ความเห็นที่ 11 โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 21 ธันวาคม 2542 08:13:27 |
เรื่องนี้เขียนตามคำขอของ ทองคำขาว ครับ เขียนเสร็จแล้วก็ทราบว่า ยากเกินไป เพราะเป็นเรื่องเชื่อมโยงระหว่างการเห็นสุญญตา ซึ่งบางคนเท่านั้นที่จะเห็นได้ บางคนจะเห็นอนิมิตต บางคนจะเห็นอัปปณิหิต หรือพูดง่ายๆว่า บางคนเห็นอนัตตา อนิจจัง ทุกขัง ไม่เหมือนกันหรอกครับ แล้วแต่จริตนิสัยของแต่ละคนครับ อย่าตกใจไปเลย
นอกจากนั้นก็ต้องรู้จักสมาบัติ สมาบัติ ถ้าแปลก็มีความหมายทำนองว่าคุณสมบัติอันวิเศษของจิต ซึ่งก็ได้แก่สมาบัติ 9 คือรูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 และนิโรธสมาบัติ 1
ผมขอเล่าประสบการณ์จริงให้พวกเราฟังเลยดีกว่า ที่จริงไม่ค่อยอยากเล่านัก เพราะกลัวจะมีปัญหาเหมือนที่ห้องสมุดและลานธรรม มีอยู่ช่วงหนึ่งผมเคยเล่นสุญญตสมาบัติ คือไปพบเข้าโดยไม่เจตนา เริ่มตั้งแต่การดูจิตธรรมดาๆ นี่แหละครับ แล้วเห็นจิตเคลื่อนจะเข้าไปใส่ใจ เกาะเกี่ยวกับอารมณ์ที่ถูกรู้ แต่ผมก็ไม่ใส่ใจกับอารมณ์ที่ถูกรู้ อันเป็นเครื่องหมายรู้(นิมิต) ครั้นกระแสจิตถอยจะเข้ามาจับเข้ากับจิตผู้รู้ อันเป็นเครื่องหมายรู้(นิมิต) อีกอันหนึ่ง ผมก็ไม่ใส่ใจในจิตผู้รู้อีก คือไม่ให้จิตเกาะเกี่ยวทั้งผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่าไม่ใส่ใจในนิมิตทั้งปวง จิตก็เข้าไปหยุดอยู่กับสภาวะรู้ที่เป็นกลางและเบิกบาน ปราศจากความคิดนึกปรุงแต่งใดๆ จิตน้อมเข้าไปรู้อยู่ที่สภาวะที่พ้นรูปพ้นนาม พ้นผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ แล้วเข้าสมาบัติในภาวะนั้นเลย โดยเป็นสมาบัติที่พ้นจากรูปและอรูป (เขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้นึกเข้าใจสิ่งที่คุณมะขามป้อมท้วงติงแล้วครับ ทีแรกยังงงๆ ว่าคุณมะขามป้อมหมายถึงช่วงไหน คือคุณมะขามป้อมเห็นว่าจิตมันน้อมไปเองเวลาเข้าสมาบัติ ซึ่งใช่อย่างนั้นครับ ผมใช้คำไม่รัดกุมจริงๆ อ่านแล้วทำให้เข้าใจผิดได้ ว่าตอนเข้าสมาบัติเป็นการน้อมจิต ที่จริงจิตมันน้อมครับ ส่วนการจะเลือกเข้าอรูปสมาบัติใดนั้น ในขั้นนั้นครับที่น้อมจิตไปเพื่อเข้าสมาบัตินั้นได้ ขอบคุณที่ทักท้วงครับ)
สมาบัติที่เข้าไปนั้น เป็นสมาบัติชนิดที่ละเอียดที่สุด ตอนเข้าไม่มีการคำนึงว่า เรากำลังจะเข้า เรากำลังเข้า เรากำลังออก ในนั้นไม่มีความคิดนึก ไม่มีอะไรเลย นอกจากความว่างอันบริสุทธิ์ ปราศจากเวลา
คราวนี้พอเล่นเข้าก็สนุกครับ ก็เลยเล่นบ่อยๆ แล้วเอาไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ซึ่งผมไปฝากการชี้เป็นชี้ตายในการปฏิบัติไว้กับท่านเมื่อสิ้นหลวงปู่ดูลย์แล้ว และท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ชำนาญในฌานสมาบัติมากที่สุดในสายพระป่า ท่านก็ร่าเริงใจมาก กำชับผมว่า ให้ฝึกหัดเอาไว้นะ ยุคนี้ไม่มีใครเล่นสมาบัติชนิดนี้กันแล้ว หัดเอาไว้ให้ชำนิชำนาญเถอะ ผมก็เรียนท่านว่า ผมหัดแล้วก็กลัวติดเหมือนกัน ท่านตอบว่า ไม่ต้องกลัวติด ถ้าติด อาตมาจะแก้ให้เอง
หลังจากนั้นไม่นานนัก ผมไปวัดสันติธรรม ที่เชียงใหม่ และพบพระหนุ่มองค์หนึ่ง มาดักรออยู่ที่หน้าประตูวัด บอกว่าท่านอาจารย์บุญจันทร์ วัดถ้ำผาผึ้ง รอพบผมอยู่ ผมก็เลยมีโอกาสพบท่านอาจารย์บุญจันทร์ ซึ่งท่านมารอโปรดทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันเลย พอเห็นหน้าท่านก็ถามถึงสิ่งที่กำลังปฏิบัติอยู่ ผมก็กราบเรียนท่านถึงสมาบัติที่ทำอยู่ ปรากฏว่าท่านดุลั่นกุฏิเลยว่า "เฮ่ย นิพพานอะไร มีเข้ามีออก" ท่าดุซ้ำอยู่สองครั้ง จิตก็หลุดออกจากความยินดีในสุญญตสมาบัติ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เข้าเล่นอีกเลยครับ
สำหรับการเห็นมหาสุญญตาแบบที่คุณมะขามป้อมกล่าวนั้น ทุกวันนี้ผมก็ยังทำอยู่ครับ เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาแหวกสิ่งต่างๆ เข้าไปจนสัมผัสรู้กับมหาสุญญตาอันเป็นความว่าง ที่แทรกอยู่ในทุกสิ่ง กระทั่งในช่องว่าง(อากาส) ซึ่งตัวช่องว่าง ยังไม่ใช่สุญญตานะครับ สุญญตานั้น มีกระทั่งในต้นไม้และก้อนหิน อยู่ต่อหน้าต่อตาเรานี้แหละ เข้าใจว่าคุณมะขามป้อมก็น่าจะทำในทำนองเดียวกันนี้เอง ซึ่งเป็นคนละอย่างกับสุญญตสมาบัติครับ |
|
โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 21 ธันวาคม 2542 08:13:27 |