เคล็ดวิชาดูจิต

ให้รู้สิ่งที่ปรากฎด้วยจิตที่เป็นกลาง

Link : dhammada.net | สันติธรรม | กระดานข่าววิมุตติ | ลานธรรมเสวนา |
วันวานที่สนทนาประสาเพื่อน | wimutti.net |

 

 

 
 

ท่าน ก. เขาสวนหลวง

ลักษณะเปรต และความพ้นจากเปรต

ถ้ามีการหยุดดูหยุดรู้จิตใจของตนอยู่เนืองนิจแล้ว มันจะเป็นการตัดรอนทอนกำลังทางผัสสะได้มากมายเหลือประมาณ เพราะมันกระทบทีไรก็ตามเห็นความดับของมัน ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่างนี้ทุกลมหายใจเข้าออก ไม่มีอะไรให้น่าเอาน่าเป็นแต่ประการใดเลย
เรื่องต่างๆ ที่จำมาปรุงมาคิดนั้น มันก็เป็นความฝันชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ดับไป เป็นไปในลักษณะนี้เฉพาะหน้า ปัจจุบัน ถ้าเป็นการดูจริง รู้แจ้ง ในลักษณะของอารมณ์ทั้งหลายที่ปรากฏเกิดดับเฉพาะหน้าทุกขณะแล้ว มันก็เป็นผัสสะที่กระทบแล้วก็ดับ กระทบแล้วก็ดับ ไม่มีความหมายว่าเป็นดีเป็นชั่ว หรือเป็นสุขเป็นทุกข์
ข้อปฏิบัติที่น่าสนใจ คือ จะต้องอ่านตัวจริงที่ปรากฏให้แจ่มแจ้งอยู่ทุกขณะ ไม่ต้องไปมีความจำหมายเอาเรื่องอะไรมา มันมีแต่ความปล่อยวางว่างเปล่าไป ดูความจริงของอารมณ์ และผัสสะทั้งหลาย มันแสดงความเปลี่ยนแปลงว่างเปล่า จากความเป็นตัวตนอยู่เฉพาะหน้าทุกๆ ขณะ
ถ้าอ่านออกในเรื่องนี้แล้ว ข้อปฏิบัติจะไม่มีการไถลไปหรือเฉไฉไปเอาเรื่องจำเรื่องคิดเข้ามา เป็นการทำให้นุงถุงยุ่งยาก แล้วก็เป็นการชักใยพันตัวเองอย่างซ้ำๆ ซากๆ
ลักษณะของจิตที่มีการรู้ตัวนั้น มันมีความแจ่มใส ไม่มือมัว ไม่เร่าร้อน ไม่เศร้าหมอง จึงเป็นจิตที่ปราศจากกิเลสตัณหา แล้วก็เป็นจิตที่สะอาด สว่าง สงบ ขึ้นมา
4 มิ.ย. 2515

ค้นหาพระในใจ

การอ่านตัวเองอยู่เป็นประจำทุกอิริยาบถ หรือทุกขณะนี้ มันต้องเป็นการฝึกชนิดที่อย่าให้มีการคิดเรื่องอะไรออกไปข้างนอก แล้วความรู้อย่างนี้มันจะทรงตัวได้ติดต่อ มันจะเผลอไปเล็กๆ น้อยๆ มันก็กลับมารู้ใหม่ ตั้งหลักปรกติไปใหม่ได้ ความคุ้นเคยต่อลักษณะที่ตั้งหลักเป็นปรกตินี้ มันเหมือนกับเราจะรักษาความสะอาด พอมีอะไรโผล่ขึ้นมา เราก็กวาดทิ้งได้ทันที เพราะว่าเราไม่ได้เอามายึดมั่นถือมั่น มันก็กวาดทิ้งได้ง่าย
ถ้ามีสติคุ้มครองจิตอยู่ทุกขณะที่ผัสสะกระทบ มันก็สะท้อนกลับคืน ดับไปอย่างนั้น ดับไปเป็นธรรมชาติของมัน
การกระทบผัสสะนี่มันเป็นของธรรมชาติ เรามีตาจะไม่ให้เห็นรูป มีหูจะไม่ให้ฟังเสียง อย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันต้องรับผัสสะ แต่ว่าเราดีชั่วตัวตนอะไรนี่ อย่าไปยึดถือ แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก จิตใจมันก็เป็นปรกติอยู่ได้ สงบอยู่ได้ ว่างอยู่ได้ กิเลสจะมาสอพลอล่อลวงอย่างไหน ไม่เอา พอมันโผล่หน้ามา เราก็รู้ว่ามันเรื่องของมายา ของความมีตัวมีตนอะไร ที่จะมาก่อเรื่องปรุงคิดไปในแง่ต่างๆ
24 ธ.ค. 2516

