mp3 (for download): ปฏิจจสมุปบาท การดับเวทนาไม่ใช่สติปัฏฐาน
Audio clip: Adobe Flash Player (version 9 or above) is required to play this audio clip. Download the latest version here. You also need to have JavaScript enabled in your browser.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช แสดงธรรม
หลวงพ่อปราโมทย์ : ถ้าเป็นการเจริญสติปัฏฐานที่แท้จริงต้องได้ผลเร็ว มีคำว่าเร็วนะ ต้องได้ผลเร็วด้วย ต้องรู้กายต้องรู้ใจตามความเป็นจริงจึงจะได้ผลเร็ว, บางคนแทนที่จะคิดว่าต้องรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงก็ไม่คิดอย่างนั้น ไปคิดอย่างอื่นมีสอนกันนะสำนักใหญ่ๆยังมีเลย สอนให้ดับเวทนา เวลาเราจะหยิบจะจับอะไรให้เพ่งไว้ที่มือ กำหนดไปเรื่อยๆนะ ให้รู้สึกๆอยู่ที่มือ ไม่สนใจความรู้สึกตัว ไม่สนใจที่จิต เรียกว่า มีสัญญาวิราคะ เพ่งรูป เรียกสัญญาวิราคะ ในที่สุดจะดับเวทนาลงไป ดับเวทนาลงพร้อมกับจิต ภาวนาแล้วเหลือแต่ร่างกายตัวแข็งทื่อๆอยู่ไม่มีจิต มีอยู่ภูมิเดียวที่ไม่มีจิตคืออสัญญีสัตตาภูมิ(พรหมลูกฟัก) ภาวนาแล้วเป็นพรหมรูปฟักคิดว่าเป็นนิพพานเพราะว่าตรงนั้นไม่มีกิเลส มีกิเลสไม่ได้เพราะมันมีแต่วัตถุ มีแต่ร่างกายไม่มีกิเลส.
ถ้าศึกษาให้ดีเสียก่อนพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ดับเวทนา จริงอยู่ท่านพูดนะเพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปทานจึงดับ แต่ท่านไม่ได้สอนให้ดับเวทนา สับสนไปเองนะได้ยินคำว่าดับๆจึงคิดว่าจะไปดับมัน, ในความเป็นจริงเวทนาเป็นเจตสิกชนิดหนึ่งที่เกิดร่วมกับจิตทุกๆดวง เมื่อไรมีจิตเมื่อนั้นจะต้องมีเจตสิก เจตสิกที่ต้องเกิดทุกทีเลยคือเวทนา, การจะดับเวทนาได้มีอยู่ทางเดียวคือดับจิต ดับจิตได้มีอยู่ภูมิเดียวคือพรหมลูกฟัก เดินพลาดตีความคำสอนคลาดเคลื่อนไป คิดว่าเวทนาดับ ตัณหาดับ อุปทานดับ ภพดับ ชาติดับ ทุกข์ดับ คิดจะดับทุกข์ด้วยการไปดับเวทนา, ถามว่าเวทนาเป็นองค์ธรรมชนิดไหน เวทนาเป็นวิบากนะ วิบาเป็นผลของกรรม วิบากเป็นสิ่งที่ดับไม่ได้ ถ้าผลหมดวิบากจึงดับ เวทนาไม่ใช่กิเลสที่จะไปดับเอาตามใจชอบ แม้กระทั่งกิเลสก็ดับไม่ดับ ในความเป็นจริงสิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุดับมันถึงจะดับ ไม่มีใครดับอะไรได้หรอก บางคนมุ่งไปดับเวทนามันไม่ใช่ดับอย่างนั้น ในปฏิจจสมุปบาท มีองค์ธรรมอยู่ ๓ ชนิด ปฏิจจสมุปบาทมีองค์ธรรม ๑๒ ตัว
๑.) กลุ่มที่เป็นกิเลส ได้แก่ (๑)อวิชชา(ความไม่รู้แจ้งอริยสัจ) (๒)ตัณหา ( ความทะยานอยากของจิต อยากได้อารมณ์ทาง ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ลักษณะของความอยากเป็น ๓ อย่าง อยากได้เสพอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า กามตัณหา, อยากมีสภาวะอันใดอันหนึ่งขึ้นมา เรียก ภาวตัณหา, อยากดับสภาวะทั้งหลายทั้งปวงออกไป เรียกว่า วิภาวตัณหา, อยากให้มีภาวะอยู่ เป็น สัสสตทิฐิ อยากให้มันเที่ยง, อยากให้ภาวะทั้งหลายดับไป เรียกว่า วิภาวตัณหา คือ อุจเฉททิฐิ อยากให้สูญ เช่นคิดว่าภาวนาแล้วจิตดับลงไปหมดเลย แล้วก็เป็นนิพพาน จริงๆเป็นวิภาวตัณหานะ ผลักดันอยู่ (๓)อุปทาน, ในปฏิจจสมุปบาท มี อวิชชา ตัณหา และ อุปทาน นี่แหละ ที่เป็นส่วนของกิเลส, กิเลสมีตัวสภาวะที่เป็นตัวผลักดันให้เกิดการกระทำกรรม
๒.)ในปฏิจจสมุปบาทมีตัวที่กรรมอยู่ คือ (๑)สังขาร อวิชชา ปัจจยา สังขารา อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร, ตัวสังขารเป็นตัวกระทำกรรม คือความปรุงแต่งนั่นเอง, ปรุงอะไรบ้าง ปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง ปรุงความไม่มีอะไรบ้าง. (๒)อีกตัวหนึ่ง ถัดจากนั้นตัวที่เป็นกรรมอีกตัวหนึ่ง คือ ตัวภพ, ตัณหาปัจจะยา อุปปาตานัง อุปปาตานะ ปัจจะยา ภะโว ตัณหา เป็นตัวโลภะ อุปทาน เป็นโลภะที่มีกำลังกล้า เป็นกิเลสด้วยกันนะ ทำให้เกิดการกระทำกรรม คือการสร้างภพในใจ, ใจเราสร้างภพอยู่ตลอดเวลา สร้างภพน้อยภพใหญ่ ภพของมนุษย์ ภพของเดริจฉาน ภพเปรต ภพของอสุรกาย ภพเทวดา ภพของพรหม ใจเราสร้างภพหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ภพแบบนี้ถ้าแจกแจงลงไป เป็น กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ ล้วนสร้างภพทั้งสิ้น, จิตที่ทำงาน จิตที่สร้างภพ เรียกว่า กระทำกรรม, ถ้ากิเลสดับ จิตจึงจะเลิกกกระทำกรรม.
