กลับสู่หน้าหลัก

เทศนาธรรมแก่ผู้ควรบรรลุธรรมเร็ว

โดยคุณ ดังตฤณ  วัน พฤหัสบดี ที่ 11 พฤศจิกายน 2542 17:18:58

ในพาหิยสูตร กล่าวถึงท่านพาหิยทารุจีริยะ
ผู้เคยทำบุญปรารถนาความเป็นเอตทัคคะทางบรรลุมรรคผลเร็วไว้แต่กาลก่อน
และเคยยอมตายหมายได้ถึงพระอรหัตตผลด้วยการอดข้าวมาแล้ว
ในชาติสุดท้ายจึงมีวาสนาพอจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดอย่างรวดเร็ว
ปรากฏบันทึกรายละเอียดไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 17 สูตรที่ 10 ดังนี้

       สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่าน
อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล กุลบุตรชื่อพาหิยทารุจีริยะ
อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ ใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ
บูชา ยำเกรง ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ครั้ง
นั้นแล พาหิยทารุจีริยะหลีกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจอย่างนี้ว่า
เราเป็นคนหนึ่ง ในจำนวนพระอรหันต์หรือผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกแน่หรือ ลำดับนั้นแล
เทวดาผู้เป็นสายโลหิตในกาลก่อนของพาหิยทารุจีริยะ เป็นผู้อนุเคราะห์ หวัง
ประโยชน์ ได้ทราบความปริวิตกแห่งใจของพาหิยทารุจีริยะด้วยใจ แล้วเข้าไปหา
พาหิยทารุจีริยะ ครั้นแล้วได้กล่าวว่า ดูกรพาหิยะ ท่านไม่เป็นพระอรหันต์หรือไม่
เป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคอย่างแน่นอน ท่านไม่มีปฏิปทาเครื่องให้เป็นพระอรหันต์หรือ
เครื่องเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรค พาหิยทารุจีริยะถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น บัดนี้
ใครเล่าเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นผู้ถึงอรหัตตมรรคในโลกกับเทวโลก เทวดาตอบ
ว่า ดูกรพาหิยะ ในชนบททางเหนือ มีพระนครชื่อว่าสาวัตถี บัดนี้ พระผู้มี
พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ในพระนครนั้น ดูกร-
พาหิยะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นแลเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน ทั้งทรง
แสดงธรรมเพื่อความเป็นพระอรหันต์ด้วย ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะผู้อันเทวดา
นั้นให้สลดใจแล้ว หลีกไปจากท่าสุปปารกะในทันใดนั้นเอง ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคผู้ประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีใกล้
พระนครสาวัตถี โดยการพักแรมสิ้นราตรีหนึ่งในที่ทั้งปวง ฯ
       [๔๘] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันจงกรมอยู่ในที่แจ้ง พาหิยทารุจีริยะ
เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้ถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านทั้งหลาย
ผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ
ข้าพเจ้าประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ภิกษุ
เหล่านั้นตอบว่า ดูกรพาหิยะ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
บิณฑบาต ลำดับนั้นแล พาหิยทารุจีริยะรีบด่วนออกจากพระวิหารเชตวัน เข้าไป
ยังพระนครสาวัตถี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในพระนคร
สาวัตถี น่าเลื่อมใส ควรเลื่อมใส มีอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ถึงความฝึก
และความสงบอันสูงสุด มีตนอันฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์สำรวมแล้ว
ผู้ประเสริฐ แล้วได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มี-
พระภาคด้วยเศียรเกล้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
นานเถิด ฯ
       [๔๙] เมื่อพาหิยทารุจีริยะกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรพาหิยะ เวลานี้ยังไม่สมควรก่อน เพราะเรายังเข้าไปสู่ละแวกบ้านเพื่อ
บิณฑบาตอยู่ แม้ครั้งที่ ๒ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี ความ
เป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรดทรงแสดง
ธรรมที่จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์ตลอด
กาลนานเถิด ฯ
       แม้ครั้งที่ ๒...แม้ครั้งที่ ๓ พาหิยทารุจีริยะก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของพระผู้มีพระภาคก็ดี
ความเป็นไปแห่งอันตรายแก่ชีวิตของข้าพระองค์ก็ดี รู้ได้ยากแล ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ ขอพระสุคตโปรด
ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ข้าพระองค์สิ้นกาล
นานเถิด ฯ
       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงศึกษา
อย่างนี้ว่า เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็น
สักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ดูกรพาหิยะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล ดูกร
พาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อเธอเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อ
ทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น เธอย่อมไม่มี
ในกาลใดเธอไม่มี ในกาลนั้นเธอย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า
ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
       ลำดับนั้นแล จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ทั้งหลายเพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มี-
พระภาค ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย
พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ

------------------------------------------------------------------------------------------
หากอ่านเร็วๆตามประสาพวกเรา
ก็คงฟังดูไม่น่าเชื่อ ทำไมท่านพาหิยะถึงบรรลุธรรมสูงสุดง่ายนัก
แค่พระพุทธองค์ตรัสแนะเพียงเห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ทราบสักแต่ว่าทราบ รู้แจ้งสักแต่ว่ารู้แจ้ง ฯ

ขอให้ย้อนนึกไปในอดีตเป็นจริงเป็นจัง
สมมุติว่าเราเป็นท่านพาหิยะ ปรารถนาใคร่พ้นจากกิเลส
ดับทุกข์เป็นพระอรหันต์ รอนแรมมาไกลเพื่อพบผู้รู้ธรรม
กับทั้งรีบร้อนออกตามหาพระพุทธองค์สุดฝีเท้า
แม้ทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จดำเนินบิณฑบาต
ใครจะว่า ใครจะยับยั้งให้รอพระพุทธองค์กลับอารามก็ไม่ยอม
ดึงดันจะไปเข้าเฝ้าให้ได้
ด้วยแรงปรารถนาเด็ดเดี่ยว ว่าเราจะต้องฟังธรรมสูงสุดในวันนั้น
อะไรในโลกไม่สำคัญเท่าอีกแล้ว

พอรีบร้อนไปพบพระพุทธองค์
ก็ครึ่งวิ่งครึ่งเดินสุดกำลัง
เมื่อพบพระองค์ผู้มีลักษณาการควรแก่ความเชื่อ ควรแก่การเลื่อมใส
ว่าเป็นผู้ปราศจากกิเลสอย่างแน่นอน
กำลังใจและปีติย่อมบันดาลจนไม่เหลือความคิดอื่นใด
นอกจากรอฟังธรรมเพื่อความหลุดพ้น เพื่อความสิ้นกิเลสในที่นั้นเอง

เมื่อบุกน้ำลุยไฟมาพบบุคคลอันปรากฏยากแสนยากแล้ว
ก็ให้เกรงว่าโอกาสประเสริฐสุด
จะมีอันต้องหลุดลอยไปเพราะความตายอันพยากรณ์ไม่ได้
เรียกว่าสิบนาที ครึ่งชั่วโมง ก็นานพอจะเปิดช่องให้มัจจุราชมาพรากโอกาสไปเสีย
ทนรบเร้าพระพุทธองค์ ขอทรงแสดงธรรมให้ฟังจนได้

ทุกตีสี่พระพุทธองค์จะทรงแผ่พระญาณ
หยั่งทราบอยู่แล้ว ว่าวันนั้นจะโปรดเวไนยสัตว์ใด ด้วยอุบายใด
กรณีพิเศษแม้อยู่ในกลางทางบิณฑบาต
พระพุทธองค์ก็ทรงเต็มพระทัยอย่างไม่ต้องสงสัย

หากเราเป็นท่านพาหิยะ
แน่นอนว่าลำดับถัดจากนั้น จะต้องเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจสูงสุดเพียงใด
และตรึกธรรมตามด้วยความเคารพขนาดไหน
ไม่มีแน่นอน ที่จะปล่อยให้พระพุทธพจน์คำใดคำหนึ่งตกหล่นไป

กระแสบุญเก่ามารอจ่ออยู่แล้ว
ศรัทธาในพระผู้ทรงธรรมก็เปี่ยมเต็มอยู่แล้ว
วิริยะในการมาสู่พระธรรมอันเป็นเอกก็พร้อมอยู่แล้ว
สติในการสดับตรับฟังพุทธพจน์ก็สมบูรณ์อยู่แล้ว
สมาธิในการจ่อใจรับธรรมก็มีอยู่แล้ว
ปัญญาในการพิจารณาธรรมก็ควรแก่งานอยู่แล้ว
เมื่อประกอบกับธรรมอันบริสุทธิ์ ถูกต้องเหมาะสมแก่นิสัย
ความสว่างโพล่งจึงเกิดขึ้นด้วยความประชุมพร้อมแห่งเหตุเช่นนั้นเอง
ต่างจากผู้อ่านพาหิยสูตรทั่วไป
ที่ไม่รับรู้ ไม่อนุโมทนาตามท่านพาหิยะ
เมื่อไม่อนุโมทนา จะเอาความยินดีปรีดามาแต่ไหน
เมื่อไม่ยินดีปรีดา จะเอาจิตจดจ่อมาแต่ไหน
เมื่อไม่มีจิตจดจ่อ จะเอาปัญญาตรึกธรรมละเอียดมาแต่ไหน

