กลับสู่หน้าหลัก

ด้วยความอยากรู้ ขอคำแนะนำอธิบายจากเพื่อนนักปฏิบัติครับ

โดยคุณ ทองคำขาว วัน พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2542 02:32:13

ขอถามความรู้เพื่อนๆนักปฏิบัติทั้งหลาย
ซึ่งความรู้ก็ไม่เกี่ยวกับทางสู่การพ้นทุกข์แต่อย่างใด
แต่ขอรู้เพื่อแก้ความอยากรู้หน่อยครับ

เมื่อวานผมได้ลงภาวนาเพียรดู
จนเมื่อถึงช่วงที่จิตตั้งมั่นในชั้นต้น ในชั้นกลางเป็นลำดับ
แต่ด้วยเกิดมีแรงอธิษฐานหรือความตั้งใจเพียร
มาเสริมกำกับไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
ชนิดที่ไม่ได้ตั้งใจแต่ก่อนภาวนาแต่เกิดขึ้นเองระหว่างภาวนา
(ตรงนี้เข้าใจว่าจะแตกต่างกันไปในแต่ละท่าน
บางท่านเมื่อผ่านความสงบในชั้นต้นด้วยคำบริกรรมภาวนา
จะเกิดการละคำบริกรรมแล้วก็ตาม
แต่เมื่อผ่านถึงจุดนึงจะเกิดความไหวรู้ขึ้นมาเอง
เตือนให้ใช้คำภาวนากำกับอยู่เพื่อไม่ให้ออกนอกทาง
สู่ความเผลอที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ
หรือ อย่างบางท่านเมื่อผ่านสู่ชั้นละเอียดนี้
ก็อาจเกิดความรู้เตือนขึ้นว่าให้ตั้งมั่นตลอดอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเพียรระวังไม่ให้เกิดความเผลอละเอียดขึ้นเลย
ซึ่งก็คือเป็นการกำหนดตั้งใจที่จะรู้ไปที่รู้เลย
และช่วยลดภาระแก่จิตไปด้านหนึ่ง
แต่ตรงนี้ก็ต้องแล้วแต่คนจะชำนาญด้านไหนมา)

เมื่อมีกำลังส่วนนี้มาเสริมเข้า
จิตเขาเลยสามารถตัดรู้ผ่านโมหะชนิดงัวเงียระดับกลางๆ
ที่ยังเป็นกระแสใหญ่อยู่ให้กลายเป็นระลอกเล็กลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงสภาพจิตมีกำลังมากขึ้นเรื่อยๆเป็นลำดับ
แต่ก็ยังมีความเผลอละเอียด
คือ โมหะความมัวน้อยนิด รวมทั้ง สัญญาชนิดดั่งปุยเมฆ
ก็ยังมีเข้ามากระทบให้จิตรู้ได้เสมอๆ
แต่ด้วยจิตที่มีมหาสติมาคั่นมีกำลังมากกว่า
ความเผลอละเอียดนี้ก็ดับวับไปต่อหน้าต่อตา
แล้วจิตกลับมาทรงรู้ต่อ
แต่อย่างไรก็ไม่นานจิตมันยังไม่อิ่ม
มันยังหิวที่อยากรู้อยู่ ก็เกิดการไหวไปเผลออีก
ซึ่งเมื่อพลิกเพียงน้อยนิดเดียว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ระยิบระยับอยู่
บางครั้งถ้าเผลอยาวๆหน่อย
ก็จะปรากฎกลายเป็นธรรมในระดับที่หยาบขึ้นมาอีกชั้น
คือ เป็นคำๆแต่บางเบาอยู่
(แต่ละเอียดกว่าธรรมระดับตรึกตรองพิจารณาธรรม
ที่เป็นคำยาวๆเพื่อสอนจิตให้สงบ
คล้ายเหมือนขบวนรถไฟสายยาว มีควันไฟ คือโมหะหยาบปะกบ)

ผมมองเห็นไม่ทันช่วงระหว่างที่สัญญาได้เกิดขึ้น
ผมได้เห็นแต่ความเผลอกับความมัวที่อยู่ระหว่างนั้น
ตรงช่วงที่เกิดความเผลอ ความมัวขึ้นนั้นช่วงนี้
ตรงนี้ครับที่อยากทราบว่า มันคืออะไร มีอะไรปรากฏคั่นอยู่ครับ

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ tana วัน พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2542 06:21:55

กระทู้ที่ 5  ความเห็นที่ 16
ไม่ทราบว่าใช่หรือเปล่าครับ


โดยคุณ tana วัน พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2542 06:21:55

