กลับสู่หน้าหลัก

ทุกข์ของนักปฏิบัติ

โดยคุณ มวยวัด วัน พฤหัสบดี ที่ 23 ธันวาคม 2542 18:54:33

สมัยหนึ่ง ณ เชตวันวิหาร พระมหากัสสปะทูลถามพระศาสดาว่า "อะไรหนอเป็นปัจจัย เมื่อสิกขาบทยังน้อย ภิกษุทั้งหลาย ดำรงอยู่ในอรหัตตคุณมาก แต่เมื่อสิกขาบทบัญญัติมากขึ้น ผู้ดำรงอยู่ในอรหัตตคุณกลับน้อยลง"
พระศาสดาตรัสว่า "ดูก่อนกัสสปะ ! เมื่อสัตว์กำลังเสื่อม สัทธรรมกำลังอันตราทาน สิกขาบทแม้มาก ผู้ดำรงอรหัตตคุณก็น้อย ดูก่อนกัสสปะ ตราบใดที่สัทธรรมปฏิรูปคือ ธรรมปลอมยังไม่เกิดขึ้นในโลก สัทธรรมแท้ก็ยังไม่อันตรธาน
"ดูก่อนกัสสปะ !  อะไรอื่นเป็นต้นว่า ปฐวีธาตุหาได้ทำให้พระสัทธรรมเสื่อมได้ไม่ แต่สิ่งที่ทำให้พระสัทธรรมเสื่อม คือ โมฆบุรุษที่เกิดขึ้นในศาสนานี้เอง
"กัสสปะ ! สิ่งที่เป็นไปเพื่อความเสื่อม เพื่อความอันตรธานแห่งพระสัทธรรม มีอยู่ ๕ ประการคือ บริษัท๔ ไม่เคารพยำเกรงพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในการศึกษาและสมาธิ ส่วนธรรมอีก ๕ ประการ ซึ่งมีนัยตรงกันข้ามนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อความมั่นคงแห่งพระสัทธรรมโดยแท้" ...

