กลับสู่หน้าหลัก

การรักษาศีล คือการรักษาภาวนา

โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:08:28


          ภาวนานี่หมายความว่าทำใจที่ไม่สงบให้สงบลง ทำใจที่สงบแล้วนั้นให้มันเกิดปัญญา
          อุปกรณ์ของการทำใจให้สงบก็ได้แก่ศีล ถ้าบุคคลใดไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้วจะมาฝึกฝนจิตใจ ทำใจนี้ให้สงบนั้นเป็นไปไม่ได้

                    หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


การรักษาศีลนี้ มีความสำคัญกับการภาวนาโดยแท้ ผมมีประสบการณ์ตรงที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ

    เมื่อประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ได้มีโอกาสไปฟังธรรมที่ศาลาลุงชิน ในวันนั้นจิตใจมีความเบาสบายใจเป็นอย่างมาก ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่เหรียญท่านใกล้ๆ เลยได้โอกาสขอให้ท่านเทศน์เรื่องกรรมให้ฟังครับ แต่หลวงปู่ฯท่านมองหน้าผมนิดนึง แล้วก็พูดว่า "ดีอย่างนี้จะเอาอะไรอีก" ผมก็งงครับ เพราะไม่ทราบว่าหลวงปู่หมายถึงอะไร แต่ผมก็ไม่ได้ถามท่านครับ กราบท่านแล้วก็ถอยออกมาครับ

    จากนั้นก็มานั่งที่เก้าอี้ ในขณะที่ฟังพระให้พรนั้น ผมก็ได้รู้ถึงความรู้ชัดครับว่าเป็นอย่างไร ในขณะนั้นก็ได้แอบดูใจด้วย ดูอารมณ์ไปด้วย ตามเรื่องตามราว ในขณะเดียวกันก็สำรวจหาความสงสัยว่ามีหรือไม่ ก็ไม่พบว่ามี แม้แต่อยากจะถามครูว่าใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่มีอีกเช่นกัน พอลืมตามาก็พบว่าครูก็มองมาเช่นกัน เห็นครูยิ้มแย้มและสว่าง ก็เลยเอ่ยปากถามครูแบบไม่มีเสียงว่า ถูกต้องมั้ยครับ ครูก็ตอบกลับมาว่าถูกต้องแล้ว

    แต่ในบ่ายวันนั้น หมายมั่นปั้นมือมาก ว่าจะจับลูกสุนัข 6 ตัวนั้นอาบน้ำ ด้วยว่ามีหมัดมากเหลือเกินจนจะกลายเป็นหมาขี้เรื้อนอยู่แล้ว เมื่อกลับไปถึงบ้านก็รีบดำเนินการตามที่ตั้งใจไว้นานเป็นเดือนๆแล้ว

    แต่เมื่อลงมืออาบน้ำลูกสุนัขตัวแรก ก็เห็นว่าในตัวสุนัขมีหมัดสีแดงเป็นร้อยๆตัว ต่างวิ่งพล่านเพราะเจอพิษในแชมพูอาบน้ำสุนัขนั้น พอพบอย่างนั้นก็กระทบใจอย่างแรงแต่ก็ยังทำต่อไป เนื่องด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกว่านี้ เพราะก็สงสารลูกสุนัขด้วยที่กำลังจะเป็นขี้เรื้อนด้วย และนึกรังเกียจปนแค้นกับหมัดเหล่านี้ที่มาทำให้ลูกสุนัขต้องกลายเป็นขี้เรื้อน

    การอาบน้ำลูกสุนัขทั้ง 6 ตัวก็จบลงไปพร้อมๆกับที่หมัดสุนัขนั้นถูกฆ่าตายเกลื่อนไปหมด นับเป็นพันๆตัวทีเดียว ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจเต็มที่ เพราะในใจเคยนึกไว้อยู่ก่อนแล้ว ว่าจะไม่เบียดเบียนชีวิตใคร แต่ครั้งนี้มันอดรนทนไม่ได้ นึกในใจอยู่ว่า หากเกิดกับเรา เราจะไม่เบียดเบียนชีวิตเขาเช่นนี้