ธรรมที่พระพุทธองค์แสดงแก่ท่านพาหิยะนั้น
นับว่ามีเพียงหนเดียวเป็นพิเศษ ไม่มีหนสอง
เป็นการตรัสแนะเพื่อเข้าถึงประสบการณ์ตรงเดี๋ยวนั้น
ทั้งที่นั่งอยู่ตรงนั้น
ขอให้ระลึกว่าธรรมอันพิเศษนี้
สะกิดให้คนธรรมดาคนหนึ่งกลายเป็นพระอรหันต์มาแล้ว
ก็ย่อมต้องมีสิทธิ์สะกิดให้คนธรรมดาอื่นๆบรรลุธรรมตามเช่นกัน
ขอเพียงมีเหตุปัจจัยประชุมพร้อมพอ เช่นเดียวกับท่านพาหิยทารุจีริยะ

เมื่อพระพุทธองค์ตรัสสั่งว่า
"เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง"
แน่นอน ด้วยใจในขณะนั้น
เราย่อมมองรูปและสีสันที่ปรากฏต่อตา สักแต่ว่านี่เป็นอาการเห็น
เราย่อมยินเสียงและส่ำสำเนียงที่ปรากฏต่อหู สักแต่ว่านี่เป็นอาการฟัง
นี่คือการเอาความประจักษ์สภาวะหยาบในปัจจุบันยกขึ้นตั้ง

ลำดับต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสั่งว่า
"เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ"
นี้เป็นอาการทางจิตที่อยู่ในระดับความคิดความเข้าใจ
ขณะนั้นเมื่อเราเกิดอาการ 'ทราบ' ใดๆ
ย่อมตีค่าอาการนั้นเป็นสักแต่ภาวะทราบ
มีความเป็นนามธรรมละเอียดกว่าการเห็นและการได้ยิน

ลำดับต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสั่งว่า
"เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง"
นี้เป็นอาการทางจิตที่อยู่ในระดับความเข้ารู้พร้อมตามธรรมที่ปรากฏจริง
ขณะนั้นเมื่อท่านพาหิยะเกิดอาการ 'รู้แจ้ง' ในลักษณะ 'สักแต่ว่า' การเห็น การได้ยิน และการรู้คิด
ท่านย่อมตีค่าอาการนั้นเป็นสักแต่ภาวะรู้แจ้ง
มีความเป็นนามธรรมละเอียดกว่าการทราบ

โดยประจักษ์ธรรมละเอียดลงตรงจริงตามลำดับ
ต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ตรัสขยายความว่า
"ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อเธอเห็นจักเป็นสักว่าเห็น
เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น เธอย่อมไม่มี"

ตรงคำว่า 'เธอย่อมไม่มี'
คือมีแต่สภาวธรรมหนึ่งๆ ไม่มีตัวตนผู้ใดนี่เอง
ที่เป็นตัวจุดชนวนมรรคผลแท้จริง
เพราะจิตตรึกธรรมจนเห็นแจ้งและเข้าถึงความว่างแล้ว
ย่อมทิ้งอุปาทาน อันเกิดมาแต่การมีกาย และเกิดมาแต่การมีใจลงสิ้น
การลุธรรมโดยอาการนี้เกิดขึ้นจริงครั้งหนึ่งในอดีต
ย่อมเกิดขึ้นอีก เมื่อบุคคลพร้อม เหตุปัจจัยพร้อม
อาจเป็นยุคสมัยปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้

------------------------------------------------------------------------------------------

       [๕๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน   แม่โค
ลูกอ่อนขวิดพาหิยทารุจีริยะให้ล้มลงปลงเสียจากชีวิต ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จ
เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถีเสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต เสด็จ
ออกจากพระนครพร้อมกับภิกษุเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นพาหิยทารุจีริยะ
ทำกาละแล้ว จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจง
ช่วยกันจับสรีระของพาหิยทารุจีริยะยกขึ้นสู่เตียงแล้ว จงนำไปเผาเสีย แล้วจงทำ
สถูปไว้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะประพฤติธรรมอันประเสริฐเสมอ
กับท่านทั้งหลาย ทำกาละแล้ว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว ช่วยกัน
ยกสรีระของพระพาหิยทารุจีริยะขึ้นสู่เตียง แล้วนำไปเผา และทำสถูปไว้แล้ว
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สรีระของพาหิยทารุจีริยะข้าพระองค์
ทั้งหลายเผาแล้ว และสถูปของพาหิยทารุจีริยะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายทำไว้แล้ว
คติของพาหิยทารุจีริยะนั้นเป็นอย่างไร ภพเบื้องหน้าของเขาเป็นอย่างไร ฯ
       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะเป็นบัณฑิต
ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งไม่ทำเราให้ลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสดงธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พาหิยทารุจีริยะปรินิพพานแล้ว ฯ
     ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทาน
นี้ในเวลานั้นว่า
         ดิน น้ำ ไฟ และลม ย่อมไม่หยั่งลงในนิพพานธาตุใด
         ในนิพพานธาตุนั้น ดาวทั้งหลายย่อมไม่สว่าง พระอาทิตย์
         ย่อมไม่ปรากฏ พระจันทร์ย่อมไม่สว่าง ความมืดย่อมไม่มี
         ก็เมื่อใดพราหมณ์ชื่อว่าเป็นมุนีเพราะรู้ (สัจจะ ๔) รู้แล้ว
         ด้วยตน เมื่อนั้น พราหมณ์ย่อมหลุดพ้นจากรูปและอรูป
         จากสุขและทุกข์ ฯ