จากหนังสือ  ผู้สละโลก โดยวศิน อินทสระ

ที่ผมยกข้อความในหนังสือนี้ขึ้นมา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีธรรมกาย หรือ เหตุการณ์ใดๆที่เป็นเรื่องน่าห่วงต่อพระศาสนาในขณะนี้ แต่เป็นเพราะหลายครั้งหลายคราว รู้สึกอึดอัด เครียดต่อการปฏิบัติเป็นอย่างมาก จนรู้สึกเหมือนคนที่ต้องเดิน แต่เดินแล้วมันไม่รู้จะเดินไปทางใหนเพราะมันเหมือนลานกว้างๆ เนื่องจากไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป ก็ได้แต่ทู่ซี้ ทำซ้ำๆไปเรื่อยและในการปฏิบัติของผมเองนั้น คราวใดเมื่อคิดว่า"ฉันต้องรีบ" เท่านั้นแหละ กรอบล้อมรอบสารพัดก็จะประดังเข้ามาในจิตใจแบบอัตโนมัติ แน่นอนครับ ความตึงเกินไปมันไม่ดี แต่ไม่รู้จะทำยังไง เกิดเป็นชีวิตนี้กลัวก็กลัว แต่ก็ไม่อยากกลับมาเกิดอีก
จะบวชก็ไม่ได้ จะหลีกเร้นไปปฏิบัตินานๆก็ไม่ได้อีกเพราะฉะนั้นทางเดียวคือ เร่งปฏิบัติให้มากที่สุด จนกลายเป็นตึงเกินไป แล้ววันที่เริ่มรู้ตัวว่าตึงเกินไปก็มาถึง คือ เริ่มปวดหน้าผากแรกๆก็ยังไม่เท่าไรคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผ่านไประยะนึงมันชักจะมากเกินไป มันชักจะปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะตลอดเวลาเลยก็ว่าได้ ทีนี้ก็เลยต้องมาทบทวนกันใหม่ว่าทำไม เพราะเวลานั้นยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองตึงเกินไป
เวลาที่ทบทวนก็ไม่มีอะไรมาก ก็รู้ตัวว่า ปวด พอปวดมากก็เอามือกด แล้วก็ตั้งคำถามโดยไม่เอาคำตอบว่า "ทำไมถึงปวด" แล้วก็ตั้งสติรู้ต่อไป  ผลเหรอครับ ปวดหนักขึ้นไปอีก เพราะมัวแต่ไปสนใจกับความปวด
ทีนี้มาเอะใจก็ตรงที่ ทำไมเวลาที่ทำงานอื่นๆไม่เห็นปวดเลย จะมาปวดก็ตอนที่"ปฏิบัติ"นี่แหละ สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ "คิด" เพราะสติผมยังไม่แข็งแรงพอที่จะสู้แบบเอาเป็นเอาตาย(ขืนสู้แบบนั้นสงสัยตายก่อน: ) ) ก็คิดทบทวนไปเรื่อย หลายวัน ก็เริ่มระแคะระคายว่า เออ เรานี่มันตึงเกินไปนี่ พูดอีกอย่างหนึ่งคือ มันเวอร์เกินเหตุ และพอรู้อย่างนี้จึงค่อยๆผ่อนคลายกฏระเบียบต่างๆที่ตั้งไว้กับตัวเองลงบ้าง ปล่อยให้จิตใจเป็นอิสระบ้าง ความปวดก็ค่อยๆคลายลงไปเรื่อยๆ และเมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ ก็ได้หยิบหนังสือนิยายธรรมะขึ้นมาอ่าน จนถึงท่อนที่กล่าวข้างบนนี่แหละ อ่านแล้วรู้สึกว่า เออ ตรงกับเราเหมือนกันนี่นา เพราะไอ้ความที่เร่งและตั้งกฏระเบียบจนเกินไปก็เลยทำให้ลืมอะไรบางอย่างไป นั่นก็คือ ลืมถามตัวเองไปว่า จะเร่งปฏิบัติไปใหน จิตเขาก็ต้องการอิสระบ้าง เอาแต่เร่งและล้อมกรอบกันแบบนี้มันก็แย่ละสิ
และที่สำคัญการเร่งปฏิบัติอย่างไม่รอบคอบแล้วส่วนใหญ่มันก็พลาดตั้งแต่เริ่มนั่นแหละ คือ”ความอยาก”ที่จะปฏิบัติมันหลอกลวงต้มตุ๋นเราเสียเสร็จสรรพเรียบร้อย นี่แหละหนา “ทุกข์ของนักปฏิบัติ”


โดยคุณ มวยวัด วัน พฤหัสบดี ที่ 23 ธันวาคม 2542 18:54:33

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 05:43:50
ได้เห็นคุณมวยวัดในวิมุตติ ก็ดีใจครับ
ยินดีต้อนรับครับ (กับการตั้งหัวข้อสนทนาเองบ้าง)
โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 05:43:50

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ สันตินันท์ วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 07:27:05
คราวหนึ่งผมเห็นท่านอาจารย์สุจินต์
เดินจงกรมอยู่ที่สวนปทุมภาวนาของท่านอาจารย์ทิวา
แดดเผาท่านจนเกรียมดำไปทั้งองค์
ผมก็เรียนท่านว่า หลวงพี่ปฏิบัตินี่ ลำบากมาก ทุกข์มากนะครับ
ท่านยิ้มๆ ตอบว่า "นักปฏิบัติทุกข์ เพื่อจะพ้นทุกข์
ส่วนชาวโลก แสวงหาความสุข เพื่อจะต้องได้รับทุกข์"

บางคราวนักปฏิบัติเราก็ต้องเร่งความเพียรแบบเอาชีวิตเข้าแลก
ถ้าเปรียบเทียบกับพระพุทธรูป ก็เหมือนพระอู่ทอง
คือพระพักตร์เคร่งเครียด แสดงให้เห็นว่า ธรรมะเป็นเรื่องจริงจัง

แต่การปฏิบัติจะเร่งความเพียรตลอดเวลาก็ไม่ได้
บางครั้งเราก็ต้องพัก ดำเนินจิตเข้าสู่ความละเอียดบ้าง
เวลาดำเนินจิตอย่างนั้นเราจะรู้สึกว่า
ธรรมะเป็นของโปร่ง ว่าง บางเบา สงบสุข และเรียบง่าย
ถ้าเปรียบเทียบกับพระพุทธรูป ก็เหมือนพระสุโขทัย
ที่การย่างพระบาทเหมือนจะย่างไปในอากาศ
และปราศจากรอยพระบาท เหมือนรอยเท้านกในอากาศ