    เย็นนี้ก็ภาวนาตามนิสัย แต่ปรากฎว่า เมื่อหลับตาครั้งใดก็ตาม ภาพของหมัดที่วิ่งหนีตายอยู่บนตัวสุนัขก็ผุดขึ้นมาเห็นทีนั้น จิตใจหาความสงบนั้นไม่ได้เลย เกิดความอึดอัดทุรนทุรายอยู่อย่างนั้น เกิดอาการจุกแข็งแน่นหน้าอกและคอหอย ลมหายใจทั้งหยาบทั้งหนัก เกิดเป็นความขัดข้องหัวอกเป็นอย่างมาก

    รู้อยู่แก่ใจ ว่าถูกบาปกรรมเล่นงานแบบทันตาเห็นเข้าเสียแล้ว

    ไม่ว่าจะแก้ด้วยการภาวนาอย่างไร ก็ไม่เป็นผล เกิดเป็นความอึดอัด ขัดข้อง ทุรนทุราย อย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่ภาวนาไม่ได้เท่านั้น แม้จิตใจในยากปกติ ที่เคยสงบ ระงับ ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยเช่นกัน เกิดความวิตกกังวลบ้าง เกิดความเบื่อหน่ายในการปฎิบัติบ้าง ความท้ดท้อ ท้อถอยเกิดขึ้นเต็มหัวใจไปหมด ดีเสียแต่ว่าเคยรับรู้มาก่อนแล้ว ว่าอาการเสื่อมนั้นย่อมมาปรากฎได้ในวันหนึ่ง แต่คราวนี้นานนัก

    อุบายธรรมทั้งหลายที่ผุดขึ้นมา ก็หาได้ทำให้เกิดความสงบระงับได้อย่างที่เคยไม่ เหมือนดั่งเอาไม้ซีกไปแคะคุ้ยหินตามหน้าผา หาได้ทำให้ทุกข์อันนั้นปลดปลงลงไปได้ไม่

    ความแช่มชื่นหัวใจที่เคยมีอยู่ กลับแห้งเหือดหายไปหมด หัวใจมีแต่ความแห้งแล้ง

    ได้ไปกราบหลวงตาบัวที่สวนแสงธรรม ใจก็หาได้ลงให้กับท่านอย่างเคย กลับมีความถือดีเต็มไปหมด นึกตำหนิติเตียนท่านเป็นอย่างมาก นั่งคุมใจของตนเองแทบแย่ มีช่องว่างให้เผลอเป็นไม่ได้ มันจ้องจะทำอวดดีไปตลอดทีเดียว ก็นั่งปริวิตกว่าเรานี้เป็นอะไรๆ อยู่อย่างนี้ ต้องคอยตั้งนิมิต ว่าตนเองเข้ากราบท่านแทบเท้าอยู่ตลอด เพื่อปราบพยศของตนเอง แต่ถึงแม้กระนั้นก็ทำได้เพียงข่มมันเอาไว้ไม่ให้มันแผลงฤทธิ์ ความแช่มชื่นที่เคยได้รับ ก็หาได้มีอย่างเช่นครั้งก่อนๆไม่

    ผ่านพ้นไปอีกสัปดาห์ พี่นิดได้ส่งข่าวมาบอกว่า ที่บ้านคุณสรศักดิ์ได้นิมนต์หลวงปู่เหรียญไว้ให้ผมไป ผมก็ดีใจที่จะได้ทำบุญอีก เลยรีบนัดหมายกับภรรยาให้เตรียมข้าวปลาอาหารและผลไม้ พอถึงวันไปได้เห็นครูบาอาจารย์มากันมากมาย มีหลวงพ่อทูลที่เราก็นับถือท่านมากด้วย เลยตั้งจิตอธิษฐานให้กับข้าวกับปลานี้เป็นมหาทานที่ทำได้ยาก ใจก็เกิดความตั้งมั่นและมีกำลังกลับมา แต่ก็ทรงตัวได้เพียงชั่วครู่เดียว ก็กลับหมดแรงกำลังลงอีก

