กลับสู่หน้าหลัก

ประสบการณ์เพี้ยนๆของคนปฏิบัติคนนึง

โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 16:38:07

เห็นในกระทู้ข้างล่าง คุณอาสันตินันท์บอกว่า
ลองให้มาเล่าประสบการณ์ภาคสนามดู
ก็เลยมีเรื่องนึง ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่นานนี้เอง
มาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครมีข้อแนะนำ ตักเตือน ก็เชิญเลยนะคะ

โดยปกติแล้ว ในการปฏิบัติที่เป็นกิจวัตร
ระหว่างวันเวลาทำงานก็จะตามลมหายใจและตามกายซะส่วนใหญ่
พอกลับถึงบ้าน โดยประมาณ 2 ทุ่ม ก็จะเริ่มต้นภาวนาไปเรื่อย
จนจะมาอาบน้ำเข้านอนประมาณ 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืน
มีอยู่คืนนึง วันนั้นไม่มีใครอยู่บ้าน สงบเงียบแบบนี้หาได้ยากเหลือเกิน
เพราะปกติที่บ้านจะดูทีวีกันเสียงดัง เหมือนเป็นบ้านหูแตก
ก็เลยเห็นว่าเหมาะ... เลยนั่งหลับตาภาวนาตอนประมาณ 2 ทุ่ม
นั่งไปเรื่อย จนกระทั่ง 3 ทุ่ม จึงเปลี่ยนไปเดินจงกรม
ก็เดินไปเรื่อย นานเท่าไหร่ไม่รู้...
เดินไปจนเห็นความอยากเลิกเดิน พอเห็นเท่านั้น ความอยากเลิกก็ดับไป
กลับเห็นความเสียดาย ที่ความอยากเลิกดับไปแทน
พอความเสียดายดับไป ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ย้อนดูในใจ ตอนนั้นมันเฉยๆมาก
จนมาเห็นความอยากเลิกอีก เป็นรอบที่ 2
แต่ก็เป็นเหมือนเดิมอีก สรุปเลยเดินต่อไป สังเกตดูใจก็ยังเฉยๆอีกเหมือนเดิม
สังเกตเห็นว่า ความรู้สึกอะไรต่างๆที่เข้ามากระทบ
หายไปอย่างรวดเร็ว เช่น รู้สึกคัน อยากยกมือขึ้นเกา
พอเห็นความอยากยก มันก็ดับ ก็ไม่ได้เกา
รู้สึกหิวน้ำ ก็รู้สึกได้เพียงครู่เดียว ก็ดับไป
เดินจนเมื่อยไปหมด อยากบิดคอ พอแหงนหน้าขึ้น
คอก็กลับมาตั้งตรง ก้มหน้านิดนึงเหมือนเดิม
เรียกว่าอยากเปลี่ยนอิริยาบถยังไง
ก็จะกลับมาเป็นท่าเดิมคือ เดินตัวตรง ก้มหน้านิดหน่อย
ตามองตรง เหมือนเดิมตลอด เราก็ชักแปลกใจแล้ว
แม้แต่ความแปลกใจก็ไม่อยู่นาน
เดินจนรู้สึกว่า เอ๊ะ ชักไม่ไหว เมื่อยก็เมื่อย
จนได้ยินเสียงนาฬิกาตี 5 ทุ่มแล้ว เราก็คิดว่า
เอาละ ปล่อยไปอีกซักพัก เดี๋ยวค่อยเลิก
เดินจนปวดขา อยากหยุดยืนเฉยๆ  ก็หยุดไม่ได้
เห็นตัวเองฝืนหยุดยืนได้เพียงครู่เดียว ก็สังเกตเห็นเท้าตัวเองค่อยๆขยับ
ก้าวเดินไปข้างหน้าต่ออีก เป็นอย่างนี้อยู่ 2 - 3 ครั้ง
จนคิดว่าไม่ได้การ ตั้งใจว่า เดี๋ยวเดินไปใกล้บันได
จะวิ่งหนีลงไป แต่ว่าพอเดินไปใกล้ เบี่ยงตัวได้เพียงนิดเดียว ก็ต้องหันกลับมาเดินต่อ
เดินต่อไป.... จนต้องฝืนเดินลงบันไดไปจะถึงห้องนอนแล้ว
ก็เห็นตัวเอง หันกลับเดินขึ้นบันได มาเดินต่อไปอีก
เรียกว่าคืนนั้นเดินจนโทรม  เดินจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น
ก็เห็นว่ามือค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมายืนตรง แล้วเดินต่อไป
ขนาดฝืนเดินไปถึงห้องน้ำจะอาบน้ำแล้ว
ก็เห็นว่า หันตัวจะเปิดประตู เดินขึ้นข้างบนเพื่อไปเดินต่ออีก
จนต้องเดินจงกรมต่อในห้องน้ำ ตอนนั้นก็เป็นเวลาตี 1 กว่าๆแล้ว
พออาบน้ำอาบท่าเสร็จ เข้านอน พอล้มตัวลงนอน
กายข้างนอกมันคงเพลียจัด สังเกตเห็นว่า
ข้างนอกหลับลงอย่างรวดเร็ว แต่ข้างในยังลืมตาโพลง
เลยมีโอกาสเห็นตัวเองนอนอ้าปากหวอด้วย