บางคราวการปฏิบัติธรรมก็นำความร่าเริงมาให้
เราอาจจะเบิกบานด้วยการพิจารณาธรรม ด้วยการสนทนาธรรม
หรือด้วยวิหารธรรมภายหลังการกรำศึกจนได้รับชัยชนะแล้ว
ถ้าเปรียบเทียบกับพระพุทธรูป ก็เหมือนพระเชียงแสน
ซึ่งแสดงว่า ธรรมเป็นเครื่องอิ่มเอิบใจ

นักปฏิบัติแต่ละคน หนีไม่พ้นสภาพทั้ง 3 ประการนี้
จะเอาอยู่อย่างเดียวไม่ได้แน่ ต้องรู้จักพลิกแพลงผ่อนหนักผ่อนเบา

หากการเปรียบเทียบประพุทธรูป ยังให้ภาพกับพวกเราบางคนไม่ชัด
เพราะไม่ชำนาญในเรื่องพุทธลักษณะ
ผมจะขอเปรียบเทียบลักษณะของครูบาอาจารย์ให้พวกเราดู

หลวงปู่เทสก์ จะเป็นสัญลักษณ์ของความชุ่มชื่น สงบ เบาบาง
ท่านงามเหมือนพระสุโขทัย
หลวงปู่เหรียญ จะเป็นสัญลักษณ์ของความอิ่มเอิบ
ท่านงามเหมือนพระเชียงแสน
ส่วนหลวงตามหาบัวนั้น เป็นสัญลักษณ์ของธรรมที่แสดงว่า
ธรรมะเป็นเรื่องจริงจัง ต้องสู้กันจนกิเลสหรือเราจะตายกันไปข้างหนึ่ง
ท่านก็งามแบบพระอู่ทอง

แต่นั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่เราเห็นเท่านั้น
อันที่จริง ทุกองค์ ทุกท่าน ต่างก็ผ่านอาการของจิตทุกรูปแบบมาแล้วทั้งสิ้น
เพราะการปฏิบัตินั้น จะเดินปัญญาลุยแหลกหรือเร่งความเพียรตลอดเวลา
ธาตุขันธ์ก็รับไม่ไหว
จะเข้าฌานสมาบัติ หาความสงบสุขเบาบางอย่างเดียว
ก็ไปไม่รอด
จะอิ่มเอิบเบิกบานในผลที่ได้รับแล้ว แล้วหยุดอยู่เพียงนั้น
ก็ไปไม่พ้น

รักจะเป็นนักปฏิบัติ
จะต้องมีโยนิโสมนสิการเป็นเพื่อนคู่ใจ
จะเอาแรงเข้าหักอย่างเดียว ไม่ได้หรอกครับ
บางวัน เราก็รู้สึกว่า เราทุกข์กับการปฏิบัติเสียเหลือเกิน
บางวัน เราก็รู้สึกว่า เรามีความสุขมากเหลือเกิน
บางวัน เรารู้สึกว่า ชุ่มชื่นร่าเริงในธรรมเสียเหลือเกิน
ถ้าปฏิบัติแล้วทุกข์ตลอด สุขตลอด หรือร่าเริงตลอด
ก็ต้องลองโยนิโสมนสิการให้มากหน่อย
เพราะนั่นไม่ใช่อาการปกติ ของคนที่ยังต้องเดินทางไกล
โดยคุณ สันตินันท์ วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 07:27:05

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 08:54:18
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 08:59:02
วันก่อนที่สวนแสงธรรม หลวงตาบัวท่านว่าไว้

"เราอยู่ในพระธรรมวินัยนี้ ก็เหมือนติดคุก ติดตั้งแต่วันแรกเลย จนถึงวันนี้ก็ 65 ปี แล้ว...."

"เราเป็นนักปฎิบัติ ก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะการปฎิบัตินั้นแหละ โลกเขาก็ทุกข์นะ แต่เขาไม่รู้ ส่วนเราทุกข์เพื่อให้พ้นทุกข์...."

โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 08:59:02

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 10:10:54
เห็นกระทู้นี้แล้วดีใจ เหมือนได้เพื่อน
ยิ่งได้อ่านความเห็นคุณอาแล้วทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น
กราบขอบพระคุณคุณอาและพี่มวยวัดมากๆเลยค่ะ

อ่านแล้วได้รู้สึกว่า เราไม่ได้ทุกข์จากการปฏิบัติคนเดียว
เพราะเริ่มปฏิบัติมาด้วยความเคร่งเครียดโดยไม่รู้ว่าตัวเองเครียด
บางทีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้า กังวลโน่นกังวลนี่ไปทั่ว
มุ่งมั่นเอาจริงเอาจังโดยไม่รู้ว่ามันเกินความพอดี (ไม่รู้ด้วยว่ามุ่งมั่นมาก)
มองไปรอบๆตัว เอ...ทำไมคนอื่นๆที่เค้าปฏิบัติ เค้าหน้าใส หน้าตาสดชื่นกันจัง
ทำไมหนอ เราจึงรู้สึกเหนื่อย หนัก เหมือนแบกโลกเอาไว้
ปฏิบัติไป มีแต่ความไม่สบายใจ เราทำถูกรึยัง แบบนี้พอดีไม๊
เราย่อหย่อนเกินไปรึเปล่า เอ..แบบนี้สบายไป ไม่ดีเลย........ ฯลฯ
สารพัดจะความกังวลใจ เหมือนคนโรคจิต
อยากพ้นทุกข์จนทุกข์มากมายมโหฬาร
เร่งความเพียรซะจนไม่ลืมหูลืมตา ไม่ดูสังขารร่างกาย
เห็นว่าถนัดเดินจงกรมมากว่านั่งภาวนา
ก็ลุยเดินซะไม่ดูเวล่ำเวลา ขาแข้งกระดูกลั่นเปรี๊ยะปร๊ะ หลังแทบหัก
วันไหนกลับบ้านไม่ได้ภาวนา เหมือนจะขาดใจตาย เหมือนพวกติดยา
แต่พอมาถึงวันที่พบแต่ความเบา สบายใจ โล่งๆ มีความสุข
อยู่ได้วันสองวัน ก็เริ่มไม่สบายใจ ไม่ไว้วางใจอีกแล้ว
จนพี่โจโจ้บอกว่า เจ้านี่นี่นะ สบายๆไม่ชอบ ชอบลำบากๆ
สรุป หาความพอดีของตัวเองไม่เคยเจอ
วันๆพกแต่ความปวดหูปวดหัวติดตัวตลอด
แล้วก็คอยแต่จะหาทางแก้ที่อาการ ไม่ได้ดูถึงสาเหตต้นตอเลย
พอมานั่งคิดดู มองดูนิสัยตัวเองจริงๆ
จึงพบว่า เรามันเหมือนคนบ้า เวลาจะทำอะไร
ก็จะทำๆๆๆๆ ทำจนเต็มที่ ไม่ลืมหูลืมตา ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องอะไร
ไม่เคยดูความพอดี ดูว่าตรงกลางมันอยู่ตรงไหน
มักจะกระโจนลงไปทั้งตัวเลย (แถมไม่รู้ตัวด้วย)

หลังๆมานี้ ลองมาปฏิบัติแบบสบายๆมากขึ้น
จนเมื่อคืนเป็นวันแรก ที่กล้าหยุด ไม่ภาวนาซักคืน ผลปรากฏก็ไม่เห็นลงแดงตาย
แต่ก็ยังมีอาการตึงๆหน้าผากอยู่
ตอนแรกไม่รู้ ไปให้ความสนใจกับอาการตึงๆมาก
ผลก็คือ เหมือนพี่มวดวัด ปวดจนจะตายเอา
มาระยะหลังนี้ อาการดีขึ้น เพราะผ่อนคลายตัวเองมากขึ้น
จนได้พบคุณอาสันตินันท์ ท่านทักว่า ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นธรรมชาติ
ยังไงก็จะลองสังเกตดูตัวเองไปเรื่อยๆ
ถ้าไม่รอดยังไง จะโทรไปขอคำปรึกษาจากพี่มวยวัดบ้างนะคะ
โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 10:10:54