    ก่อนหน้านี้ 2 - 3 วัน ได้ขับรถไปทำงาน เลยได้มีโอกาสเปิดเทปธรรมะของหลวงปู่เหรียญฟัง จิตใจก็ดีขึ้นมาก หากแต่ไม่ได้มากมายอะไรนัก คงเป็นเพียงแค่ประคับประคองให้ทรงตัวอยู่ได้ ไม่ตกไปมากกว่านี้

    ในวันนั้นมีการอาราธนาสวดพระปริตด้วย ก่อนหน้านั้นก็มีการสมาทานศีล 5 ใจก็น้อมไปสมาทานศีล 5 อย่างหมดจิตหมดใจ ในขณะที่กล่าวนั้นใจก็เที่ยวไปสำรวจทั้งกายและใจ ว่ามีที่ใดที่ติดขัดคับข้องใจกับศีลหรือไม่ เมื่อสมาทานศีลครบทั้ง 5 ข้อ ก็พบว่าใจเกิดความเบาสบายขึ้นมาก แม้จะไม่หมดจดดังเช่นครั้งก่อนๆก็ตาม แต่ก็ทำให้รู้ว่า การสมาทานศีลนี้มีผลดีต่อจิตใจอยู่มาก หากเราตั้งใจที่จะรักษาศีลจริงๆแล้ว มีผลมาก คำที่ว่า "สีเลน สุคตึ ยนฺติ" นี้เป็นของจริง พลางนึกในใจว่า หากเราตายก่อนหน้านี้แล้วคงลงนรกเป็นแม่นมั่น เพราะเหตุที่ผิดศีลข้อปาณาติบาตแล้ว

    วันนั้นตามไปที่บ้านพี่นิดก็ไม่พบใครเพราะกลับไปหมดแล้ว เป็นเพราะผมรอรับพระเครื่องฉลองหลวงปู่เหรียญ 88 ปี ก็เลยได้สนทนากับพี่นิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกลับบ้าน พร้อมกับนัดแนะกันว่าจะไปศาลาลุงชินฯในวันรุ่งขึ้น

    ในวันรุ่งขึ้นไปทำบุญที่ศาลาลุงชินฯ ได้พบกับครูและพวกเราหลายคน เลยได้บอกกล่าวกับครูและพวกเพื่อนปฎิบัติธรรมทั้งหลาย เปรียบเหมือนดั่งกับพระที่ท่านปลงอาบัติ แต่ใจก็ยังไม่คงเป็นปกตินัก รู้อยู่ว่ายังติดอยู่ในเรื่องที่ไปทำถือดีกับหลวงตาบัว (แม้จะเป็นเพียงในใจก็ตาม)ที่สวนแสงธรรมหนก่อน

    ตกเย็นวันนั้น โชคดีที่ภรรยาเขาจำได้ว่า ในเย็นวันอาทิตย์จะมีการทอดผ้าป่าช่วยชาติกับหลวงตาบัว ที่มีฟ้าหญิงองค์เล็กเป็นประธาน เขาเลยเปิดทีวีให้ดู

    เมื่อฟ้าหญิงองค์เล็กทรงจุดธูปเทียนแล้ว ก็มีการสมาทานศีลกับหลวงตาฯ ผมก็ว่าตามไปด้วย (เป็นการสมาทานศีลแบบ Remote) ในขณะนั้นจิตใจก็เริ่มอิ่มเอิบขึ้นมาก เหมือนกับว่าได้ถ่ายถอนมานะทิฎฐิความถือดีที่มีต่อหลวงตาฯออกมาด้วย จิตใจก็เริ่มเบาสบายอีกครั้ง พลางใจก็รู้ว่า บาปกรรมอันที่ได้ทำไปครั้งก่อน ไม่สามารถมาเป็นเครื่องขวางกั้นการภาวนาได้อีกแล้ว น้ำหูน้ำตาพาลไหลออกมา ใจพลางระลึกถึงคุณของศีลอย่างหมดหัวจิตหัวใจ นั่งฟังหลวงตาท่านแสดงธรรมด้วยความอิ่มเอิบใจอย่างยิ่ง