ตื่นเช้ามา ก็เป็นเหมือนเดิม ขับรถไปทำงาน ก็เห็นว่า
อยากหันไปโน่นไปนี่ไม่ได้เลย นั่งคอตรง ตามองข้างหน้าอย่างเดียว
มีบ้างที่หันไปโน่นไปนี่ แต่ว่าคอค่อยๆหันไปเอง
สังเกตว่า จะหันไปมองแต่ ท้องฟ้า ต้นไม้ ดอกไม้ แล้วหันกลับมานั่งยิ้ม
นั่งขับรถไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าคอค่อยๆเอียงลงไปทางขวา
ใจก็สงสัยเอ๊ะ ทำไมต้องนั่งขับรถคอเอียงด้วย
ดึงคอกลับมานั่งตรงๆใหม่ คอก็เอียงลงไปอีกท่าเดิม
ตอนนั้นใจก็เลยนึก อ๋อ นี่นั่งเลียนแบบท่าหลวงปู่เหรียญนี่นา
(เพิ่งไปกราบหลวงปู่เหรียญมาเมื่อวัน 2 วันเองค่ะ)
เช้าวันนั้นเลยนั่งขับรถคอเอียงไปตลอดทางเลย
(รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนติงต๊องยังไงก็ไม่รู้)

มาถึงบริษัทส่งเมล์ไปหาคุณอาสันตินันท์ เล่าความเพี้ยนทั้งหมดให้ฟัง
คุณอาท่านก็กรุณาตอบมาว่า จิตเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้
คุณอาท่านบอกว่า มันเกิดจากความตั้งใจมากเกินไป ความคาดหวังมาก
ความเพียรล้ำหน้ามากไปหน่อย อินทรีย์/พละ 5 ไม่เสมอกัน
ตอนนี้อยากให้ปฏิบัติไปอย่างสบายๆ อย่าให้เคร่งเครียด
พอทราบเท่านั้น ก็นั่งหัวเราะเอิ้กเลย
คืนนั้นกลับมาบ้านก็เลยว่า วันนี้หยุดซักวัน เดินทรหดมานานแล้ว
แต่นั่งไปนั่งมา เอ๊ะ ชักไม่ดี หยุดท่าจะไม่ดี นั่งภาวนาซักนิดก็ยังดีน่า
เลยเดินขึ้นห้องจะไปนั่งภาวนา ทางเดินนั้นต้องผ่านที่เดินจงกรม
จึงเห็นเจ้าตัว "ความอยากเดินจงกรม" คาตาเลย
ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน พอยืนอยู่จนความอยากเดินดับไป
จึงค่อยเดินจงกรม ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า
ความรู้ตัวของเมื่อวาน กับวันนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อวาน มันเหมือนกับดาบซามูไร อะไรจรเข้ามาฟันฉับ หมดเกลี้ยงเลย
ไม่เหลือความรู้สึกอะไรเลย เป็นความรู้ตัวแบบกระด้างมาก
แต่วันนี้ มันเป็นความรู้ตัวแบบสบายๆ เห็นอารมณ์ต่างๆแบบสบายๆ
นุ่มนวล ต่างกันมาก ถึงได้ถึงบางอ้อ...
เช้ามาจึงได้คุยกับคุณอาสันตินันท์ ท่านก็กรุณาบอกมาว่า
(ขออนุญาตคุณอายกคำแนะนำสั่งสอนมาเล่าให้เพื่อนๆฟังตรงนี้ด้วยนะคะ)
"การเจริญสติปัฏฐานนั้น ต้องทำด้วยจิตที่เตรียมพร้อมไว้ดีแล้ว
ไม่ใช่ทำด้วยกิเลสตัณหาพาไป มิฉะนั้นจะแย่ ยิ่งเดินมากเดินนาน
มานะอัตตามันจะยิ่งโต เพราะที่นานนั้นมันนานแช่กิเลส
การปฏิบัติมีแต่ต้องรู้ทันจิตใจตนเอง อย่าไว้หน้ากิเลสเป็นอันขาด
ยิ่งหน้าตาดูดี ธัมมะธัมโมเท่าไหร่ ยิ่งต้องระวังเท่านั้น เช่น ความสงบ
ความรู้ตัวเด่นชัด นี่ต้องระวังให้มาก มันรู้แบบไหน กระด้างหรือเปล่า
ถ้ารู้ไม่ทันก็เป็นอาหารของกิเลสหมด"


