กลับสู่หน้าหลัก

หญิงนักภาวนาชาวกรุง

โดยคุณ สันตินันท์ วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 18:13:07

เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีหนังสือคติธรรมและชีวประวัติของหลวงตามหาบัว ออกมาเผยแพร่
ชื่อหนังสือ หยดน้ำบนใบบัว
จัดเป็นหนังสือชีวประวัติเล่มแรกของหลวงตามหาบัว
เพราะก่อนหน้านี้ ท่านไม่ยอมให้ใครเขียนประวัติของท่านเลย

เรื่องหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ ชื่อว่า หญิงนักภาวนาชาวกรุง
พวกเราที่อ่านผ่านๆ อาจจะไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ
แต่ในฐานะที่ผมรู้จักท่านผู้นี้
ก็กล้ากล่าวว่าท่านเป็นฆราวาสนักปฏิบัติที่เก่งที่สุดที่เคยรู้จักมา
ท่านผู้นี้ เป็นศิษย์ของศิษย์พี่ของผม
และปฏิบัติด้วยการดูจิตอย่างเดียว ไม่มีข้องแวะหรือใช้วิธีอื่นผสมผสานเลย
ท่านจึงเป็นพยานสำคัญอีกท่านหนึ่งของผู้ปฏิบัติด้วยการดูจิต
และเป็นตัวอย่างยืนยันให้เห็นว่า
ฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี

พวกเราบางคน ก็ได้มีโอกาสพบและได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากท่านมาแล้ว
อีกไม่นานนัก พวกเราอีกหลายคนคงได้มีโอกาสศึกษาจากท่านบ้าง
ตอนนี้บอกใบ้ให้ได้ว่า คุณผู้หญิงทั้งหลาย ควรไปปฏิบัติที่เขาสวนหลวงกันก่อน
หากบุญมาวาสนาช่วย จะได้ขอศึกษาจากท่านผู้นี้ต่อไป

ขอเชิญอ่านเรื่องของท่านได้แล้วครับ

************************************

หลวงตากล่าวถึงสตรีท่านหนึ่ง 
เธอใช้ชีวิตที่ไม่แตกต่างอะไรจากคนทำงาน ทางโลกทั่วไป 
เนื่องจากมีครอบครัวมีบุตรธิดาถึง 3 คน 
ยิ่งกว่านั้นยังมีภาระ หน้าที่การงานที่จะต้องบริหารและรับผิดชอบ 
แต่ด้วยจิตใจที่รักและเห็นคุณ ประโยชน์อันใหญ่หลวงของงานด้านจิตตภาวนา 
เธอจึงพยายามเจียดเวลา เพื่อเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง 
ฝึกสติอบรมปัญญาไปพร้อมๆ 
ควบคู่กับการงานโดยมิยอมให้เสียงานทางโลกแต่อย่างใด 
ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ความคิดความอ่านในหน้าที่การงานดีขึ้นแจ่มชัดขึ้นอีกด้วย 
เพราะเต็มพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะ  ความคิดความอ่าน... 
จึงไม่วู่วามตาม อารมณ์หรือตามความฟุ้งซ่านส่ายแส่ของจิตใจ
เหมือนในขณะที่ยังควบคุมจิตได้ ไม่ดีพอ 

เธอปฏิบัติเช่นนี้  อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอมาหลายปีด้วยความพากเพียร 
กระทั่ง เห็นผลแห่งการปฏิบัติพอเป็นแรงจูงใจให้เพียรยิ่งๆ ขึ้น 
ครั้งหนึ่งเธอมีโอกาสได้เข้า กราบสนทนาธรรมกับหลวงตา
ที่สวนแสงธรรมในคราวท่านลงไปกรุงเทพฯ 
และได้ เล่าผลอัศจรรย์ของจิตที่เกิดจากจิตตภาวนาถวายหลวงตา
เป็นที่รื่นเริงในธรรม ทั้งอาจารย์และศิษย์ 

