิธรรมมาตั้งแต่ยุคแรกแต่งแล้ว
ถัดจากนั้นท่านจึงกล่าวถึงคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ
ซึ่งแต่งขึ้นราวเกือบพันปีหลังพุทธกาล
บางเรื่องท่านก็เห็นด้วย บางเรื่องท่านก็วิจารณ์
เช่นเรื่องอายุรูปว่าเท่ากับ 17 ขณะจิตนั้น
อันที่จริงคงเป็นช่วงเวลาที่จิตไปรู้รูปคราวหนึ่งๆ
ไม่ใช่อายุจริงๆ ของรูป เป็นต้น
ท่านสรุปไว้ชัดเจนครับว่า
"สารัตถะในพระอภิธรรมนั้นมีมาก
ถึงท่านจะไม่แสดงประวัติให้พิสดารไว้อย่างไร
สารัตถะในอภิธรรมนั้นเองก็เป็นสิ่งที่ควรจะศึกษา
เมื่อศึกษาแล้ว ก็จะทำให้ได้ความรู้ในพระพุทธศาสนา
พิสดาร(กว้างขวาง)ขึ้นอีกเป็นอย่างมาก"
ผมเองก็เห็นด้วยว่าพระอภิธรรมเป็นสิ่งที่น่าศึกษา
แต่ควรศึกษาอย่างนักการศึกษาที่ดีนะครับ
ถ้าเดินตามรอยบาทของสมเด็จพระญาณสังวรฯ แล้วละก็
โอกาสเมาตำราก็จะไม่เกิดขึ้นครับ
******************************************
ให้รู้ตามความเป็นจริงเท่าที่รู้ได้
ไม่ใช่ เจตนา และอยาก จะรู้ให้เกินกว่าที่สติปัญญาจะรู้ได้จริง
ให้ฝึกฝนพัฒนาสติสัมปชัญญะให้มาก
แล้วก็จะรู้ได้ว่องไว รู้ได้ละเอียด
และรู้ความจริงของจริงได้มากขึ้น โดยไม่ต้องฝืน
ขณะที่รู้อารมณ์ จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือธัมมารมณ์จริงๆ
ตรงนั้นจิตเพียงแต่รู้เท่านั้น ยังไม่เสพย์อารมณ์
จิตตรงนี้ยังเป็นอุเบกขาหรือเป็นกลางอยู่ตามธรรมชาติ
อย่าพยายามไปกำหนดจิตให้หยุดนิ่งลงตรงนี้เพื่อจะรู้แต่ปรมัตถ์นะครับ
เพราะกำหนดไม่ได้จริงหรอก
ตอนที่คิดจะกำหนดนั้น
จิตมันขึ้นวิถีใหม่ หรือขึ้นกระบวนการของจิตรอบใหม่แล้ว
ตรงนี้แหละที่ผู้เรียนตำราชั้นหลังปฏิบัติผิดกันมาก
กลายเป็นหลงคิดตามสัญญาเท่านั้น
จึงควรปล่อยให้จิตเขาทำงานไปตามธรรมชาติธรรมดา
คือเมื่อถัดจากรู้รูป เสียง .. ธัมมารมณ์ นั้น
จิตจะอาศัยความจำรูปได้ ความจำเสียง .. ธัมมารมณ์ได้
เอามาเป็นปัจจัยสนับสนุนความคิดนึกปรุงแต่ง
แล้วเกิดกิเลสตัณหาอุปาทานขึ้นตรงช่วงหลังนี้
ตามตำรารุ่นหลังเขาเรียกว่า "ชวนะ"
จิตก็จะเกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง
แต่ตัวความคิดนึกปรุงแต่ง เช่นกิเลสตัณหา
และกลไกที่จิตแล่นไปก่อทุกข์ (ไม่ใช่เรื่องหรือเนื้อหาที่คิดนะครับ)
มันก็เป็นความจริงหรือปรมัตถ์ในฝ่ายนามธรรมของมันเหมือนกัน
ให้มีสติสัมปชัญญะ รู้มันไปด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางไปเลย
อันนี้ก็เป็นวิปัสสนาเหมือนกัน ในหมวดของ เวทนา จิต และธรรม
(มีต่อ)
ผมเคยพบเห็นปัญหาในลานธรรมหลายคราวมาแล้ว
คือเมื่อมีผู้กล่าวว่านิยมพระสูตร ก็คล้ายกับว่าต่อต้านพระอภิธรรม
เรื่องนี้ไม่อยากให้คิดอย่างนั้นกันนะครับ
เพราะพระอภิธรรมก็เป็นหนึ่งในพระไตรปิฎกเหมือนกัน
ผมเองที่จริงก็ชอบศึกษาเหมือนกัน
ชอบฟังวิทยุรายการของอาจารย์แนบ อาจารย์สุจินต์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
เพิ่งมาขยาดอภิธรรมเอาตอนหลังที่ลูกศิษย์อาจารย์แนบ
หันไปเป็นพวกเข้าทรงเสียหลายท่านนี่เอง
ผมเพิ่งไปได้หนังสือดีมาเล่มหนึ่ง ชื่อ ความเข้าใจเรื่องอภิธรรม
เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งพระองค์ท่านเป็นนักปริยัติที่ปราดเปรื่องสุดขีดองค์หนึ่ง
ทั้งยังเป็นนักปฏิบัติระดับครูบาอาจารย์ในสายพระป่าองค์หนึ่ง
ลองหามาศึกษาดูนะครับ แล้วจะเข้าใจพระอภิธรรมในขั้นพื้นฐานได้ไม่ยาก
