Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Messages - nitivit

Pages: 1 [2] 3 4 5
17
สาธุครับ
งดงามมากครับ งดงามตลอดทั้งสาย
ขอบคุณครับ ที่นำสิ่งดี ๆ มาแบ่งปันกันอ่าน _/|\_

19
สาธุครับ
น่าเสียดายที่การอ่านพระไตรปิฏกในปัจจุบันมีปัญหาอยู่บ้างในด้านภาษาที่ไม่ค่อยคุ้นเคย
แต่พออ่านไปสักพัก ก็พอจะชินได้บ้างครับ  :)
สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะได้อ่านพระไตรปิฎกเพราะปัญหาด้านภาษา
ลองหาพระไตรปิฎกฉบับที่แยกและรวบรวมออกมาเป็นเล่มเล็ก ๆ ของ ธรรมรักษาครับ
รวบรวมไว้เป็นตอน ๆ ที่คล้าย ๆ กัน บ้างก็ย่อความหรือเรียบเรียงเพื่อให้อ่านง่าย
บางตอนก็มีการอธิบาย และขยายความให้คนร่วมสมัยได้เข้าใจด้วยครับ
เหมาะสำหรับคนที่เริ่มอ่านใหม่ ๆ ครับ เช่นที่ผมกำลังอ่านอยู่เป็น พระไตรปิฎกฉบับสาระ
ส่วนใหญ่ก็รวมรวมมาจากในพระสูตรครับ หลาย ๆ ตอนเป็นที่มาของศีลของพระภิกษุ
เพื่อน ๆ ท่านใดสนใจก็ลองไปหามาอ่านกันดูนะครับ
:D

20
สาธุครับ _/|\_
ผมก็นำเอาคำสอนของหลวงพ่อที่บอกว่า
"ใจถึงๆ" "ยอมที่จะภาวนาแบบโง่ๆ" "ดูลงไปเลย"
อันนี้แหละครับทำให้ผ่านช่วงแรกมาได้
อาจเพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์ด้วย
ผมก็ไม่รู้จะไปถามใคร ต้องกัดฟันดูไปทั้ง ๆ ที่ไม่แน่ใจอะไรสักอย่าง
แต่พอดูไปเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ เข้าใจไปทีละอย่างเองครับ
เช่นตอนแรก ๆ กระทั่ง "ตื่น" มันเป็นยังไง
ผมก็สงสัย แต่ไม่รู้จะถามใคร
พอรู้สึกตัว ก็สงสัยว่า นี่เรียก "ตื่น" หรือเปล่า
แล้วที่ตื่นเต็มที่ หรือไม่เต็มที่ ประคอง หรือเพ่งหรือเปล่า เป็นกลางหรือยัง
มีเพียบเลยครับที่ถ้าคิดเอายังไงก็ไม่ได้คำตอบ
เพื่อน ๆ ที่อยู่ไกลครูบาอาจารย์เหมือนผมก็เช่นกันนะครับ
ใจถึง ๆ ภาวนาไป สงสัยก็ให้รู้ไปเลย ใจมันกำลังคิดหาเหตุผลอยู่ ก็รู้เข้าไปเลย
แล้วจิตมันจะค่อย ๆ เข้าใจไปเองทีละอย่าง 2 อย่าง
ช้าบ้างเร็วบ้าง ไม่ต้องไปสนใจครับ ดูไปเรื่อย ๆ

21
ขอบคุณครับ
ชอบที่สุดก็ตรง "อย่างสงสัยมากนักก็แล้วกัน" นี่แหละครับ ;D

22
ขออนุโมทนาด้วยครับ

23
โอ้ว...ผมเกือบลืมไปแล้วครับ
ผมโดนทักเรื่องติดอยาก คืออยากเห็นขันธ์กระจายตัว
อยากได้ปัญญา อยากรู้ มากเกินไป
หลวงพ่อก็เตือนว่าให้รู้ทันความอยาก
ที่แท้ผมมาติดอยู่ตรงนี้เอง :'(
ของคุณลุงถนอมมากเลยครับ _/|\_