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2542 07:58:51

จะมารออ่านครับ

ผมไม่แน่ใจว่าจะเหมือนที่ผมเห็นหรือเปล่าครับ แต่หากเห็นว่า ระหว่างรู้อารมณ์หนึ่ง กับอีกอารมณ์หนึ่ง เหมือนมีอะไรสะดุดๆนั้น เคยถามครู ครูบอกว่าเป็นภวังค์ครับ เป็นภวังคจิต และในขณะที่ออกมารู้หลังจากที่ตกภวังค์ไปแล้ว มักมีตัวโมหะรออยู่ครับ ซึ่งตรงนี้บางทีเราก็รู้ได้ครับ ว่ามันเป็นโมหะรออยู่ หากรู้ตัวอยู่ ก็ไม่เกิดปัญหาเผลอ หากไม่รู้ตัวอยู่ก็เกิดปัญหาเผลอ

แต่บางทีก็ไม่เห็นครับ เห็นแต่สภาพธรรมเกิดดับๆๆๆ ไล่เรียงกันไป เหมือนระลอกคลื่นของน้ำที่ถูกลมพัดผ่านอ่อนๆครับ

ผมไม่แน่ใจว่า ที่เล่ามานั้นจะใช่ที่คุณทองคำขาวถามหรือเปล่า เอาไว้เมื่อครูกลับมาจากการเก็บตัวปฎิบัติธรรม คงจะมีคำตอบที่ถูกต้องให้ครับ

ผมก็จะรออ่านเช่นกันครับ


โดยคุณ พัลวัน วัน พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2542 07:58:51

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ Big วัน พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2542 12:10:52

กระทู้นี้ขอรออ่านดีกว่าครับ

โดยคุณ Big วัน พฤหัสบดี ที่ 9 ธันวาคม 2542 12:10:52

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 11:13:10

ตอบไม่ได้เหมือนกันครับ (อิ อิ)
เพราะจิตยังไม่ละเอียดขนาดนั้น อีกอย่างหนึ่งคือ
มันเป็นเรื่องที่รับรู้เฉพาะตน ซึ่งอาจจะสื่อกันด้วยคำพูดไม่ตรงกัน

ทราบแต่ว่าจิตที่ตั้งม่ันจริงๆ นั้นไม่มีเผลอเลยครับ
ทั้งๆ ที่เราไม่มีจงใจจะดู แต่มันเฝ้าระวังของมันเอง เป็นอัตโนมัติ
จิตผู้รู้ที่ยังมีเผลออยู่บ้างนั้น แสดงว่ายังไม่ตั้งมั่นจริงๆ
ยังมีเจตนาอยู่ครับ

คล้ายๆ กับการนอนหลับนะครับ คือเราไม่สามารถกำหนด
ตัวเองได้ให้หลับ ไปเลยนะ ต้องปล่อยให้มันหลับไปเอง
แต่จะแตกต่างจากการหลับ คือ มีความรู้ในอารมณ์อย่างเต็มที่

เพราะถ้าหากเรากำหนดได้ ก็หมายถึงการมีอยู่ของโมหะอวิชชา
คือมี ตัวเราผู้กำหนดจิตอยู่ครับ

ตรงนี้เป็นรอยต่อของสมมุติกับวิมุติ คือจะไปกำหนดกฎเกณฑ์
ด้วยความรู้สึกมีตัวเราไม่ได้ แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็อธิบายไม่ได้
เพราะไม่มีตัวเรา

พูดมาตั้งยาว คงตอบไม่ตรงคำถามหรอกครับ
(ฮา... ก็บอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเฉพาะตน)

ถ้าหาคำตอบไม่ได้ก็อย่าสงสัยไปเลยครับ
รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นๆ มีอาการเป็นอย่างนั้นๆ
เป็นของมันอย่างนั้นเอง เช่นนั้นเอง ก็พอแล้วครับ :)


โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 11:13:10

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 12:20:00

คุณมะขามป้อม ตอบตรงนี้ ชัดเจนมากครับ

สาธุครับ


โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 12:20:00

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ สันตินันท์ วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 15:38:31

อ่านเรื่องการปฏิบัติของหลานทองคำขาวแล้ว
ก็เกิดปีติและอนุโมทนาที่ปฏิบัติได้ละเอียดดี

การปฏิบัติมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละครับ
โดยเฉพาะเรื่อง สติ นั้น ต้องฝึกจนให้มันทำงานเองเป็นอัตโนมัติ
ไม่ต้องจงใจกำหนด
คล้ายๆ กับว่าในภาวะปกติของจิต จิตก็อยู่เฉยๆ
สติสักแต่ระลึกรู้สิ่งที่ผ่านมาผ่านไปตามสบาย
เมื่อใดเห็นสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ชอบมาพากล สติก็จะตั้งตัวปั๊บขึ้นมาทันที
เหมือนอย่างทหารยาม เวลาปกติเฝ้าอยู่ที่ประตู
คนผ่านไปผ่านมาก็สักแต่ว่ารู้เฉยๆ ไม่ต้องคอยเพ่งจ้องละเอียดไปทุกคน
ต่อเมื่อเจอคนที่ดูไม่น่าวางใจ ก็จะสนใจเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ
ถ้าฝึกจนมันเป็นเองอย่างนี้ การปฏิบัติก็สบายขึ้นมากครับ

พูดมาตั้งนาน เป็นการเสริมคุณมะขามป้อม
แต่ยังไม่เข้าเรื่องที่ทองคำขาวถามเลย
นิสับคนแก่ก็อย่างนี้แหละครับ
นึกอะไรได้ต้องรีบเล่าไว้ก่อน เพราะถ้าช้าก็จะลืมเสีย

ที่ทองคำขาวถามว่า
ผมมองเห็นไม่ทันช่วงระหว่างที่สัญญาได้เกิดขึ้น
ผมได้เห็นแต่ความเผลอกับความมัวที่อยู่ระหว่างนั้น
ตรงช่วงที่เกิดความเผลอ ความมัวขึ้นนั้นช่วงนี้
ตรงนี้ครับที่อยากทราบว่า มันคืออะไร มีอะไรปรากฏคั่นอยู่ครับ


ตรงช่วงนั้นเป็นช่วงที่จิต ไม่รู้ ครับ
คืออวิชชามันทำงานครอบงำจิตจนเราไม่เห็นจิต

ที่จริงตรงที่สัญญาเกิดนั้น จะไม่เผลอ ไม่มัวก็ได้
อย่างที่ผมปฏิบัติอยู่นี้ ก็ไม่ได้ห้ามสัญญา
เมื่อตาเห็นรูป รูปสัญญาก็เกิด รู้ว่ารูปอะไร สีอะไร
เมื่อหูได้ยินเสียง สัทสัญญาก็เกิด รู้ว่าเสียงอะไร
เมื่อธัมมารมณ์เกิดขึ้น สัญญาทางใจก็เกิดขึ้น

ตรงที่สัญญาทางตา หู จมูก ลิ้น และกายเกิดขึ้นนั้น
มันอาศัยผัสสะเป็นปัจจัย
แต่การมีผัสสะทางตา หู จมูก ลิ้น และกายนั้น
จะปรากฏเวทนาขึ้นด้วย บางคราวสัญญาก็ไปหมายรู้เวทนานั้น
เป็นการรับรู้ธัมมารมณ์ที่เนื่องด้วยตา หู จมูก ลิ้น และกาย
แต่บางทีทั้งที่ไม่มีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
แต่จิตที่ทรงตัวรู้อยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ปรุงสัญญาผุดวับขึ้นมา
ตรงนี้ห้ามไม่ได้ครับ และไม่ต้องไปห้ามด้วย
เช่นเรากำลังเดินจงกรมรู้จิตที่ว่าง สงบ สะอาด สว่างอยู่
แล้วจู่ๆ ภาพของแมวขาเป๋ที่เคยเห็นเมื่อ 8 ปีก่อนและลืมไปนานแล้วก็ผุดขึ้นมา
สัญญาก็หมายรู้ไปเป็นลำดับว่านี่เป็นภาพอะไร เมื่อไหร่

ตรงที่ผุดขึ้นนี้ จิตจะมัวก็ได้ ไม่มัวก็ได้
แต่ถ้าจิตไม่มัว คือจิตเห็นจิตอยู่ และอวิชชาไม่ครอบงำจิต
จิตฉลาด จิตรู้ว่า ถ้าหลงปรุงแต่งไป จะนำทุกข์มาให้
จิตก็สักว่ารู้ว่าเห็นภาพแมวขาเป๋นั้น
แล้วก็จบลงเท่านั้น
ไม่มีสังขารปรุงต่อไปว่า โถ ป่านนี้มันจะเป็นยังไงนะ
คงจะตายเสียแล้วกระมัง น่าสงสารเหลือเกิน