    ค่ำคืนนั้นหลับลงด้วยความรู้สึกที่วางลงเต็มที่ อะไรๆก็ไม่พยายามที่จะแบกเอาไว้ในใจอีก

    หลังจากนั้นการภาวนาก็ดีขึ้นอย่างทันตาเห็นเลยทีเดียว เมื่อใจรู้เข้าที่ร่างกาย ก็เห็นร่างกายแยกกับใจ เมื่อใจจับเข้ารู้เข้ากับลมหายใจ ก็เห็นลมหายใจเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง ลมหายใจไม่ใช่ธุระของใจแต่ประการใด ดังนี้เป็นต้น

    บทเรียนครั้งนี้ ได้สอนใจตนเองเป็นอย่างยิ่ง ที่จะไม่ให้ประมาทในศีลอีกแล้ว....

        สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ตสฺสม สีลํ วิโส ธเยฯ

โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:08:28

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ หลังเขา วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:19:48
สาธุครับพี่พัลวัน
ยินดีด้วยครับที่อ่านถึงที่พี่หลุดจากภาวะนั้นก็เกิดปิติตามเลยครับ
อนุโมทนาด้วยใจจริงครับ
โดยคุณ หลังเขา วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:19:48

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ กระต่าย วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:21:41
สาธุ สาธุ สาธุ
โดยคุณ กระต่าย วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:21:41

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:51:16
(๏) สาธุครับพี่ : )
เมื่อวานมีงานเลี้ยงปีใหม่ที่ทำงาน
เพื่อนๆ กินเหล้ากันตั้งแต่เช้ายันค่ำ
ดีใจที่ตัวเองรอดพ้นมาได้
และสามารถนั่งอยู่ร่วมกับคนกินเหล้าได้โดยไม่มีความรู้สึกอยากกิน
แปดเหลี่ยมที่เก็บไว้ไม่แตะต้องอยู่เป็นปีในโต๊ะ
ก็โดนเพื่อนๆ จัดการเรียบ :D หมดห่วง
โดยคุณ โยคาวจร วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 09:51:16

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:16:12
เป็นธรรมที่น่าร่าเริงใจครับ อ่านแล้วเห็นคุณของศีลได้เป็นอย่างดี
รวมทั้งได้เห็นโทษของปาณาติบาตและความถือดีด้วย

การดำรงชีวิตอยู่กับโลกนั้น บ่อยครั้งที่เกิดความขัดแย้งที่ยากจะตกลงใจ
เช่นเมื่อเลี้ยงสุนัขแล้ว ไม่อาบน้ำให้ ปล่อยให้เป็นขี้เรื้อน
ก็เท่ากับทำผิดหน้าที่ ขาดความเมตตากรุณา
ครั้นอาบน้ำให้มัน ก็มีโทษ ทำให้เห็บและหมัดตาย
ก็เป็นการขาดความเมตตากรุณาอีกด้านหนึ่ง

ปัญหาลักษณะนี้ นักปฏิบัติกลุ้มใจกันมามากครับ

มีทหารคนหนึ่งเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่เทสก์ด้วยความกลุ้มใจว่า
เขาเป็นทหารมีหน้าที่รบ เวลาต้องยิงข้าศึกนั้น จิตเป็นทุกข์มาก
เพราะเห็นว่าศีลด่างพร้อย จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม
(คงทุกข์มากกว่าที่ทำหมัดตาย)
ท่านก็กรุณาตอบว่า อย่าไปคิดว่าเราจะฆ่าคน
อย่าให้จิตมีความอาฆาตมาดร้ายต่อข้าศึกศัตรู
ให้กำหนดในใจอยู่อย่างเดียวว่า เรากำลังทำหน้าที่
เพื่อความสงบสุขของชาติบ้านเมืองและประชาชนจำนวนมาก