กาลผ่านไป  เมื่อหลวงตาท่านกลับวัดป่าบ้านตาด  อุดรธานีแล้ว 
ตอนเช้าวันหนึ่ง ปลายปี พ.ศ. 2538  หลังจังหัน 
หลวงตาท่านแสดงธรรมได้ระยะหนึ่ง 
เนื้อธรรมที่แสดง นั้นได้ไปสัมผัสกับเรื่องที่ท่านได้สนทนากับสตรีท่านนี้ 
ท่านจึงได้เมตตาเล่าให้ลูกศิษย์ ฟังว่า  มีพยานแล้ว  ดังคำเทศน์ต่อไปนี้ 

     "...พอพูดอย่างนี้  ก็ไปสัมผัสเรื่อง หญิงคนหนึ่ง
แกภาวนาอยู่ตามประสีประสาของแก สุดท้ายเอาจริงเอาจัง... 
เป็นเข้าจริงๆ เวลาเป็นเข้าจริงๆ แล้วเห็นโทษของกิเลสนี้ 
แหม.. แกว่าอย่างนั้นนะ 


    'ทำไมมันถึงร้ายแรงเอานักหนากิเลสนี่  รุนแรงมาก  ทั่วสามแดนโลกธาตุกิเลสขยำคน' 

    ฟังซิ แกไม่ได้เรียนนะ  แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนทางอรรถทางธรรม 
ออกจากภาคปฏิบัติ ล้วนๆ 


    มองไปที่ไหนดูมีแต่กิเลสขยี้ขยำหัวสัตว์โลกเต็มบ้านเต็มเมือง 
ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน  ไม่ว่ามนุษย์  ไม่ว่าชาติขั้นวรรณะใด 
มีแต่กิเลสขยำเอาโงหัวไม่ขึ้นเลย  สลดสังเวช 
บางทีก็กระซิบบอกเพื่อนฝูงบ้าง  บางคนพวกคลังกิเลสมันก็ไม่พอใจ
สุดท้ายจะทำภาวนาก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปทำอยู่ตามป่าตามอะไร 
เพราะทำงาน อยู่ตลอดเวลา  สติไม่ได้เผลอตลอดเวลา  มันเป็นเองของมัน 

    คำพูดอย่างนี้ไม่เป็นจริงเอามาพูดได้เหรอ 
ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง 


    'สตินี้ดี  ดีจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา  ไม่หวั่นไหว  ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไร 
สติจ่อแล้ว ทำงานก็ทำไปตามเรื่อง  ทำงานทางโลกก็ทำ  ภายในก็ทำ  หมุนติ้ว' 

    นั่นเห็นไหม  ได้ยินแต่หลวงตาบัวว่า หมุนติ้วๆ นี่ มีพยานแล้วนะ 
    เพื่อนฝูงเขาสงสาร  พอทราบว่าเราไป  เพราะแกอยากพบครูบาอาจารย์ 
อยากพบ เราแกก็อยากพบ  พอดีแกก็มาจริงๆ คนมากๆ ก็ใส่เปรี้ยงเลย 
นั่นละ  ขึ้นเวทีแชมเปี้ยน แล้วไม่ใช่เวทีธรรมดา  ซัดกันใหญ่เลย 
แกก็ออกมาอย่างกระจ่างเลยนะ เปรี้ยงๆๆ นั่นละ 
ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นจากจิตใจไม่สะทกสะท้านนะ 
แกก็ใส่มาเปรี้ยงๆ ทางนี้ก็ใส่กันเลย 


    'ก็ทำกำดำกำขาวไปอย่างนั้นละ  แต่จิตมันดูดดื่มอยากทำตลอดไป 
แต่ทีนี้ก็ไม่ทราบว่า ผิดหรือถูกประการใด' 

    บอกแกว่า  'ถูกแล้ว เอ้า เอาเลยนะ รวมตัวแล้ว 
ทีนี้ฟาดลงไป  ถลุงมันตรงนั้นๆ ชี้แจง เป็นระยะๆ เข้าไป' 
    แกพอใจเอาอย่างมาก 


'ทีนี้เป็นที่ตายใจแล้ว' 
   