24
ขอบคุณครับ  _/|\_
นักปฏิบัติจริง ๆ ไม่ค่อยเถียงกันหรอกครับ
แต่พวกคิดมาก อ่านมาก พูดมาก แต่ไม่ค่อยดูของตัวเอง
พวกนี้ต่างหากที่มักจะก่อปัญหาตามที่ต่าง ๆ :-\

ผมเองพึ่งจะเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาในวิถีพุทธอย่างแท้จริง
ช่วงที่มีเรื่องของหลวงพ่อตามหน้าหนังสือพิมพ์ครับ
เวลาคิดถึงก็รู้สึกใจมันจะทะยานออกไป อยากโวยวาย อยากแก้ตัว อยาก.....สารพัด
แม้แต่คิดโมโหว่าทำไมไม่ฟ้องกลับ เอาให้เละไปเลย
ตอนหลังค่อยเข้าใจว่า ตัวเองตามกิเลสที่เกิดขึ้นไม่ทันเลยสักกะนิด
ดูแล้วก็ค่อยเข้าใจอีกว่าทำไม่หลวงพ่อให้พวกลูกศิษย์เงียบ ๆ ไว้
พอสติเริ่มทัน ปัญญาก็เริ่มมา
เลยเข้าใจว่าทุกอย่างมีกรรมเป็นของตนเอง
เราดูของเราดีที่สุด เพราะกิเลสของเราก็ท้วมจนเอาตัวไม่รอดแล้ว
พอเป็นอย่างนี้ก็ไม่อยากมีปัญหากับใครให้เป็นเวรเป็นกรรม แล้วจิตต้องมาเศร้าหมองอีก
มีปัญหาก็แก้ไขไปตามสมควร แต่มากกว่านั้นไม่ต้องไปทำให้เป็นเวรเป็นกรรม

เมื่อก่อนตอนที่เริ่มหัดดูจิตแรก ๆ
จะรู้สึกว่าสิ่งที่เราพบนี้มันวิเศษมาก
อยากให้คนรอบข้างรู้อย่างเรา มีสติอย่างที่เราเป็น
ก็เริ่มจะยัดเยียดให้คนอื่นในครอบครัว แม้แต่น้อง ๆ ในที่ทำงาน
ใครไม่สนใจผมก็มักไม่ค่อยพอใจ
พอใครมีคำถามเรื่องวิธีการดูจิต ผมก็เริ่มมีอารมณ์
เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เขาเข้าไม่ถึงเอง
พาลจะมาสงสัยครูบาอาจารย์ผม(ตู่เอาเอง)
ตอนหลังเลยรู้ว่ากิเลสล้วน ๆ มานะทั้งนั้น โทสะกรุ่นอยู่ตลอด อ้าปากโมหะก็ครอบแล้ว
เรียกว่าไปกระทบกับคนอื่นแล้วเลี่ยงกิเลสไม่ได้เลย
เป็นงี้แล้วก็ไม่ค่อยอยากไปพูดกับใครให้มากเกินไปแล้วครับ
ยิ่งพูดกับพวกไม่ปฏิบัติ หรือมากันคนละสายนี่ไม่เอาเลยครับ
พูดคุยบรรเทิงธรรม หรือแนะนำกันบ้างก็ได้ครับ
แต่พออ้าปากเถียง ก็ลาละครับ ทางใครทางมัน
กิเลสใครก็ไปหาทางละเอาเอง ตามแต่กรรม และบารมีที่ทำมา
ส่วนตัวผมเองขอหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อนละครับ :P
 _/|\_