กรณีคล้ายกันนี้เคยเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาลเหมือนกัน
คือเพชฌฆาตผู้หนึ่ง ได้ฟังธรรมจากท่านพระสารีบุตรเมื่อตอนตัวแก่ใกล้ตาย
แต่จิตไม่สงบเลย เพราะคิดอยู่่ว่า เราเป็นคนไม่ดี เราฆ่าคนมามาก
ท่านพระสารีบุตรทราบวาระจิต จึงออกอุบายถามว่า
ที่ท่านฆ่าคนนั้น ท่านทำตามหน้าที่ หรือท่านอยากฆ่าเขา
เพชฌฆาตก็ตอบตามตรงว่า ไม่ได้อยากฆ่าหรอก แต่ต้องทำตามหน้าที่
แล้วจิตของแกก็คิดว่า เราทำตามหน้าที่ เราทำตามหน้าที่
ความรู้สึกผิดบาปในใจก็ลดลง น้อมใจลงฟังธรรม จนสามารถไปสู่สุคติได้

พวกเราที่เคยอ่านเรื่องกำลังภายใน
คงเคยพบว่าพระเส้าหลินเวลาจะปราบมารเพื่อความสุขของยุทธภพ
ก็จะวางใจว่า เราไม่เข้านรก ใครจะเข้านรก

พระอรชุน เมื่อจะเข้ารบกับพระญาติพระวงศ์ แล้วจิตเกิดสลดหดหู่
เมื่อได้ฟังธรรมจากพระกฤษณะ อันเป็นนารายณ์อวตาร
ว่ากษัตริย์มีหน้าที่รบ ข้าศึกที่จะตายนั้น ย่อมถึงที่ตายจึงตาย

ที่ผมยกตัวอย่างมาหลายเรื่องนี้ ไม่ใช่เพื่อสรรเสริญการฆ่าตามหน้าที่
และก็ไม่ได้เห็นด้วยกับพระเส้าหลิน หรือพระกฤษณะ
เพียงแต่บอกว่า ถ้ามีหน้าที่ ก็วางใจลงว่าเราทำหน้าที่
เหมือนหมอที่ฆ่าเชื้อโรคเพื่อช่วยชีวิตคน
ถ้าหมอคิดว่า เราเกลียดเชื้อโรค จะฆ่ามันให้ตายให้หมด
อันนี้ก็เศร้าหมองมาก
ถ้าคิดว่า เราจะช่วยชีวิตคนอื่น ช่วยบรรเทาทุกขเวทนา
กรรมดีก็มีผลแรงกว่ากรรมชั่ว
(ของดเว้นประเด็นอภิปรายเรื่อง เชื้อโรคเป็นสัตว์ตามนิยามของพระพุทธศาสนา
และมีจิตหรือไม่)

สำหรับเรื่องความถือดีและคิดล่วงเกินครูบาอาจารย์
ก็เป็นปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งของนักปฏิบัติ
เพราะความคิดมันเป็นอนัตตา ห้ามไม่ได้
กิเลสคือความถือดี ก็เป็นอนัตตา บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้
เวลาคิดถึงครูบาอาจารย์ บางครั้งกระทั่งต่อหน้า
ความคิดอกุศลต่อครูบาอาจารย์ก็ยังเกิดขึ้น
จนบางคน ไม่กล้าเข้าใกล้ครูบาอาจารย์ เพราะกลัวความคิดไม่ดีของตนเอง

ลำพังความคิดผุดขึ้นนั้น มันเป็นเพียงเงาๆ เกิดแล้วก็ดับไป
แบบนี้ก็ไม่เกิดกรรมทางใจ
เพราะจิตไม่ได้มีพฤติกรรมใดๆ เลย นอกจากรู้ความคิดที่ผุดขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้าคิดร้ายกับครูบาอาจารย์แล้ว จิตเคลื่อนตามเข้าไปเล่นด้วย
เกิดเป็น เราอย่างนั้น เราอย่างนี้ ในทางลบหลู่ครูบาอาจารย์
แบบนี้จึงเป็นมโนกรรม
แต่ธรรมชาติของเรา ยังเหลือวิสัยที่จะเลี่ยงกรรมชนิดนี้ได้
หากพลาดพลั้งไปแล้วก็ให้รู้ว่า คิดอย่างนี้ไม่ถูก อบรมสั่งสอนตนเองเสีย
และนึกขอขมาท่านเสียก็พอแล้ว
หรือถ้าไม่สบายใจมากจริงๆ มีโอกาสก็ขอขมาท่านเสีย