นับจากวันนั้นเลยได้บทเรียนบทใหม่เพิ่มเติมมาอีก
ทำให้รู้สึกว่า ต้องมีสติ คอยสอดส่องดูจิตใจตนเองให้ดี
หลังจากนั้น ก็มาเห็นเจ้าตัวความอยากนั่งสมาธิอีก
ถึงกับนั่งส่ายหัว ที่นับวันจะพบแต่ความอยากในการปฏิบัติของตัวเเองมากมายเหลือเกิน

เล่ามาซะยืดยาว หวังว่าคงไม่เบื่อซะก่อนกับคนต๊องๆ ที่ปฏิบัติแบบผิดบ้างถูกบ้าง
ก็หวังว่า ประสบการณ์แบบนี้ คงจะเป็นอุทาหรณ์แก่เพื่อนๆร่วมปฏิบัติบ้างนะคะ
























เห็นในกระทู้ข้างล่าง คุณอาสันตินันท์บอกว่า
ลองให้มาเล่าประสบการณ์ภาคสนามดู
ก็เลยมีเรื่องนึง ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่นานนี้เอง
มาเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครมีข้อแนะนำ ตักเตือน ก็เชิญเลยนะคะ

โดยปกติแล้ว ในการปฏิบัติที่เป็นกิจวัตร
ระหว่างวันเวลาทำงานก็จะตามลมหายใจและตามกายซะส่วนใหญ่
พอกลับถึงบ้าน โดยประมาณ 2 ทุ่ม ก็จะเริ่มต้นภาวนาไปเรื่อย
จนจะมาอาบน้ำเข้านอนประมาณ 5 ทุ่มถึงเที่ยงคืน
มีอยู่คืนนึง วันนั้นไม่มีใครอยู่บ้าน สงบเงียบแบบนี้หาได้ยาก
เพราะปกติที่บ้านจะดูทีวีกันเสียงดัง เหมือนเป็นบ้านหูแตก
ก็เลยเห็นว่าเหมาะ... เลยนั่งหลับตาภาวนาตอนประมาณ 2 ทุ่ม
นั่งไปเรื่อย จนกระทั่ง 3 ทุ่ม จึงเปลี่ยนไปเดินจงกรม
ก็เดินไปเรื่อย นานเท่าไหร่ไม่รู้...
เดินไปจนเห็นความอยากเลิกเดิน พอเห็นเท่านั้น ความอยากเลิกก็ดับไป
กลับเห็นความเสียดาย ที่ความอยากเลิกดับไปแทน
พอความเสียดายดับไป ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ย้อนดูในใจ ตอนนั้นมันเฉยๆมาก
จนมาเห็นความอยากเลิกอีก เป็นรอบที่ 2
แต่ก็เป็นเหมือนเดิมอีก สรุปเลยเดินต่อไป สังเกตดูใจก็ยังเฉยๆอีกเหมือนเดิม
สังเกตเห็นว่า ความรู้สึกอะไรต่างๆที่เข้ามากระทบ
หายไปอย่างรวดเร็ว เช่น รู้สึกคัน อยากยกมือขึ้นเกา
พอเห็นความอยากยก มันก็ดับ ก็ไม่ได้เกา
รู้สึกหิวน้ำ ก็รู้สึกได้เพียงครู่เดียว ก็ดับไป
เดินจนเมื่อยไปหมด อยากบิดคอ พอแหงนหน้าขึ้น
คอก็กลับมาตั้งตรง ก้มหน้านิดนึงเหมือนเดิม
เรียกว่าอยากเปลี่ยนอิริยาบถยังไง
ก็จะกลับมาเป็นท่าเดิมคือ เดินตัวตรง ก้มหน้านิดหน่อย
ตามองตรง เหมือนเดิมตลอด เราก็ชักแปลกใจแล้ว
แม้แต่ความแปลกใจก็ไม่อยู่นาน
เดินจนรู้สึกว่า เอ๊ะ ชักไม่ไหว เมื่อยก็เมื่อย
จนได้ยินเสียงนาฬิกาตี 5 ทุ่มแล้ว เราก็คิดว่า
เอาละ ปล่อยไปอีกซักพัก เดี๋ยวค่อยเลิก
เดินจนปวดขา อยากหยุดยืนเฉยๆ  ก็หยุดไม่ได้
เห็นตัวเองฝืนหยุดยืนได้เพียงครู่เดียว ก็สังเกตเห็นเท้าตัวเองค่อยๆขยับ
ก้าวเดินไปข้างหน้าต่ออีก เป็นอย่างนี้อยู่ 2 - 3 ครั้ง
จนคิดว่าไม่ได้การ ตั้งใจว่า เดี๋ยวเดินไปใกล้บันได
จะวิ่งหนีลงไป แต่ว่าพอเดินไปใกล้ เบี่ยงตัวได้เพียงนิดเดียว ก็ต้องหันกลับมาเดินต่อ
เดินต่อไป.... จนต้องฝืนเดินลงบันไดไปจะถึงห้องนอนแล้ว
ก็เห็นตัวเอง หันกลับเดินขึ้นบันได มาเดินต่อไปอีก
เรียกว่าคืนนั้นเดินจนโทรม  เดินจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น
ก็เห็นว่ามือค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นมายืนตรงแล้วเดินต่อไป
ขนาดฝืนเดินไปถึงห้องน้ำจะอาบน้ำแล้ว
ก็เห็นว่า หันตัวจะเปิดประตู เดินขึ้นข้างบนเพื่อไปเดินต่ออีก
จนต้องเดินจงกรมต่อในห้องน้ำ ตอนนั้นก็เป็นเวลาตี 1 กว่าๆแล้ว
พออาบน้ำอาบท่าเสร็จ เข้านอน พอล้มตัวลงนอน
กายข้างนอกมันคงเพลียจัด สังเกตเห็นว่า
ข้างนอกหลับลงอย่างรวดเร็ว แต่ข้างในยังลืมตาโพลง
เลยมีโอกาสเห็นตัวเองนอนอ้าปากหวอด้วย