ดูทะลุว่างเข้าไปอีก

ในขณะที่ตาเห็นรูปให้ปรกติ คือวางเฉยเป็นกลาง ไม่ไปยินดียินร้าย หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายได้สัมผัสผิวกาย และใจได้รับธรรมารมณ์ ทั้ง 6 ทวารนี้ ก็ต้องควบคุมจิตให้เป็นปรกติเป็นกลาง วางเฉย อย่าไปยินดียินร้าย ชอบไม่ชอบ โสมนัสโทมนัส ต้องมีสติอยู่ก่อน สำรองไว้ก่อน เรียกว่ามีสติสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ จึงจะไม่เผลอเพลินไป
ถ้าไม่ทำในใจให้มีความรู้อยู่ กำหนดอยู่นี่ กระทบทีไรมันก็ออก ถ้าเรื่องราวอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวมันก็พอจะวางเฉยได้ แต่ถ้ามีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวแล้ว มันจะแล่นไปรับเอาทันที อย่างนี้ต้องรู้
ถ้ามีสติมีความรู้ข้างใน ในขณะที่กระทบผัสสะ รู้แค่เกิดดับ ถ้าอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าเป็นการมีสติที่ละเอียด ไม่ใช่ปรกติเฉยๆ มันรู้ มันรู้ว่าเกิดดับ แล้วมันก็รู้เลยไปอีกว่า ตัวเกิดดับล้วนๆ นี่เอง มันเป็นทุกข์ตามธรรมชาติ แล้วมันก็รู้เลยไปอีกว่า การที่มันเกิดดับเป็นทุกข์อยู่ตามธรรมชาตินี่เอง มันจึงไม่มีเป็นตัวเป็นตนอะไร เพราะว่าถ้ามันมีเป็นตัวเป็นตนแล้ว มันจะต้องอยู่ในความคงที่ แต่นี่มันไม่คงที่ มันเปลี่ยนแปลง มันเกิดดับ แล้วมันก็เป็นทุกข์อยู่ในความเปลี่ยนแปลงนั้นเสร็จ
30 ต.ค. 2519