มีเรื่องจริงมาเล่าให้พวกเราฟัง
คือ พุทธนันท์ นั้น เป็นคนจิตซุกซนอย่างร้ายกาจ
จิตใจเคยลบหลู่ครูบาอาจารย์ชั้นสูงถึง 3 องค์

องค์หนึ่งคือ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร แห่งถ้ำผาปล่อง
ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษาอยู่เชียงใหม่
ได้ไปกราบหลวงปู่สิมพร้อมกับเพื่อนกลุ่มใหญ่
ฟังเพื่อนถาม และหลวงปู่ตอบคำถามแล้วก็คิดว่า
คำถามเหล่านี้ เราก็ตอบได้เหมือนกัน (รู้สึกว่าเรากับหลวงปู่ก็รู้พอๆ กัน)

อีกคราวหนึ่งได้ไปกราบ หลวงปู่แหวน สุจินโณ แห่งดอยแม่ปั๋ง
ได้เห็นท่านแสดงอาการอึดอัดเพราะหายใจไม่ออกที่คนเข้าไปรุมล้อมท่าน
ก็คิดในใจว่า พระอรหันต์อะไรอย่างนี้
คือตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่า พระอรหันต์ก็ต้องเสวยเวทนาทางกาย

คราวหนึ่งไปกราบหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ที่หินหมากเป้ง
ไปเรียนท่านว่า หลวงปู่ครับ ผมอยากจะละกาม แต่จิตมันยังอาลัยอยู่
เจตนาที่กล่าวอย่างนี้ ก็เพื่อจะขออุบายปฏิบัตินั่นเอง
แต่หลวงปู่กลับอุทานขึ้นเสียก่อน ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากว่า
อ้าว อาลัยมันก็ไม่ได้น่ะสิ
เพียงเท่านี้ ความอายทำให้โกรธจนหน้าแดง ไม่ถามอะไรท่านต่อไป
ท่านเห็นเงียบไป ก็เกิดความเมตตา กลัวจะตกนรกหมกไหม้เสีย
ก็เลยสอนนุ่มๆ ว่า ต้องเห็นโทษของกาม จิตจึงจะละได้

นี่ขนาดคนที่ปฏิบัติมานานนักหนาแล้ว จิตยังโอหังบังอาจคิดปรุงไปได้ขนาดนี้
แต่เพราะความสำนึกผิดในภายหลัง
ได้กราบขอขมาครูบาอาจารย์ด้วยตนเองบ้าง
องค์ใดไม่มีโอกาสขอขมาโดยตรง ก็ขอขมาในใจ
เพราะผิดแล้วสำนึกผิดอย่างนี้
การปฏิบัติของพุทธินันท์ก็ก้าวหน้ามาตามลำดับ
จัดว่าเป็นนักปฏิบัติที่ดีอีกคนหนึ่งได้

ที่เล่าเรื่องนี้ ก็เพื่อให้พวกเราคลายความกังวลใจ
เมื่อเกิดพลาดพลั้งทางใจขึ้น
โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:16:12

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ putuchon วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:23:14
เมื่อวานก่อน ก็ไปกราบหลวงปู่เหรียญ ที่ที่พักของท่านที่นวธานี ก็ได้รับการสอนเรื่องศีล อบรมใจให้สงบ  ท่านสอนว่าให้รักษาศีลให้ดี  แล้วเมื่อการทำภาวนา ก็ปล่อยวางจากการนึกคิดปรุงแต่ง แล้ว ระลึกถึงศีลที่ตนได้รักษาไว้   ดูว่ามันดี มันด่างพร้อยตรงใหน ซึ่งต้องดูอย่างซื่อสัตย์อย่าโกหกตัวเอง   เมื่อพบว่าศีลเราดีจริงแล้ว  ความสงบในใจก็จะเกิดขึ้น   ความยินดี ปิติก็จะเกิดขึ้น  หลวงปู่สอนให้น้อมเอาใจ ผู้รู้นั้น เข้าไปประคับประคอง ความรู้สึก ปิติ สงบเบิกบานนั้นไว้