ตื่นเช้ามา ก็เป็นเหมือนเดิม ขับรถไปทำงาน ก็เห็นว่า
อยากหันไปโน่นไปนี่ไม่ได้เลย นั่งคอตรง ตามองข้างหน้าอย่างเดียว
มีบ้างที่หันไปโน่นไปนี่ แต่ว่าคอค่อยๆหันไปเอง
สังเกตว่า จะหันไปมองแต่ ท้องฟ้า ต้นไม้ ดอกไม้ แล้วหันกลับมานั่งยิ้ม
นั่งขับรถไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าคอค่อยๆเอียงลงไปทางขวา
ใจก็สงสัยเอ๊ะ ทำไมต้องนั่งขับรถคอเอียงด้วย
ดึงคอกลับมานั่งตรงๆใหม่ คอก็เอียงลงไปอีกท่าเดิม
ตอนนั้นใจก็เลยนึก อ๋อ นี่นั่งเลียนแบบท่าหลวงปู่เหรียญนี่นา
(เพิ่งไปกราบหลวงปู่เหรียญมาเมื่อวัน 2 วันเองค่ะ)
เช้าวันนั้นเลยนั่งขับรถคอเอียงไปตลอดทางเลย
(รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนติงต๊องยังไงก็ไม่รู้)

มาถึงบริษัทส่งเมล์ไปหาคุณอาสันตินันท์ เล่าความเพี้ยนทั้งหมดให้ฟัง
คุณอาท่านก็กรุณาตอบมาว่า จิตเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้
คุณอาท่านบอกว่า มันเกิดจากความตั้งใจมากเกินไป ความคาดหวังมาก
ความเพียรล้ำหน้ามากไปหน่อย อินทรีย์/พละ 5 ไม่เสมอกัน
ตอนนี้อยากให้ปฏิบัติไปอย่างสบายๆ อย่าให้เคร่งเครียด
พอทราบเท่านั้น ก็นั่งหัวเราะเอิ้กเลย
คืนนั้นกลับมาบ้านก็เลยว่า วันนี้หยุดซักวัน เดินทรหดมานานแล้ว
แต่นั่งไปนั่งมา เอ๊ะ ชักไม่ดี หยุดท่าจะไม่ดี นั่งภาวนาซักนิดก็ยังดีน่า
เลยเดินขึ้นห้องจะไปนั่งภาวนา ทางเดินนั้นต้องผ่านที่เดินจงกรม
จึงเห็นเจ้าตัว "ความอยากเดินจงกรม" คาตาเลย
ถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน พอยืนอยู่จนความอยากเดินดับไป
จึงค่อยเดินจงกรม ถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า
ความรู้ตัวของเมื่อวาน กับวันนี้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อวาน มันเหมือนกับดาบซามูไร อะไรจรเข้ามาฟันฉับ หมดเกลี้ยงเลย
ไม่เหลือความรู้สึกอะไรเลย เป็นความรู้ตัวแบบกระด้างมาก
แต่วันนี้ มันเป็นความรู้ตัวแบบสบายๆ เห็นอารมณ์ต่างๆแบบสบายๆ
นุ่มนวล ต่างกันมาก ถึงได้ถึงบางอ้อ...
เช้ามาจึงได้คุยกับคุณอาสันตินันท์ ท่านก็กรุณาบอกมาว่า
(ขออนุญาตคุณอายกคำแนะนำสั่งสอนมาเล่าให้เพื่อนๆฟังตรงนี้ด้วยนะคะ)
"การเจริญสติปัฏฐานนั้น ต้องทำด้วยจิตที่เตรียมพร้อมไว้ดีแล้ว
ไม่ใช่ทำด้วยกิเลสตัณหาพาไป มิฉะนั้นจะแย่ ยิ่งเดินมากเดินนาน
มานะอัตตามันจะยิ่งโต เพราะที่นานนั้นมันนานแช่กิเลส
การปฏิบัติมีแต่ต้องรู้ทันจิตใจตนเอง อย่าไว้หน้ากิเลสเป็นอันขาด
ยิ่งหน้าตาดูดี ธัมมะธัมโมเท่าไหร่ ยิ่งต้องระวังเท่านั้น เช่น ความสงบ
ความรู้ตัวเด่นชัด นี่ต้องระวังให้มาก มันรู้แบบไหน กระด้างหรือเปล่า
ถ้ารู้ไม่ทันก็เป็นอาหารของกิเลสหมด"