25
ขอบคุณครับ คุณลุงถนอม ที่มาขยายความเพิ่มเติมให้
พอดีผมได้การบ้านเป็นให้ดูสภาวะที่ออกมานอก ๆ เวลาที่รู้ตัว
หรือรู้ยังไม่ถึงฐาน หลวงพ่อแนะนำว่าให้รู้ตอนที่มันกระจายออกมานอก ๆ
ทีนี้ผมก็เลยมาสังเกตว่าเวลาจิตมันไม่ถึงฐานมันเป็นอย่างไร
แล้วทีนี้มันก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาจากการเห็นสภาวะที่จิตมันกระจายๆ(ไม่ถึงฐาน)
มันก็จะถึงฐาน ที่รู้การกระจายๆ(ไม่ถึงฐาน)ของจิต
เสร็จแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าต้องสังเกตอะไรต่อ
พออ่านแล้วก็เลยนึกขึ้นได้ว่าต้องดูต่อว่า จิตที่ไม่ถึงฐานก็ไม่เป็นไตรลักษณ์
จิตที่ถึงฐานก็อยู่ได้ไม่นาน เป็นไตรลักษณ์เหมือนกัน
เลยคิดได้ว่าต้องเอาไปดูต่อตามนี้
ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถึงหรือเปล่าครับ

26
 _/|\_ ขอบคุณครับที่นำมาให้อ่าน
คนเรามักมีความคิดในทางสุดโต่งเป็นเรื่องปกติ
เพราะเราถนัดในการใช้วิธีนี้ทำความเข้าในโลก
แม่แต่พวกเต๋ายังรู้เลยครับว่าทุกอย่างมีคู่เทียบ
แต่พวกเขายังสาวไปไม่ถึงต้นตอเท่านั้นเอง
มีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่รู้ถึงขั้น
เหนือ รู้ เหนือ หลง เหนือคู่เทียบทั้งปวง

อยากเพิ่มเติมเรื่องนี้นิดหนึ่งให้เพื่อน ๆ ได้นำมาเตือนใจครับ
คือ "รู้" ยังไงก็เป็นแค่เรือลำหนึ่งเท่านั้น
เราไม่ได้ภาวนาเอาเรือครับ แต่แค่ใช้ข้ามฝั่ง
บางคนติด"รู้"ครับ
อันนี้อ่านแล้วก็นึกขึ้นมาได้เลยนำมาขึ้นมาคุยกัน
คงไม่คิดว่าสอนจระเข้ว่ายน้ำนะครับ  ;D

27

สำหรับจิตตานุปัสสนา ผมเองก็ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมอีกด้วยว่า แม้ว่าจิตจะวิจิตรพิศดารเพียงใดก็ตาม แต่จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน กลับไม่ยาวสักเท่าใดนัก ต่างจากกายานุปัสสนาสติปัฏฐานไม่น้อยเลยนะครับ เป็นอีกเรื่องที่น่าแปลกใจเหมือนกัน

ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะจิตมันมีสารพัดพฤติกรรม และเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่่อย ๆ
อีกทั้งเป็นนามธรรมที่แต่ละคนจะรู้สึกไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ทำให้การบัญญัติอาจมีคลาดเคลื่่อนได้
พระพุทธเจ้าท่านจึงพยายามสื่อสารเป็นบัญญัติให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
และสรุปว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น
("พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง
พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง ย่อมอยู่")
ซึ่งไม่เหมือนกับอาการทางกายที่ง่ายกับการสื่อสารด้วยบัญญัติ เพราะนั่งใคร ๆ ก็เข้าใจตรงกันว่านั่งเป็นอย่างไร

28
ขอบคุณครับ _/|\_
อัฐิธาตุ เป็นเหมือนรอยเท้าของท่านผู้เดินตามหนทางของพระพุทธเจ้า
ท่านได้ทิ้งรอยเท้านี้เพื่อให้เราได้เดินตาม
ทุกครั้งที่เราได้กราบ ได้ระลึกถึง จะได้มีศรัทธาในคุณของพระธรรม
ว่ายังมีอยู่จริง ปฏิบัติจริง ก็ได้ผลจริง
ไม่ใช่ ไปกราบพระธาตุแล้วขอให้ได้บุญ ขอให้ได้ไปนิพาน

29
สาธุ _/|\_
ขอบคุณครับที่นำมาแบ่งปันกัน

30
สาธุครับ _/|\_
คนไกลอย่างผมโยนิโสมนสิการนี่จำเป็นที่สุดเลยครับ

Pages: 1 [2] 3 4 5