เราว่า 'ตายใจน่ะถูกต้องแล้ว  ที่ปฏิบัติมานี่ถูกต้องแล้ว' 
    แกนั่งภาวนาได้ถึง 13 ชั่วโมงก็มี 9 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง 13 ชั่วโมงก็มี
พิจารณาทุกขเวทนา  ทุกขเวทนาเป็นของจริงทุกส่วน 
เป็นของจริงแล้วไม่มีกระทบกระเทือนกันเลย  จะนั่งตั้งกัป ตั้งกัลป์ก็ได้ 
อย่าว่าแต่เพียง  12 - 13 ชั่วโมงเลย  ลุกออกมาเฉยๆ 
นี่แหละจะนั่งตั้งกัป ตั้งกัลป์ก็ได้


    'ไม่มีอะไรที่จะเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจได้เลย 
เมื่อต่างอันต่างจริงแล้วไม่คละเคล้ากัน' 
   
นั่นฟังซิแกพูด  พูดอาจหาญเสียด้วยนะ 
เราก็รื่นเริงเห็นผลของการปฏิบัติธรรมนี่ละ 
ธรรม ของพระพุทธเจ้าพอปรากฎขึ้นในใจ 


    'เห็นโทษของกิเลสเห็นจริงๆ  เห็นจนสลดสังเวช 
มองไปไหนๆ พิจารณาไปไหน  แหม  มีแต่ กิเลสอย่างเดียว
ครอบงำสัตว์โลกให้ดิ้นล้มดิ้นตายกันอยู่ 
ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด  แล้วโลกก็ไม่รู้ ด้วยนะ  น่าสงสารอันหนึ่ง'  แกว่า 

   'โลกก็ไม่รู้ด้วยนะ  มันขยี้ขยำจนจะตายก็ยังดิ้นเพลินกันอยู่' 

คนมากนะวันนั้น  วันที่แกมาหา  เพราะไม่มีเวลาที่จะพูดโดยเฉพาะ 
   'ไม่ต้องเฉพาะ  ฟาดเลย' 
   เราว่าอย่างนี้แหละ  แกเห็นโทษของกิเลสจริงๆ
เราไม่ตายให้กิเลสตายมีสองอย่าง  ขั้นนี้ขั้นเห็น โทษของกิเลสเห็นเต็มหัวใจ
  เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ  ทั้งสองอย่างนี้บรรจุเข้าสู่ใจแล้ว 
เอาชีวิตเข้าแลกเลย  ไม่มีความสะทกสะท้าน  เรื่องกับความตายหมุนติ้วๆ 
  
นี่ละคนหนึ่งจะไปได้  ไม่นานละ  แน่แล้ว 
เป็นผู้หญิงนะ มีลูก 3 คน  แกก็เคยส่งปัจจัยมาวัดนี้ ประจำเดือน 
แกเล่าให้พัง คนฟังนี่  โห อ้าปากไม่งับแหละ  ลืมตาหลับไม่ลง
เพราะขึ้นตามหลัก ธรรมชาตินี่  หมุนติ้วๆ
แกพูดเปรี้ยงๆ เอ้า เปิดๆ ให้หมด  เราว่าอย่างนั้นนะ  เราก็หิวอยากฟังนี่นะ 
มันมีแต่พูดคนเดียว  เป็นบ้าอยู่  พูดตลอดเวลาเพราะไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วย 
เหมือนบ้าพูดคนเดียว 
เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า  พอดีได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นพยาน 
   'เอ้าพูดๆ เลย  เอาให้เต็มที่นะ' 
   เราอยากฟังเหลือเกินธรรมะประเภทนี้  พูดอย่างนี้แหละว่า 
"ไม่เคยได้ฟัง  เพิ่งจะมาได้ฟังนี่แหละ  เอ้า เปิดเลย" 
พอแกเปิดแล้วตรงไหนเป็นจุดที่ควรจะแนะ  ก็แนะแก 
แกไม่ใช่ธรรมดานะ  ตีเปรี้ยงๆ ลงไปเลย 
   'เอ้าจุดนี้ๆ เอ้าๆ' 
   นี่ละจวนจะไป  ไม่อยู่แล้ว  เป็นธรรมชาติแล้ว  เป็นอัตโนมัติแล้วหมุนเรื่อย 
จิตเข้าถึงขั้นนี้แล้ว หมุนเรื่อย  เห็นโทษของกิเลสจนจะสลบไสล 
กิเลสเป็นโทษแก่โลกขนาดไหน  เวลาเข้าถึงตัวมันจริงๆ  แล้ว 
จนสลบไสล  โทษของมันทำให้เจ็บให้แสบให้เข็ดให้หลาบให้กลัว 
จนไม่รู้จักเป็นจักตาย  หลบกิเลสหนีกิเลส  ตายก็ตาย  ให้ได้พ้นจากกิเลสก็แล้วกัน 
ให้พ้นๆ มันก็บินละซิ     พระพุทธเจ้าสอนเล่นเมื่อไร 
พวกเราไม่เห็นนั่นซี  จึงได้ว่ากิเลสแหลมคมมากนา  แกพูด 
แกก็เปิดเต็มที่เหมือนกัน 
แกพูดด้วยความตื่นเต้น  และแกก็ไม่มีผู้ใดจะตอบรับแกอย่างนั้น 
เราก็ตอบรับเต็มภูมิเลย  เพราะหิวกระหายอยากฟังมานาน 
   