นับจากวันนั้นเลยได้บทเรียนบทใหม่เพิ่มเติมมาอีก
ทำให้รู้สึกว่า ต้องมีสติ คอยสอดส่องดูจิตใจตนเองให้ดี
หลังจากนั้น ก็มาเห็นเจ้าตัวความอยากนั่งสมาธิอีก
ถึงกับนั่งส่ายหัว ที่นับวันจะพบแต่ความอยากในการปฏิบัติของตัวเเองมากมายเหลือเกิน

เล่ามาซะยืดยาว หวังว่าคงไม่เบื่อซะก่อนกับคนต๊องๆ ที่ปฏิบัติแบบผิดบ้างถูกบ้าง
ก็หวังว่า ประสบการณ์แบบนี้ คงจะเป็นอุทาหรณ์แก่เพื่อนๆร่วมปฏิบัติบ้างนะคะ

























กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 16:43:52

อูยขอโทษค่ะ กดซ้ำไปหน่อย

โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 16:43:52

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 19:37:18

ขออนุโมทนาในความตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมของคุณ กระต่ายด้วยครับ : )  

โดยคุณ ทองจันทร์ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 19:37:18

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ tana วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 20:29:58

ไม่ออกความเห็น ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ บิ๊ก วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 21:17:53

ขอบคุณครับพี่ต่าย อ่านแล้วได้สาระมากเลยครับ

โดยคุณ บิ๊ก วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 21:17:53

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ แมวแก่ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 23:20:55

ถึงแม้จะทราบเรื่องนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกเบื่อหรือ
หายประหลาดใจระคนทึ่งไปในเวลาเดียวกันเลยครับ
ความเพียรช่างเป็นเลิศ น่านับถือจริงๆ :-)


โดยคุณ แมวแก่ วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤศจิกายน 2542 23:20:55

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ สันตินันท์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2542 05:41:19

สาธุครับ ต่าย
ขยันภาวนาดีมากทีเดียว

มีจุดหนึ่งที่ควรสังเกตเพิ่มเติมก็คือ
เวลาที่เราจะทำอะไร แล้วเกิดไปเห็นความอยากเข้า
เมื่อความอยากดับไปแล้ว เราก็ไม่ทำสิ่งนั้นเลย
อันนี้ยังไม่ถูกต้องนัก

การที่รู้ทันความอยากนั้นดีมากแล้ว
แต่เมื่อรู้แล้ว จะทำสิ่งนั้นหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้ามีเหตุผลสมควร เราก็ต้องทำ
เพราะการกระทำของผู้ปฏิบัตินั้น กระทำด้วยปัญญา เห็นเหตุผลความจำเป็น
ไม่ใช่ต้องมีความอยากจึงจะกระทำได้
ซึ่งพอดูๆ จนความอยากดับ เลยกระทำอะไรไม่ได้เลย
ม่ายยั้งงั้น พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ท่านคงนั่งแข็งทื่อไปหมดทุกองค์
เพราะท่านปราศจากความอยากเสียแล้ว

หากจะปฏิเสธการกระทำทุกสิ่ง เพราะไม่อยากทำตามความอยาก
ทั้งที่มีเหตุผลสมควรกระทำ
จะกลายเป็นทิฏฐิประเภทที่ว่า อะไรๆ ก็ไม่สมควรแก่เรา
ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านทรงชี้ให้เห็นว่า
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ความคิดปฏิเสธทุกรูปแบบนี้ ก็ไม่สมควรแก่เธอด้วย

อย่างการที่เราตั้งใจปฏิบััตินั้นก็เป็นความอยากเหมือนกัน
แต่มันมีเหตุผลสมควร เราก็ต้องทำ
และควรทำให้มาก ด้วยอิทธิบาท คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
โดยมี โยนิโสมนสิการ หรือการใช้สติปัญญาอย่างแยบคายเป็นผู้กำกับดูแลอยู่

สาธุให้ต่าย อีกคราวหนึ่งครับ


โดยคุณ สันตินันท์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2542 05:41:19