รู้เผินๆ กับรู้ลึกซึ้ง

รู้อะไรขึ้นมาจริงๆ ในขณะไหนก็แล้วแต่ ให้นิ่งเอาไว้ก่อน ถ้าไปเที่ยวอวดไปอวดมาแล้วหมด ฟุ้งซ่าไปใหญ่เชียว ไม่ว่าใครจะรู้ความจริงอย่างไร ก็ต้องนิ่งดู นิ่งรู้ประคับประคองจิตอยู่ อย่าเที่ยวฟุ้งซ่านไป อย่าเที่ยวพูดเพ้อเจ้อไป เพราะบางทีมันก็อยากจะเที่ยวพูด เพราะตัณหานี่เอง มันมาคอยปรุงให้จิตอยากคิด อยากพูด มันคอยยื้อแย่ง บางทีสงบๆ อยู่ดีๆ แล้ว มันแส่ไปแล้ว จะต้องไปทำนั่น ต้องไปรู้โน้น มันคอยส่อเสียดอยู่ตลอดเวลานะ
ไม่ว่าใครทำข้อปฏิบัติที่มีการรู้เห็นด้วยปัญญา หรือมีญาณทัสนะ จะต้องอยู่นิ่งๆ ไว้ก่อนนะ อย่าเที่ยวทุรนทุรายไปเลย ความรู้มันจะเลือนลางไป ให้ยอมเสีย ว่าจะหยุดไปก่อน จะรู้ไปก่อน จะมีการกำหนดอะไรก็ให้รู้เอาไว้ แล้วก็อย่าเพ่อวิ่งไปเอาอะไรนะ ต้องยอมหมดนะ ยอมทิ้ง ยอมปล่อย ยอมวาง อะไรที่มันมาหลอกๆ ว่า จะต้องไปทำอย่างนั้นก่อน อย่าเพ่อไปเอาอะไรนะ หยุด ให้หยุดเสียก่อน ดูไปอีกก่อน มันจะเสื่อมไปท่าไหน มันจะดับไปอย่างไร หรืออะไรมันก่อนเกิดขึ้นมา มันจะทะนงตัวขึ้นมานี่ไม่ได้ ต้องหยุด
ไม่ว่าจะทำอะไร จะคิดอะไร จะพูดอะไร อย่าลืม อย่าลืมตัว อย่าลืมใจ ให้ทำด้วยการมีสติ ฝึกฝนในเรื่องการมีสติให้มากเป็นพิเศษ ขอให้มีความพากเพียรพยายาม เพียรเผากิเลสอย่างเดียวนี่แหละ พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เกิดดับ ให้ปรากฏชัดเจนให้ได้ทุกๆ ขณะเถิด
19 ม.ค. 2520

ให้เร่งรัดปรารถความเพียร

ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมองเข้าข้างใน แล้วจะไม่เอาอะไรเลย ของสวยงามข้างนอกจะไม่เอา เพราะพวกเหล่านี้มันไม่เที่ยง ไปยึดถือไม่ได้ ไปเห่อไม่ได้ ไม่ต้องการอะไรมาก ทำแต่สิ่งที่ควรทำ ที่ไม่จำเป็นไม่แตะต้อง ไม่เกี่ยวข้อง มุ่งแต่เรื่องในจิตในใจ ที่จะดับทุกข์ดับกิเลสเป็นจุดสำคัญที่สุดของชีวิต
การปฏิบัติธรรมนี่มันไม่ลำบากอะไรเลย ให้อยู่นิ่งๆ มีสติทุกอิริยาบถ ทำในสิ่งที่ควรทำนิดหน่อย ไม่ให้ใช้กำลังกายไปทุ่มเททางอื่น ฉะนั้นจึงต้องหยุดงานภายนอก จิตใจจึงจะมีกำลัง ถ้าเอากำลังกายไปทุ่มเทกับงานข้างนอกเสียหมดแล้ว จิตมันก็อ่อนเพลียไป เราต้องมุ่งทางจิตเป็นใหญ่ มีงานทางจิตเป็นใหญ่
กว่าจะรู้ตัวของตัวเองได้ มันไม่ใช่ของง่าย ที่ไม่มีใครมาติมาด่า แต่ตัวเองนี่แหละต้องว่าต้องด่าตัวเอง ต้องตำหนิติเตียนตัวเองจึงจะได้ ถ้าไม่มีกัลยาณมิตรมาช่วยว่าตัวเองแล้ว ก็ต้องว่าตัวเอง ต้องด่าตัวเอง
ของจริงที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตานี้ก็มีให้มอง ก็ไม่เป็นการยากลำบากอะไร ไม่เหมือนการทำงานทางกาย เป็นแต่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ได้ นั่งหลับตาดูก็ได้ ลืมตาดูก็ได้ หรือยืนก็ได้ เดินก็ได้ โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไร คอยพิจารณาดูว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร มันดับอย่างไร มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มันปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไร ดูได้ทุกอิริยาบถไปหมด
ถ้าหยุดได้แล้วมันจะรู้ได้ไม่ว่าใคร เมื่อหยุดแล้วเป็นต้องรู้ อย่าไปเที่ยวคิดนึกปรุงแต่ง หยุดเสีย นิ่งเสีย สงบเสีย แล้วจะรู้ ถ้าเที่ยวคิดฟุ้งซ่านไปมันจะหลง ถ้าหยุดมันรู้ ไม่มีอะไร จะคิดไปให้มันเหนื่อยทำไม ที่ให้มันหยุดเพราะมันไม่มีอะไร เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไปเท่านั้นเอง จะดูอะไรก็ดับ เหลือแต่จิตว่างจิตสงบอยู่เดี๋ยวนี้
2 พ.ย. 2514