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ มวยวัด วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 20:05:05
ขอบพระคุณครับพี่สันตินันท์
เปรียบเทียบกับองค์พระพุทธรูปได้อย่างกลมกลืน แต่เสียอย่างเดียว ผมไม่รู้ว่าองค์ใหนเป็นปางก์ใหนอะครับ : )
ผมเองได้รับคำสั่งสอนชี้แนะจากพี่มาตลอด ผมเองขอขอบพระคุณพี่มาก โดยเฉพาะท่อนที่ว่า "ดูมันไป" นี่ได้ผลที่สุด เพราะไม่ว่าจะทำอะไรพอสงสัยหรือมีคำถามปุ๊บ ลอยมาเลยครับ "ดูมันไป" เท่านั้นมันก็หายสงสัยหายฟุ้งซ่านไปเยอะแล้ว และในอีกคำหนึ่งที่ขณะนี้กำลังเข้ามาใจจิตใจค่อนข้างมากคือ "โยนิโสมนสิการ " ครับ เพราะตัวเองค่อนข้างจะมุทะลุในการปฏิบัติไม่น้อยเลย
_/\_

คุณพัลวัล คุณเองก็ใกล้ๆกับผมอะแหละ อย่ามาว่ากันเลย ผมหนักหน่อยตรงที่อยู่แผนก R&D ( Resding & Doing) อิอิ
จริงๆแล้วในพักหลังนี่ ผมบอกตรงๆนะ มันคีย์ไม่ค่อยออก ถ้าเป็นสมัยก่อนละ น้ำไหลไฟดับ ไม่เชื่อถามต่ายดูสิ (ฮ่าๆ คุยจนกระทั่งติดความฟุ้งมาอะแหละ)
และที่คุณพัลวัลยกคำเทศน์ของหลวงตามหาบัวมานั้น ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลย เพราะมีหลายครั้งเหมือนกันที่พอมองเห็นคนทั่วๆไปเขาไม่เห็นทุกข์เหมือนเราเลย แต่พอคิดให้ครบรอบแล้ว ยอมติดคุกแบบหลวงตาดีกว่าเยอะเลย  : )

ยินดีครับต่าย เพียงแต่ว่า ขอให้ปรึกษาอาจารย์ก่อนน่ะครับ เหตุผลคงไม่ต้องพูดนะครับ"อย่าทิ้งประโยชน์ใหญ่ มารับประโยชน์เล็กน้อย" แต่ถ้าจะโทรมาเพื่อคุยกันตามปกติก็ยินดีครับ : )
โดยคุณ มวยวัด วัน ศุกร์ ที่ 24 ธันวาคม 2542 20:05:05

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ ต๊าน วัน เสาร์ ที่ 25 ธันวาคม 2542 00:24:41
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน เสาร์ ที่ 25 ธันวาคม 2542 14:51:11
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ kobe วัน เสาร์ ที่ 25 ธันวาคม 2542 14:55:47
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 27 ธันวาคม 2542 09:08:45
^-^ _/|\_ กราบขอบพระคุณค่ะพี่สันตินันต์ และขอบคุณมากค่ะ เท็ด
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน จันทร์ ที่ 27 ธันวาคม 2542 09:08:45

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน จันทร์ ที่ 27 ธันวาคม 2542 16:47:04
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ aek123 วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 18:39:53
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ aek123 วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 18:59:01
ผมพึ่งได้รับคำแนะนำจาก คุณพัลวันให้มาที่  web นี้  รู้สึกดีมากครับ คิดตั้งนานแล้วอยากให้มี web แบบนี้แหละครับ  วันนี้รู้สึกว่าได้รู้จักกับผู้ปฎิบัติ  และผู้ศึกษา
ธรรม มาก  ผมมีโอกาสไปไหนไม่มาก  ได้ศึกษาจากเทป
ธรรมะ และหนังสือ เสียส่วนใหญ่ มีโอกาสที่จะถาม ผู้รู้และผู้ที่เคยปฎิบัติ ได้น้อย ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่ได้
ก่อตั้ง  และทุกๆท่านที่แสดงความคิดเห็น
โดยคุณ aek123 วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 18:59:01

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ filmman วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 03:01:19
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน พุธ ที่ 8 มีนาคม 2543 15:55:52
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com