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ สันตินันท์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2542 05:44:41

ว่าจะใส่สีข้อความนี้เสียหน่อย แล้วลืมไปครับ

หากจะปฏิเสธการกระทำทุกสิ่ง เพราะไม่อยากทำตามความอยาก


โดยคุณ สันตินันท์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤศจิกายน 2542 05:44:41

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 08:02:41

ในโลกปัจจุบัน คงมักจะเข้าใจผิดไปว่า เมื่อเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว จักไม่ทำอีกหลายๆอย่าง เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือเกา หรือบางคนถึงกับบอกว่า ต้องไม่หิว เป็นต้น

หากใครไปทำเข้า ก็ปรับว่า ไม่ใช่ผู้สิ้นกิเลส แท้จริงแล้วหากเขาเพียงเข้าใจ (แม้จะยังทำไม่ได้) ใน โยนิโส มนสิการ เขาจะไม่พูดเช่นนั้นเลย


โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 08:02:41

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 08:04:46

สาธุค่ะ ต่าย และกราบขอบพระคุณพี่สันตินันต์มากค่ะ

โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 08:04:46

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ tantan วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 10:05:03

ต๊านอ่านดูแล้ว รู้สึกตรงข้ามกับตัวเองสิ้นเชิงเลยค่ะ
ถ้าขยันได้ครึ่งของพี่กระต่ายก็ยังดีค่ะ ต๊านจะพยายามต่อไปนะคะ
แล้วจะลองเปลี่ยนตัวเองดูค่ะ
สาธุ พี่กระต่าย และ อาสันตินันท์ค่ะ


โดยคุณ tantan วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 10:05:03

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ กระต่าย วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 11:09:15

มีหลายคนมาถามว่าจะมีเรื่องเล่าต่ออีกไม๊
ใจก็เลยคิดว่า เอ... เรามีบทเรียนเยอะ ท่าจะเอามาแบ่งเป็นประสบการณ์ร่วมท่าจะดี

เอาเป็นว่าเมื่อวันที่หลังจากเดินจงกรมแบบ non-stop แล้วนั้น
สิ่งที่ตามมาคือง่วงนอนแบบเอาเป็นเอาตายเลย
นั่งทำงานอยู่ก็ง่วง ใจก็คิดว่า  สงสัยนอนวันละ 4 ชม.นี่มันน้อยไปละมั้ง
มีใครเค้าปฏิบัติธรรมแล้วมานั่งง่วงไม๊นี่........เราต้องทำแค่ไหนหนอ มันจึงจะพอดี
(ก่อนหน้านี้ไม่ง่วงเลย ใจเลยว่า เออ เรานี่แน่นะ
ทำงานหนักทั้งวัน พอกลับบ้าน ภาวนาเก่งถึงตี 1 อีก
แถมบางวันคุ้มดีคุ้มร้าย ตื่นตี 4 ตี 5 มาเดินจงกรมอีก :>
และขอสารภาพอีกหน่อย คือไปรับรู้มาว่า ครูบาอาจารย์เรา
ท่านภาวนาทั้งวันทั้งคืน นอนเพียงนิดเดียว
เราก็ยึดมาทำตามบ้าง โดยที่ไม่ได้ดูตัวเองเลย
มีแต่ ความอยาก เอาแบบท่าน )
สรุปเลยว่า คนเพี้ยนๆคนนี้ เลยง่วงไป 3 วันติดๆกัน
นั่งทำงานต้องคอยฟุบหน้าลง หลับตาดูลมไปเรื่อยๆ รอให้ความง่วงมันหายไป
เป็นอยู่ 3-4รอบถึงตาสว่าง ทำงานต่อได้
มีคืนนึงกลับบ้าน หัวปักลงเตียงตั้งแต่ยังไม่ 2 ทุ่ม
หลับแบบเอาตายเลย ตื่นมาอาบน้ำตอน 5 ทุ่มกว่า
พออาบน้ำเสร็จ มานั่งมึนๆ ยังไม่ตื่นดีพอ
ซักพักก็นั่งอึ้ง เพราะเห็น ความอยากนั่งสมาธิ ของตัวเอง
เกิดดับๆๆอยู่ตั้ง 4-5 รอบ ตกใจว่า เราเป็นขนาดนี้เลยเหรอ
พอความอยากดับไป เลยค่อยนั่งภาวนาต่อ

แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
ขณะขับรถกลับบ้าน พออยู่คนเดียว ใจมันก็คิดถึงบางเรื่องอยู่
ก็สังเกตเห็นหน้าตา ความเพลิน เอ...รู้สึกว่ามันหน้าตาคุ้นๆ
เหมือนเจอเมื่อวันก่อนตอนยืนหวีผม
แต่ไม่เอะใจในความเพลินนั้น
ซักพัก ก็เปลี่ยนเป็น ความสงบ แทน
พอถึงบ้าน อืม....สงบดีแท้ๆ เดินจงกรมดีกว่า
จึงแว่บขึ้นไปเดินจงกรม เดินไปเดินมา
จนรู้สึกเหลือเพียงแต่ขาเท่านั้น ตัวเบา จมูกโล่งไปหมด
ซักพักก็สังเกตเห็นความชอบเกิดดับเกิดดับอยู่หลายหน
พอชอบดับไป ก็เห็นความเพลินแทน หน้าตาเดียวกับเมื่อตอนที่ขับรถเลย
พอซักพัก เราคงเพลินไปหน่อย ถึงเพิ่งสังเกตว่า
มีแรงกดทับลงมา แล้วความรู้สึกอีกทีก็เหมือนถูกครอบ
ค่อยๆครอบลงมาจนมิด ความรู้ตัวไม่ชัดเจนเลย
ตกกลางคืน เดินจงกรมต่อ ก็เห็นว่ายังคงคาอยู่
เดินไปเดินมา นึกว่าคลายไปแล้ว
จนเช้ามาได้พบกับคุณอาสันตินันท์ เราก็เดินสงบยิ้มเย็นไปหาเลย
มั่นใจสิ วันนี้ ต้องถูกทักว่าดีแน่ ที่ไหนได้ คุณอาบอกว่ามันยังอยู่
เลยมานั่งเงียบๆอยู่ข้างหลังคุณอา ยิ้มเจื่อนๆ
นั่งคุยไปคุยมา จนมีคนทักว่า ทำไมวันนี้เสียงเย็นอีกแล้ว
เราก็หัวเราะเอิ้กเลย ได้ผล สิ่งที่ครอบอยู่ หลุดผลัวะไปเลย
กลายเป็นคนเพี้ยนๆเหมือนเดิม
แต่พอนั่งเฉยๆซักพัก ก็สังเกตเห็นว่าความสงบ (คุณอาบอกว่าแบบโมหะ)
ค่อยๆคลืบคลานเข้ามาครอบอีก
(คุณอาสันตินันท์บอกว่านี่แหละตัวดี ให้ระวังให้หนัก ค่อยๆสังเกตไป)

เช้ามานั่งพิจารณาถึงปริศนาธรรมของคุณอาถึงเรื่องที่ว่า
"หากจะปฏิเสธการกระทำทุกสิ่ง เพราะไม่อยากทำตามความอยาก
ทั้งที่มีเหตุผลสมควรกระทำ
จะกลายเป็นทิฏฐิประเภทที่ว่า อะไรๆ ก็ไม่สมควรแก่เรา
ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านทรงชี้ให้เห็นว่า
ถ้าเช่นนั้นแล้ว ความคิดปฏิเสธทุกรูปแบบนี้ ก็ไม่สมควรแก่เธอด้วย"

ถึงนั่งสังเกตตัวเอง และพบว่า เอ๋...เรามันอยากละความอยากนี่นา
เราไม่อยากทำตามความอยาก
ซึ่งตอนแรกก็หลงเข้าใจว่า อืม...เรานี่ตัณหาเบาบางลงดีจริงๆ
น่าละอายใจจริงๆเลยนะเนี่ย
พอยิ่งนั่งสังเกตยิ่งเห็นว่า  การปฏิบัติของตัวเองนั้น
ไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย เห็นมีแต่ตัวตนของคนปฏิบัติแทรกเข้ามาตลอด
คนที่คอยตั้งใจดูลมหายใจ คนที่คอยมารู้รสชาดอาหาร
คนที่คอยอยากรู้ว่า ตัวเองยังมีความอยากอยู่อีกไม๊
คนที่คอยดูว่า ได้กลิ่นอะไร เรายังมีความอยากไม๊
หลังจากนั้น ถึงเห็นว่า โถ..จริงๆแล้ว
เรายังมีความอยากในแทบจะทุกๆเสี้ยววินาทีเลย

ในที่สุด คนเพี้ยนๆคนนี้ ก็ยังคงมีกิเลสหนาเตอะเหมือนเดิม
ใจหวังว่า บทเรียนต่างๆที่ได้เล่ามา คงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆร่วมปฏิบัติบ้างนะคะ
และขออนุญาตย้ำคำเตือนของคุณอาสันตินันท์อีกทีนึง
เพื่อตรึกลงในสัญญาของตัวเองด้วยว่า
"อย่างการที่เราตั้งใจปฏิบััตินั้นก็เป็นความอยากเหมือนกัน
แต่มันมีเหตุผลสมควร เราก็ต้องทำ
และควรทำให้มาก ด้วยอิทธิบาท คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
โดยมี โยนิโสมนสิการ หรือการใช้สติปัญญาอย่างแยบคายเป็นผู้กำกับดูแลอยู่"

















โดยคุณ กระต่าย วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 11:09:15

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ นิดนึง วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 13:21:32