เพราะความไม่รู้ เพราะความไม่ฉลาดของจิต จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
แล้วมโนวิญญาณก็หยั่งลง สร้างสายแห่งปัจจยาการต่อไปอีก

แต่ถ้าขณะที่มีผัสสะ เกิดเวทนา และเกิดสัญญานั้น
จิตฉลาด จิตไม่มัว จิตจะสักว่ารู้ว่าเห็น แล้วจบลงเพียงนั้น
ไม่มีการปรุงแต่งให้เกิดภาระกับจิตต่อไปอีก

ผมไปอยู่วัดป่าคราวนี้ เดินจงกรมเป็นหลักครับ
จิตก็ทรงตัวรู้ ว่างอยู่เฉยๆ แล้วเห็นสัญญาผุดขึ้นมาเรื่อยๆ
พอรู้แล้วก็วางให้มันจบอยู่แค่นั้น ไม่ปรุงขยะมาให้จิตแบกรับไว้
ภาวะที่จิตสักว่ารู้นั้น จิตกับธรรมชาติจะกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน
ปราศจากน้ำหนักเหมือนๆ กัน
แต่เมื่อใดอวิชชาทำงานครอบงำจิต
รู้ไม่สักว่ารู้
แต่รู้แล้วปรุงต่อ
จิตกับธรรมชาติจะแยกออกเป็นสองทันที
ธรรมชาติปราศจากน้ำหนัก แต่จิตมีน้ำหนัก
ซึ่งก็คือน้ำหนักของก้อนอัตตาตัวตน หรือก้อนทุกข์นั่นเอง

เมื่อปฏิบัติมากเข้าๆ สติเราจะไวจนถึงขั้นกระทบปั๊บ สัญญาผุดปั๊บ
แล้วก็จบลงแค่นั้น
จิตไม่ปรุงแต่งกิเลส กิเลสไม่ปรุงแต่งจิตต่อไปอีก
แต่เมื่อเรายังไม่ไวพอ เราไม่เห็นตอนสัญญาผุดขึ้นจากความว่าง
ไม่เห็นตอนที่สังขารปรุงแต่งกิเลสขึ้นมาเป็นความมัวความเผลอ
เราก็เลยยังสงสัยว่า ตรงนี้มีอะไรมาคั่นอยู่

สิ่งที่คั่นก็คือ อวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร
สังขารเป็นปัจจัยของวิญญาณ
วิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป

ตรงที่ขุ่นที่มัวนั้น นามรูปมันเกิดขึ้นมาเต็มที่ของมันแล้วครับ
ยังขาดอยู่ก็แต่ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และทุกข์
ซึ่งมันพัฒนาไปตรงนั้นไม่ได้
เพราะทองคำขาวรู้ทันมันเสียก่อนแล้วครับ


ที่ปฏิบัติมาได้ขนาดนี้ อาก็อนุโมทนาด้วย
นานๆ จะมีคนคุยกันเรื่องนี้รู้เรื่องเสียที
แต่ที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติต่อไปนั้น
อย่าไปพยายามจงใจค้นคว้าลงไปนะครับ
จิตจะกระดอนออกมาสู่ความหยาบอีก


โดยคุณ สันตินันท์ วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 15:38:31

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 16:01:03

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 19:28:33

สาธุค่ะ ทั้งพี่สันตินันต์แล้วก็คุณทองคำขาว

โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 13 ธันวาคม 2542 19:28:33

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 14 ธันวาคม 2542 09:18:24

สาธุครับ pt และพี่สันตินันท์
ช่างปฏิบัติได้ละเอียดละออดีเหลือเกิน


โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 14 ธันวาคม 2542 09:18:24

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ rapin วัน อังคาร ที่ 14 ธันวาคม 2542 10:07:49

สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ นิดนึง วัน พุธ ที่ 15 ธันวาคม 2542 14:25:50
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ทองคำขาว วัน พุธ ที่ 15 ธันวาคม 2542 20:59:23
ขอบคุณพี่พัลฯ พี่มะขามฯ และคุณอามากครับ
ที่ช่วยไขปัญหาให้

ไม่ทราบเป็นอะไร ผม Login ไม่เข้าอยู่นาน
โดยคุณ ทองคำขาว วัน พุธ ที่ 15 ธันวาคม 2542 20:59:23

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ นุดี วัน พฤหัสบดี ที่ 16 ธันวาคม 2542 20:11:03
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน ศุกร์ ที่ 17 ธันวาคม 2542 12:03:20
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com