------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้บรรลุธรรมเร็วมิได้มีคุณเฉพาะต่อตนเอง
แต่ยังไม่ทำให้ผู้มีหน้าที่แสดงธรรมต้องลำบาก
น่าเสียดาย ด้วยกรรมเก่าของท่านพาหิยะ
ทำให้ท่านดับขันธ์ไปก่อนเวลาอันควร
มิฉะนั้น คงมีภาษิตดีๆจากท่านพาหิยะ
เพิ่มขึ้นในขุททกนิกายของพระสุตตันตปิฎกเป็นแน่แท้

หากปราศจากท่านพาหิยะ
ก็คงไม่มีพระธรรมเทศนาตรง และลัดสั้นเป็นพิเศษเช่นนี้
หากปราศจากพระธรรมเทศนาตรง และลัดสั้นเป็นพิเศษเช่นนี้
ก็คงไม่มีผู้ควรแก่การถึงธรรมเร็วได้รับประโยชน์อีกเลย

ขอน้อมเศียรเกล้าลงเป็นที่รองธุลีใต้พระพุทธบาท
ผู้แสดงธรรมอันควรแก่เวไนยสัตว์ทุกประเภท ทุกระดับ
จนถึงมรรคผลฉับพลันง่ายดายกันถ้วนหน้า
ขอกราบแทบเท้าท่านพาหิยทารุจีริยะ
ผู้บำเพ็ญบารมีจนควรแก่ธรรมอันสั้นพิเศษ
ยังธรรมอันสั้นพิเศษให้ปรากฏขึ้นในโลก
ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงสุดต่ออาจารย์สมภาร พรมทา
ผู้นำพาหิยสูตรมาเรียบเรียงใหม่อย่างสั้นและง่ายต่อการเข้าถึง

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ พัลวัน  วัน พฤหัสบดี ที่ 11 พฤศจิกายน 2542 19:41:29

       สาธุ
       สาธุ
       สาธุ

ท่านพาหิยะ เป็นบุคคลที่สร้างความพิศวงให้ผมมากมาย เมื่อครั้งบวชเรียน
ก็ได้คุณดังตฤณนี่ล่ะครับ ที่ช่วยให้คลายความพิศวงลงได้มากครับ


โดยคุณ พัลวัน  วัน พฤหัสบดี ที่ 11 พฤศจิกายน 2542 19:41:29

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ มาตา   วัน พฤหัสบดี ที่ 11 พฤศจิกายน 2542 19:43:08

  
สาธุ ครับ / ค่ะ
  

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ทรายแก้ว วัน พฤหัสบดี ที่ 18 พฤศจิกายน 2542 19:44:37

สาธุค่ะ _/|\_ ขอบพระคุณมากค่ะ

โดยคุณ ทรายแก้ว วัน พฤหัสบดี ที่ 18 พฤศจิกายน 2542 19:44:37

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พฤหัสบดี ที่ 18 พฤศจิกายน 2542 20:02:48

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน พฤหัสบดี ที่ 18 พฤศจิกายน 2542 20:43:51

สาธุค่ะ

โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน พฤหัสบดี ที่ 18 พฤศจิกายน 2542 20:43:51

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 11:21:23

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ นิดนึง วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 11:45:01

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 19:09:12

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ มวยวัด วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 08:38:14

ขอบคุณครับ

โดยคุณ มวยวัด วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 08:38:14

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ นุดี วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 17:41:48

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ rapin วัน อาทิตย์ ที่ 21 พฤศจิกายน 2542 11:10:22

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ แมวแก่ วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 20:01:20

ขอบคุณครับ พี่ดังตฤณ _/|\_

โดยคุณ แมวแก่ วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 20:01:20

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ kobe วัน พุธ ที่ 15 ธันวาคม 2542 22:04:58
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ วีระวงศ์ วัน จันทร์ ที่ 20 ธันวาคม 2542 17:40:44
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ HTML วัน พุธ ที่ 22 มีนาคม 2543 13:05:00
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com