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 13:27:39

กับโมหะนั้น เราดูไปตรงๆอย่าง โทสะ หรือ โลภะ หรือ ราคะ หรือความ เพลินๆ ไม่ได้หรอกนะกระต่าย แต่ต้องให้รู้สึกตัวทั่วถึงจริงๆ จึงจะสังเกตได้ชัดๆครับ และขอเพียงเห็นชัดๆแค่เพียงครั้งเดียว ก็จะจำได้ในอาการของมัน เมื่อมันมาอีก ก็จะรู้ตัว แม้ว่าบางครั้งไม่ชัดก็รู้

โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 13:27:39

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 13:35:19

และอีกประการหนึ่ง เมื่อรู้ ให้ สักแต่ว่ารู้ เพราะธรรมชาติของจิตนั้นคือธาตุรู้ จิต ไม่มีหน้าที่สรุปธรรม ไม่มีหน้าที่นิยามธรรม ไม่มีหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์ธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นภาระของจิตทั้งสิ้น

ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีความรู้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรม เพราะธรรมชาติของจิตนั้นเป็นธาตุรู้ ก็ให้เขารู้ไปตามธรรมชาติเท่านั้นพอ สักแต่ว่ารู้ๆๆๆ รู้ไปเท่านั้น

เพราะรู้ธรรมชาติของจิตได้ดังนี้ จึงจะรู้ว่า โลกก็แค่ผัสสะเท่านั้น มีแต่ความเกิดดับ-เกิดดับไป เท่านั้น



โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 13:35:19

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ บิ๊ก วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 13:46:39

ขอบคุณครับ ได้ประโยชน์อีกแล้วครับ

โดยคุณ บิ๊ก วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 13:46:39

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ tantan วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 14:08:43

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ หลังเขา วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 15:01:41

ที่พี่พัลวันพูดก็ถูกครับ
แต่โดยปรกติทั่วไปแล้วผมเองไม่สามารถจะดูเฉยๆได้จริงครับชอบลงไปเล่นกับมันอยู่เรื่อย
ที่ทำอยู่ก็พยายามจะเผชิญผัสสะต่างๆอย่างรู้ตัวเผื่อว่าจะเบื่อมันขึ้นมาสักวันหนึ่ง
แต่ดูๆไปนี่บางทีคล้ายกับการยอมตามใจกิเลสเลยครับ
สิ่งที่ทำๆไปทุกวันนี้ยังเจือกิเลสให้เห็นอยู่เสมอ
แต่คงต้องปลงอย่างที่คุณอาเคยบอกผมว่า

นักปฏิบัติไม่ต้องทำให้ถูกเผงเหมือนพระอรหันต์เป๊ะหรอก เพราะเป็นไปไม่ได้(ประมาณนี้ครับ)

คืออยากบอกว่าที่เราปฏิบัติกันอยู่นี่คือการเดินไปหาเป้าหมายที่กิเลสค่อยๆลดลง
ตอนนี้ยังเป็นไม่ได้ก็ไม่ต้องเลียนแบบดาราจะเอาให้ได้หรอกครับ
หลอกทั้งตัวเองทั้งคนอื่น:)


โดยคุณ หลังเขา วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 15:01:41

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ หลังเขา วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 15:03:45

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ นุดี วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 17:55:41

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 19:19:46

ถ้าไม่เป็นภาระมากไป  ต่ายกลับมาเล่าอีกนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ


โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน จันทร์ ที่ 29 พฤศจิกายน 2542 19:19:46

ความเห็นที่ 28 โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 30 พฤศจิกายน 2542 08:09:20

(๏) สาธุครับ : )

โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 30 พฤศจิกายน 2542 08:09:20

ความเห็นที่ 29 โดยคุณ ปิ่น วัน อังคาร ที่ 30 พฤศจิกายน 2542 18:31:42

ขอบคุณครับ

โดยคุณ ปิ่น วัน อังคาร ที่ 30 พฤศจิกายน 2542 18:31:42

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ นอย วัน พุธ ที่ 1 ธันวาคม 2542 00:34:03

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 31 โดยคุณ Lek วัน พุธ ที่ 1 ธันวาคม 2542 13:53:21

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 32 โดยคุณ tana วัน ศุกร์ ที่ 3 ธันวาคม 2542 00:03:53

ไม่ออกความเห็น ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 33 โดยคุณ พุทธบุตร วัน เสาร์ ที่ 4 ธันวาคม 2542 14:13:06

สาธุในกุศลจิตแห่งการปฏิบัติอย่างเอาจริงนัก

โดยคุณ พุทธบุตร วัน เสาร์ ที่ 4 ธันวาคม 2542 14:13:06

ความเห็นที่ 34 โดยคุณ flower22 วัน อังคาร ที่ 25 มกราคม 2543 19:33:15
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com