๓.) ถ้าจิตมีกิเลส จิตยังกระทำกรรมอยู่ ที่เหลือเป็นวิบากแล้ว (๑)สังขารา ปัจจะยา วิญญา สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ (๒)วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป (๓)นามรูปเป็นปัจจัยสฬายตนะ (๔)สฬายตนะเป็นปัจจัยของผัสสะ (๕)ผัสสะเป็นปัจจัยของเวทนา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวิบากทั้งสิ้น เป็นผลของกรรมแก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องรับอย่างเดียว, วิบากถัดไปที่เกิดจาก(๖)ภพ (๗)ชาติ (๘)ชรามรณะ
ความทุกข์ทั้งหลาย ความทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่จะละได้ แต่เป็นวิบาก, ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้งมากนะ เวลาละไม่ใช่ว่าไปไล่ดับเอาตามใจชอบ ต้องดูว่าอะไรเป็นต้นตอที่แท้จริง ต้นตอที่แท้จริง คือ อวิชชา, ทำอย่างไรจึงจะละอวิชชา จึงจะดับอวิชชาได้ ไม่มีผู้ใดที่สามารถดับอวิชชาได้ แต่เมื่อใดที่เกิดวิชชา อวิชชาจะดับเอง, วิชชาเหมือนแสงสว่าง อวิชชาเหมือน ความมืด ทันที่แสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดจะดับลงไปเอง ไม่ต้องมุ่งหน้าดับอวิชชานะ แต่ให้มุ่งหน้าทำให้เกิดวิชชาขึ้น วิชชาอย่างแรกคือการรู้แจ้งในกองทุกข์ ถ้ารู้ทุกข์แจ้มแจ้งเมื่อใดจึงจะละสมุทัยโดยอัตโนมัติ แจ้งนิโรธเมื่อนั้น เกิดอริยมรรคเมื่อนั้น.
งานจริงๆ คือ การรู้ทุกข์, สิ่งที่เรียกทุกข์ คือรูปนาม กายใจ นั่นเอง, การที่เรามีสติรู้กายรู้ใจตรงตามความเป็นจริง เรียก สติปัฏฐาน, ท่านจึงสอนว่า สติปัฏฐาน เป็นทางสายเดียวที่จะทำให้ไปสู่ความ บริสุทธิ์หลุดพ้นได้, หน้าที่ของเรา คือ การรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริง รู้ไปเรื่อยๆนะ วันหนึ่งจะเกิดความรู้จริง ความไม่รู้ คือ อวิชชาจะดับลงไป กระบวนการทำงานความไม่รู้ก็จะดับลงทั้งสายเลย, ภาวนาให้ได้หลักนะ งานเราไม่มีดับเวทนา งานเราไม่มีดับสังขาร งานหยุดคิดไม่มีทำอย่างไรจึงจะไม่คิด ทำอย่างไรจึงจิตจะสงบอยู่กับความว่าง ภาวนาแล้วเอาแต่ความว่างอย่างเดียว น้อมจิตไปสู่ความว่างอย่างเดียว ล้วนใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้น้อมจิตไปสู่ความว่าง พระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐาน สอนกายานุปัสสนา มีสติตามรู้กายอยู่เนืองๆ, สอนเวทนานุปัสสนา มีสติตามรู้เวทนาอยู่เนืองๆ, สอนจิตตานุปัสสนา มีสติตามรู้จิตอยู่เนืองๆ, สอนธรรมานุปัสสนา มีสติตามรู้สภาวธรรมอยู่เนืองๆ, ท่านไม่ได้สอนสุญญตาสติปัฏฐาน ไม่มี ไม่ได้สอนให้ไปรู้ความว่าง แต่เมื่อใดที่เรารู้กายรู้ใจแจ้มแจ่งตรงตามความเป็นจริง ตัณหาจะดับเองเราจะเห็นนิพพาน มันจะว่างเอง.
CD: สวนสันติธรรม แผนที่ ๒๔
File: 510308.mp3
เว็บไซต์ Dhammada.net
เป็นเว็บไซต์ที่ได้รับการอนุญาตจาก หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม ให้สามารถดำเนินการถอดข้อความพระธรรมเทศนาในลักษณะข้อความสั้นได้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๓
ชี้แจงการรับกิจนิมนต์ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ที่นี่
สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับแจ้งข่าวสารและธรรมะทุกวันจาก Dhammada.net ได้ ที่นี่
ติดตั้ง Dhammada Application for Android ที่นี่
คู่มือการใช้งาน อ่านได้ ที่นี่