จุดเด่นก็คือ ท่านจำแนกข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นออกจากกัน
อันเป็นวิธีการศึกษาที่ปัญญาชนยุคนี้คุ้นเคยกัน
เช่นท่านระบุชัดเลยว่า พระอภิธรรมปิฎกไม่ปรากฏที่มาในตำราชั้นบาลี
บางคัมภีร์มีหลักฐานว่าแต่งขึ้นภายหลัง
ส่วนคัมภีร์ที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครแต่ง
ก็มีอรรถกถา(ซึ่งแต่งขึ้นภายหลัง)ระบุว่า
เป็นธรรมเทศนาบนดาวดึงส์ให้พระพุทธมารดาฟัง
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อธิบายขึ้นภายหลัง และมีข้อโต้แย้งได้อีกมาก
ท่านระบุว่าในอรรถกถายกย่องพระอภิธรรมมาก
ถึงกับประณามผู้คัดค้านว่าเป็นคนนอกศาสนาทีเดียว
(อันนี้หมายถึงพระอภิธรรมปิฎกนะครับ)
จากจุดนี้ ท่านได้วิเคราะห์ว่าความรุนแรงของฝ่ายนิยมอภิธรรม
ได้สะท้อนว่าคงมีผู้คัดค้านพระอภิธรรมมาตั้งแต่ยุคแรกแต่งแล้ว
ถัดจากนั้นท่านจึงกล่าวถึงคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ
ซึ่งแต่งขึ้นราวเกือบพันปีหลังพุทธกาล
บางเรื่องท่านก็เห็นด้วย บางเรื่องท่านก็วิจารณ์
เช่นเรื่องอายุรูปว่าเท่ากับ 17 ขณะจิตนั้น
อันที่จริงคงเป็นช่วงเวลาที่จิตไปรู้รูปคราวหนึ่งๆ
ไม่ใช่อายุจริงๆ ของรูป เป็นต้น
ท่านสรุปไว้ชัดเจนครับว่า
"สารัตถะในพระอภิธรรมนั้นมีมาก
ถึงท่านจะไม่แสดงประวัติให้พิสดารไว้อย่างไร
สารัตถะในอภิธรรมนั้นเองก็เป็นสิ่งที่ควรจะศึกษา
เมื่อศึกษาแล้ว ก็จะทำให้ได้ความรู้ในพระพุทธศาสนา
พิสดาร(กว้างขวาง)ขึ้นอีกเป็นอย่างมาก"
ผมเองก็เห็นด้วยว่าพระอภิธรรมเป็นสิ่งที่น่าศึกษา
แต่ควรศึกษาอย่างนักการศึกษาที่ดีนะครับ
ถ้าเดินตามรอยบาทของสมเด็จพระญาณสังวรฯ แล้วละก็
โอกาสเมาตำราก็จะไม่เกิดขึ้นครับ
******************************************
ให้รู้ตามความเป็นจริงเท่าที่รู้ได้
ไม่ใช่ เจตนา และอยาก จะรู้ให้เกินกว่าที่สติปัญญาจะรู้ได้จริง
ให้ฝึกฝนพัฒนาสติสัมปชัญญะให้มาก
แล้วก็จะรู้ได้ว่องไว รู้ได้ละเอียด
และรู้ความจริงของจริงได้มากขึ้น โดยไม่ต้องฝืน
ขณะที่รู้อารมณ์ จะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือธัมมารมณ์จริงๆ
ตรงนั้นจิตเพียงแต่รู้เท่านั้น ยังไม่เสพย์อารมณ์
จิตตรงนี้ยังเป็นอุเบกขาหรือเป็นกลางอยู่ตามธรรมชาติ
อย่าพยายามไปกำหนดจิตให้หยุดนิ่งลงตรงนี้เพื่อจะรู้แต่ปรมัตถ์นะครับ
เพราะกำหนดไม่ได้จริงหรอก
ตอนที่คิดจะกำหนดนั้น
จิตมันขึ้นวิถีใหม่ หรือขึ้นกระบวนการของจิตรอบใหม่แล้ว
ตรงนี้แหละที่ผู้เรียนตำราชั้นหลังปฏิบัติผิดกันมาก
กลายเป็นหลงคิดตามสัญญาเท่านั้น
จึงควรปล่อยให้จิตเขาทำงานไปตามธรรมชาติธรรมดา
คือเมื่อถัดจากรู้รูป เสียง .. ธัมมารมณ์ นั้น
จิตจะอาศัยความจำรูปได้ ความจำเสียง .. ธัมมารมณ์ได้
เอามาเป็นปัจจัยสนับสนุนความคิดนึกปรุงแต่ง
แล้วเกิดกิเลสตัณหาอุปาทานขึ้นตรงช่วงหลังนี้
ตามตำรารุ่นหลังเขาเรียกว่า "ชวนะ"
จิตก็จะเกิดกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นกลางๆ บ้าง
แต่ตัวความคิดนึกปรุงแต่ง เช่นกิเลสตัณหา
และกลไกที่จิตแล่นไปก่อทุกข์ (ไม่ใช่เรื่องหรือเนื้อหาที่คิดนะครับ)
มันก็เป็นความจริงหรือปรมัตถ์ในฝ่ายนามธรรมของมันเหมือนกัน
ให้มีสติสัมปชัญญะ รู้มันไปด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางไปเลย
อันนี้ก็เป็นวิปัสสนาเหมือนกัน ในหมวดของ เวทนา จิต และธรรม
(มีต่อ)