ธรรมะประเภทนี้มีแต่ประเภทความจำ 
จำได้ก็มาบ้าน้ำลายกันเหมือนนกขุนทองแก้วเจ้าขาๆ 
เรียนจบพระไตรปิฎก  กิเลสตัวเดียวหนังไม่ถลอกเลย 
เห็นแต่อย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง 
    นี่แกเอาจริงเอาจังแน่แล้ว... 
คนนี้ไม่นานด้วยนะ  เมื่อมีผู้แนะจุดสำคัญนี้แล้วมันจะพุ่ง 
ไม่ลูบไม่คลำเมื่อมีผู้แนะ 
ความที่ดำเนินมาแล้วก็ว่าถูกต้องแล้วก็หายห่วง 
จุดไหนที่กำลัง ดำเนินก็ชี้บอก  ทางนี้ก็พุ่งๆ เลย 
    เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ 
คนไม่เคยกับศาสนาเวลามาปฏิบัติมันเป็นขึ้น  นี่ละ 
ความรู้จากภาคปฏิบัติกระจายอย่างนี้เอง 
ความรู้ในหนังสือที่ท่านจดจารึกมาในตำรับ ตำราในพระไตรปิฎกพอประมาณเท่านั้นนะ 
ไม่ได้ซอกแซกซิกแซ็กกระจายไปทุกแห่งทุกหน 
เหมือนภาคปฏิบัติ...  เรียกว่าทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรเลย..." 

  
นับแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมา 
สตรีท่านนี้ยังไม่มีโอกาสเข้ากราบหลวงตาอีกเลย 
จนกระทั่งต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2542  ณ สวนแสงธรรม
ถนนพุทธมณฑลสาย 3  กรุงเทพมหานคร 
จึงได้เข้ากราบหลวงตาและสนทนาธรรมอีกครั้งหนึ่ง 
ใช้เวลาสนทนา เล็กน้อย  ดังนี้ 

หลวงตา     เวลานี้พิจารณาอะไรอยู่ 

สตรีนักภาวนา     การปฏิบัติของลูกอาจจะไม่ได้ถูกร่องรอย
ที่หลวงตาสอนให้พิจารณานะเจ้าคะ 
เพราะว่าการปฏิบัติของลูกตลอดเวลา
ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนมีสติสัมปชัญญะ ตามรักษาจิต 
ใช้วิธีนี้อย่างเดียวเจ้าค่ะ  ตามรักษาจิตนี้ 
ลูกไม่ต้องกลับมาพิจารณา เลย 
อยู่กับจิตว่าง  อยู่กับปัจจุบันธรรมก็จะเห็นความเกิดดับของสัญญา 
ความ เกิดดับของสิ่งที่รู้ทั้งหมด  รู้แล้วดับ 
ถ้ารู้แล้วไม่หลง  รู้แล้วดับหมด 
พอทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ชัดขึ้นมาว่า 
มันไม่ใช่ตัวตน  มันเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ ตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น 
มันเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ  เกิดดับเท่านั้นเอง  เท่านั้น 
หลังจาก ช่วงนั้นแล้วก็เลิกถูกต้ม  เลิกถูกจิตต้มอีกต่อไป 

หลวงตา     มันต้มยังไง? 