เพียรละพยศร้ายในสันดาน

เมื่อผิดแล้วยอมรับว่าผิด นี่มันเป็นธรรมดา แต่ไม่ผิดแล้วยอมรับว่าผิด นี่มันฝืนทิฏฐิมานะได้อย่างงดงามทีเดียว
ฉะนั้น จึงต้องพูดแล้วพูดอีก เพื่อจะให้ข่มขี่ทิฏฐิมานะลงไป มันจะเอาดีไปถึงไหน นี่มันต้องกดหัวตัวเอง ไม่มีใครเขาด่า ก็ต้องด่าตัวกูนี่แหละ มันอวดดีเรื่อย มันอวดเก่งเรื่อย อวดเป็นคนดีคนถูกไปทีเดียว ฉะนั้นมันจะอวดดีต่อไปไม่ได้
ต้องข่มขี่ทรมานทิฏฐิมานะให้ราบเรียบไปให้ได้ อย่าให้มันโงหัวขึ้นมา กดหัวมันลงไป มันจะเก่งมาท่าไหน มันจะเอาอะไร มันจะเอาดีที่ไหน มันจะเอาดีไปให้ใคร ถามตัวเองนี่แหละ ไม่ต้องไปถามใคร ถามให้มันจนปัญญา ถามมันบ่อยๆ ว่า "มึงจะเอาดีไปให้ใคร ไม่กี่วันมึงก็จะเน่าเข้าโลงแล้ว มึงจะอวดเก่งไปให้ใคร" ถามมันอย่างนี้ จนมันเกิดปัญญา หุบปากไม่กล้าพูดเลย มันรู้สึกอาย มันอายตัวเอง เข้ามาเล่นงานตัวกูที่ชูหัวอยู่นี่ สับหัวมันลงไป ไม่ต้องไปเกรงใจมัน ไม่ต้องไปรักหัวมันหรอก ถ้ารักหัวมันแล้ว มันจะชูหัวสูงใหญ่เลย แล้วพิจารณาดู มันมีตัวตนที่ไหน "มึงนั่นแหละมันโง่ โง่เอง ไปยึดถือเข้ามาทำไม" ซักถามมันทีเดียวว่า "มีตัวกูที่ไหน" ถ้าถามมันบ่อยๆ มันก็จำนนไปเอง ในที่สุดมันจะบอกว่า "อ้อ ความจริงมันว่างจากตัวตนโว้ย" แต่ความโง่มันเสือกทะเล้นยึดถือ จึงทุกข์แล้วทุกอีกอยู่นี่ มันจะได้บอกขึ้นมาอย่างนี้ ไม่ต้องไปพูดดีอะไรหรอก
มันจะยุแหย่แส่ส่ายไปในอะไรไม่เอา ต้องหยุด บอกให้หยุด ต่อให้ดีวิเศษก็ไม่เอา ต้องหยุด ต้องบอกับตัวกูอยู่อย่างนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรทั้งหมดแล้วก็พิจารณาไปว่ามันมีอะไรจริงจังที่ไหน มันหลอกขึ้นมาแล้วก็เชื่อไปทำตามมัน มันก็เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก ทุกข์แล้วทุกข์อีก ก็ว่าสบายดี มันจะโง่ไปถึงไหน จะหลงไปถึงไหน ถามตัวกูนี่แหละดู ไม่ต้องไปถามคนอื่น ถ้ายังดิ้นรนจะเอาอะไรอยู่ ก็ถามมันดูว่า "มึงจะเอาอะไร?" ถามไปถามมา แล้วมันก็หยุดไป แล้วมันว่างไปเลย เอาให้มันรู้ให้ได้ ว่ามันเกิดขึ้นมา หรือมันดับไปอย่างไร เพราะว่ามันจะต้องรู้ของตัวเองได้จริงๆ
เรื่องของกิเลส โลภ โกรธ หลง หรือตัณหาอะไร มันต้องค้นที่จิตใจ ที่ถูกกระทบผัสสะ ซึ่งอาศัยผัสสะเกิด แล้วมันยึดถือขึ้นมาอย่างไร เป็นตัวเป็นตน อวดดี อวดเก่ง ขึ้นมาแค่ไหน มันมีให้สอบอยู่ในตัวเอง ฉะนั้นข้อปฏิบัติจึงไม่ต้องไปเรียนที่ไหน เรียนเอาในนี้ เรียนเรื่องกิเลส เรื่องเกิดดับ เรื่องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนดับไป เป็นความว่างจากตัวตน มันมีให้ตรวจสอบ ให้รอบรู้อยู่ในตัว
10 พ.ย. 2514