เพียงกราบอยู่ใกล้ๆ  ฟังและทำตามท่านไป จิตใจก็สงบ สติแจ่มใส ชัดเจนทีเดียว ครับ

เห็นคุณพัลวัน เขียนเรื่อง ศีล เลย คิดว่า ที่หลวงปู่สอนเกี่ยวข้องอยู่  จึงเข้ามาเพิ่มเติมครับ
โดยคุณ putuchon วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:23:14

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:28:25
สาธุครับครู

_/|\_ _/|\_ _/|\_

สำหรับผมที่เป็นมาก เหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเคยตั้งใจไว้แต่เด็กๆ ว่าจะไม่เบียดเบียนชีวิตใครด้วยครับ พอมาเจอเข้า ก็หนักเพราะเสียสัจจะด้วยครับ แต่ก็คิดว่า การสมาทานศีลใหม่ ทำให้ใจคลายลงจากความรู้สึกผิดที่เสียสัจจะครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:28:25

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:39:31
สาธุครับครู

_/|\_ _/|\_ _/|\_

สำหรับผมที่เป็นมาก เหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเคยตั้งใจไว้แต่เด็กๆ ว่าจะไม่เบียดเบียนชีวิตใครด้วยครับ พอมาเจอเข้า ก็หนักเพราะเสียสัจจะด้วยครับ แต่ก็คิดว่า การสมาทานศีลใหม่ ทำให้ใจคลายลงจากความรู้สึกผิดที่เสียสัจจะด้วยครับ นอกจากการที่ใจมีศีลขึ้นมาใหม่ครับ

(อันก่อนตกตรงท่อนหลังครับ)


โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 10:39:31

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 12:04:42
สาธุครับ

นี่เรียกว่าเราตั้งนะโม(นอบน้อม)กันแทบทุกวัน
แต่ลืมเอานะโมมาปฏิบัติ ก็คงจะได้นะครับ :)
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 12:04:42

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ Lee วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 12:42:45
คุณ พัลวัล

เอาลูกหมาไปหา สัตวแพทย์ ให้เขาฉีดยากันพยาธิหัวใจ ชื่อ Ivermec  จะช่วยป้องกันพยาธิ ตัวเห็บ ขี้เรื้อนของผิวหนังได้ครับ

ไม่ผิดศีลด้วย เพราะ เราไม่ได้ทำอะไร ตัวเห็บ มันไป มันมา กับหมาเอง เราไม่เกี่ยว
โดยคุณ Lee วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 12:42:45

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 12:49:11
เรียน พี่ Lee
ตอนนี้อาบน้ำให้ทุก 2 สัปดาห์ ก็ไม่มีเหมือนกันครับ
โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 12:49:11

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 17:32:18
ขอบคุณครับพี่พัลวัน เรื่องอาบน้ำให้หมานี้รู้สึกจะเป็นหน้าที่หลักให้ผมเสมอเมื่อกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพราะอาจจะสนิทกับหมามากกว่าคนอื่นก็ได้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีตัวหมัด ตัวเห็บตายจากการอาบน้ำนี้ แต่ผมอาจจะไม่ได้สังเกตุเหมือนพี่พัลวันหรือไม่ได้ภาวนาจึงไม่รู้สึกทุกข์มากนัก แต่เจตนาในการฆ่าหมัดหรือเห็บของผมไม่มีมีแต่เจตนาอาบน้ำให้หมาเท่านั้น บางทีเจอเห็บที่ตัวโตๆก็จะเอาไปปล่อยไกลๆ โดยไม่ได้ฆ่าและหากเห็นว่ามีหมัดลอยน้ำตายก็จะนึกขออโหสิกรรมและอุทิศส่วนบุญให้เขาเสมอๆ ต่อๆไปคงต้องระวังในเรื่องนี้มากๆครับเพราะไม่งั้นจะเหมือนเราแกล้งไม่รู้ไม่เห็นเพราะเราก็รู้อยู่ว่าชีวิตสัตว์อื่นต้องตกล่วงไปเพราะเรา คงต้องใช้วิธีจากคุณหมอลีน่าจะดีที่สุดครับ
โดยคุณ ทองจันทร์ วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 17:32:18