สตรีนักภาวนา     ถ้าเมื่อก่อนนี้การที่จะระมัดระวังเฝ้ารักษาจิตนี้ 
ต้องสติตามดูตามรู้      กิเลสถึงจะไม่เกิดนะเจ้าคะ 
แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้วรู้เท่าทันสัญญา  สติตั้งมั่น      ไม่หลงอารมณ์ 
ทุกอย่างดับหมด  ดับหมด 
เพราะอย่างนั้นถ้าครั้งไหนเกิดเพลิน     เผลอไป  แล้วหลงอารมณ์ 
ไปคว้าอารมณ์ก็ปล่อยได้เลย  เพราะว่ารู้ว่ามันโง่ไปแล้ว 
เพราะฉะนั้น  ลูกกราบรายงานหลวงตาว่า 
การรักษาจิตของลูกนี้มิได้พิจารณา เลยเจ้าค่ะ 
แต่การรู้ที่เห็นขึ้นเป็นขึ้นในขณะที่อยู่กับปัจจุบันธรรมตลอดเวลา 
แล้วทุกๆ      วันนี้สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ของลูกนี้ 
แม้แต่ฟังหลวงตา  แม้จะอยู่ในหมู่ผู้คน 
ลูกเหมือนกับมี ตาอีกตาหนึ่งเห็นจิตตลอดเวลา 
เฝ้าดูจิตตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน 

ฉะนั้น  การภาวนาของลูกนี้  ความเผลอเพลินในการทำงาน  มีบ้างที่จิตส่งออก 
แต่นอกนั้นแล้วจิตจะอยู่รักษาข้างในหมด 
จะไม่ออกไปเพ่นพ่าน  เพราะรู้ดี  รู้เช่น      เห็นชาติหมดว่า
มันออกไปมันเอามาแต่อะไรแล้วเข็ดหลาบเบื่อหน่ายเจ้าค่ะ 
เพราะฉะนั้นวันทั้งวันจะมีสติตามรักษาจิตโดยไม่ต้องมีใครมาบอกเลย 

หลวงตา     เข้าใจ เอาอยู่จุดนั้นละนะ 
เราจะไม่เร่งไม่บอกอะไรละ  ให้เอาปัจจุบันนี้ เป็นหลักนะ 
เร่งก็เร่งอยู่ในปัจจุบัน  ไม่เร่งก็อยู่ในปัจจุบัน  ไม่นอกปัจจุบันแล้วไม่ผิด 
เข้าใจไหม  ให้อยู่ในปัจจุบัน 
จิตในลักษณะในธรรมชาตินี้เป็นยังงั้น 
คุณก็มีครอบครัวเหย้าเรือน  มีงานมีการอยู่ 
จึงไม่ค่อยเร่งให้  ปล่อยให้เจ้าของ      เร่งเจ้าของเอง  เข้าใจ? 
ถ้าเป็นนักบวชนักปฏิบัติ  แล้วไล่ตีหลงทิศไปเลย  มันเป็นขั้น  เป็นตอน 

สตรีนักภาวนา     แต่จิตที่ดูเหมือนไม่เร่ง  แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยนะ 

หลวงตา    เราเข้าใจ  พูดอย่างนี้เข้าใจทันทีทันทีเลย 
ยังบอกให้ไปตามหลักธรรมชาติ 
ปัจจุบันๆ อย่างนั้นละ  มันไม่มีอะไรละ 
มันอยู่กับปัจจุบันนั้นหมดเลย 
พอเรียนจบ ปัจจุบันแล้วละ  ไม่ต้องถามแล้ว 
ปัญหาอะไรไม่มีละ  ทีนี้เอาละ  ดูปัจจุบันของ     เจ้าของเป็นยังไง  เท่านั้นละ 

สตรีนักภาวนา     ถ้ามีคนถามว่าลูกจะถามอะไรหลวงตา 
ลูกไม่รู้จะถามอะไร  เพราะว่า      ลูกเฝ้าแต่ปัจจุบันตลอดเวลา 
ถ้าอยู่กับปัจจุบันเมื่อไหร่  เกิดดับก็มาตลอดสายเจ้าค่ะ 