รู้ลมรู้จิต พร้อมกับพิจารณาความเกิดดับ

ต้องกล้าทดลองเข้ากับทุกข์ให้มากๆ ทุกข์ๆ ไปให้จิตรู้อยู่ สงบอยู่ปล่อยวางให้ได้ ทุกข์ที่มันแย่มากๆ ก็ต้องทดลองไปอีก แล้วดูซิว่ามันจะคลายไหม ถ้ามันไม่คลายก็ดูไปอีก มันคลายก็ดูไปอีก เพราะมันแสดงความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เสื่อมมากขึ้น ทุกข์หนักขึ้นมากขึ้น ก็ดูไปอีก อย่าไปแก้ไข อดทนดูทุกข์ พิจารณาทุกข์ให้ได้ แล้วจะเกิดสติปัญญารู้เห็นความจริง
กฏของธรรมชาติมันต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ทีนี้เราไปแก้ไขเสียหมดเอง ก็เลยไม่รู้กฏของธรรมชาติที่มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่ใช่ตัวเรา ของเรา จะต้องดูมันให้ละเอียดจึงจะรู้จะเห็น
ถ้าเรากล้าทดลองกับทุกข์ให้ซ้ำๆ บ่อยๆ จิตมันมีกำลัง ถ้าเรากลัวทุกข์ ไปแก้เสียหมด จิตมันอ่อนแอ ขอให้สังเกตดูก็ส่วนที่เราทำงานเหน็ดเหนื่อย เรายังอดทนทำได้ ทีนี้จะนั่งดูทุกข์ ต้องอดทน ทนดู ทนรู้ พิจารณาไป
1 ม.ค. 2520

บุญอยู่ที่ใจสงบ

การดูจิตดูใจนี่มันมีประโยชน์มาก หมั่นดูไปเถอะ แล้วมันก็เห็นไปเอง จะเห็นชัดหรือไม่ชัดบ้าง ก็เป็นธรรมดา บางคราวมันก็ไม่ชัด บางคราวมันก็ชัด ต้องดูมันเรื่อย ดูของจริงภายในกายในใจมีประโยชน์มาก ดีกว่าดูข้างนอก ถ้ามันรู้ชัดแจ้งอะไรขึ้นมา มันก็ปลุกให้จิตตื่น ตื่นตัวขึ้นมาแล้วนิวรณ์มันก็ดับ
ยิ่งดูก็ยิ่งรู้ ยิ่งรู้ก็ยิ่งละได้ ยิ่งปล่อยยิ่งวางได้ มันมีประโยชน์อย่างนี้
2 ม.ค. 2520

 

Copyright http://se-ed.net/yogavacara 2005 All rights reserved.
yogavacara@hotmail.com