หลวงตา     ก็ยังงั้นแล้ว  นี่ก็ไม่ถามอะไร  เพราะงั้นจึงว่าปัจจุบันนี้ 
พิจารณายังไงเท่านั้นเอง      แน่ะ  ก็เข้าปัจจุบันแล้วใช่ไหมล่ะ 
ถามตรงนั้นแหละ  ตรงปัจจุบันสำคัญมาก  นี้มันลง ปัจจุบันแล้ว 

สตรีนักภาวนา    เมื่อก่อนลูกตื่นตี 3 นะเจ้าคะ  รู้สึกว่าเวลามันน้อยไป 
เดี๋ยวนี้ลูกขยับมา      เป็นตี 2 ครึ่งทุกวันเจ้าค่ะ  ลูกเดินจงกรมทุกวัน 
ลูกจะอยู่กับปัจจุบันเจ้าค่ะ  อยู่กับปัจจุบัน     
เพราะฉะนั้น  มันไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความกลัวอะไรเลย 
เพราะรู้ว่าทุกๆ ขณะจิต      ถ้าตายลงในขณะใด  นี่ 
มันอยู่พื้นเลยเจ้าค่ะ  มันไม่มีสิทธิ์เลยที่จะหลุดไปไหนเจ้าค่ะ 

*************************************

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปลาทอง วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 18:34:40

สาธุคะ

โดยคุณ ปลาทอง วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 18:34:40

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 19:06:57

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ tana วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 19:23:59

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ นอย วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 20:40:20

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ไพ วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤศจิกายน 2542 21:32:18

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ แมวแก่ วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 00:17:29

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ มวยวัด วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 08:33:06

ขอบพระคุณครับ
_/\_


โดยคุณ มวยวัด วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 08:33:06

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ทองคำขาว วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 10:21:54

_/|\_ _/|\_ _/|\_ สาธุครับ


โดยคุณ ทองคำขาว วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 10:21:54

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ นุดี วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 16:52:11

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ เมล็ดโพธิ์ วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 21:29:48

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ sorankit วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 22:07:26

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ทรายแก้ว วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 22:57:21

สาธุค่ะ _/|\_ _/|\_ _/|\_ ขอบพระคุณค่ะ

โดยคุณ ทรายแก้ว วัน เสาร์ ที่ 20 พฤศจิกายน 2542 22:57:21

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน อาทิตย์ ที่ 21 พฤศจิกายน 2542 13:00:59

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2542 07:34:14

สาธุครับ

ได้อ่านแล้วชื่นใจจริงๆครับ

(ต้อง print ไปให้ภรรยาอ่านด้วยครับ)

(มาช้ากว่าเพื่อนไปหน่อยครับ เพราะที่บ้านไม่ได้ใข้ internet แล้วครับ)


โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2542 07:34:14

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ นิดนึง วัน จันทร์ ที่ 22 พฤศจิกายน 2542 10:37:56

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ sorankit วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 07:59:22

อ่านแล้วเหมือนกำลังนั่งฟังเลยครับ ทั้งภาษาสนทนานั้น เป็นลักษณะ
การพูดของหลวงตาเลย นึกถึงในเทปธรรมะของหลวงตา ตอนที่
หลวงตาเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ของท่านเอง แล้วท่านไปเรียน
ถวายหลวงปู่มั่น  ฟังแล้วคึกคักทั้งอยากรู้อยากเห็นในธรรมที่ท่าน
เล่า อันนี้ก็เหมือนกัน อ่านแล้วรื่นเริงดีจังครับ
ชิม


โดยคุณ sorankit วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 07:59:22

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 18:28:08

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 20:45:03

ขอบพระคุณค่ะ

โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน อังคาร ที่ 23 พฤศจิกายน 2542 20:45:03

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน พุธ ที่ 24 พฤศจิกายน 2542 18:05:00

^-^ _/|\_

โดยคุณ นกเอี้ยง วัน พุธ ที่ 24 พฤศจิกายน 2542 18:05:00

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ Lee วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤศจิกายน 2542 18:02:07

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ filmman วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 23:22:08

เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ filmman วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 23:22:33

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ พุทธบุตร วัน ศุกร์ ที่ 3 ธันวาคม 2542 03:44:11

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ kobe วัน ศุกร์ ที่ 17 ธันวาคม 2542 21:50:39
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com