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 18:33:10
อ่านแล้วสดุ้งไปหลายตลบเลย เพราะวันนั้นที่ได้ฟังที่บ้านลานทองก็นั่งนึกอยู่แล้วเชียวว่าทำไมท่านเน้นเรื่องศีลนัก และที่สดุ้งเพราะวันนั้นก็เพิ่งจะฆ่าลูกน้ำตายแบบมีข้ออ้างว่ามันไม่ตายหรอกน่ะ เพราะ เทน้ำที่มีลูกน้ำลงไปในโถส้วม แต่อีกใจก็แย้งว่า เทลงไปมันต้องตายแน่ๆ เลยเกิดอาการสับสนพอสมควร แล้วที่แน่ๆ เอี้ยงเองก็เคยมีจิตซุกซน ลบหลู่ครูบาอาจารย์ คราวหลวงพ่อท่อนท่านมาเทศน์ที่บ้านลานทอง และพอท่านเทศน์เสร็จเอี้ยงเห็นพี่สันตินันต์ท่านลงไปคุกเข่าเปิดประตูให้ท่านเอี้ยงถึงกับสะดุ้งเสียวสันหลังวาบ ต้องรีบกลับไปกราบขอขมาท่านต่อหน้าพระขอบคุณมากสำหรับกะทู้นี้ที่ทำให้เอี้ยงมีโอกาสกล่าวแบบที่คุณพัลวันเรียกว่า ปลงอาบัติค่ะ ขอบคุณมาก 
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 18:33:10

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ tana วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 19:07:20
เรื่องลบหลู่นี่ผมเองก็มีเหมือนกัน ก็ขอถือโอกาสนี้ขอขมาต่อท่านเหล่านั้นด้วยครับ
โดยคุณ tana วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 19:07:20

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ lastthink วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 20:20:22
สาธุ ค่ะ
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดหลังจากที่
ได้กล่าวอาราธนาศีล และได้ตั้งใจปฏิบัติตาม
โดยเคร่งครัดแล้ว รู้สึกว่า
ตัวเองเป็น คน ที่สมบูรณ์ขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ
โดยคุณ lastthink วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 20:20:22

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ มวยวัด วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 20:23:04
ขอบพระคุณครับ
โดยคุณ มวยวัด วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 20:23:04

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 08:31:07
เรื่องจิตที่ลบหลู่ครูบาอาจารย์นั้น เป็นเรื่องที่มีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพราะจิตนั้น กลับกลอกรวดเร็ว
คราวหนึ่งท่านอาจารย์พระมหาปิ่น ออกไปปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มั่น
เวลากลางคืนอยู่ในกุฏิตามลำพัง จิตก็ส่งส่ายฟุ้งซ่านไปว่า
เราเป็นมหาเปรียญ มาหัดปฏิบัติกับท่านพระอาจารย์มั่น
ดูองค์ท่านก็เล็กนิดเดียว และไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมมาเลย
ท่านจะสอนผิดถูกอย่างไรก็ไม่ทราบ จะมีความสามารถสอนเราหรือเปล่าก็ไม่ทราบ
เฝ้าคิดวนเวียนอยู่อย่างนี้พักใหญ่
ได้ยินเสียงคนเดินมาและเอาไม้เท้าฟาดฝากุฏิของท่าน
แล้วเสียงท่านอาจารย์มั่นก็ดุมาว่า
มหาปิ่น เธอจะมาปฏิบัติธรรม หรือจะมานั่งคิดนินทาเรา
ท่านอาจารย์พระมหาปิ่นจึงรีบลงจากกุฏิ กราบขอขมาท่านพระอาจารย์มั่น
แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมต่อมา จนกลายเป็นอาจารย์พระป่าสำคัญอีกองค์หนึ่ง

ผมมีคนรู้จักอยู่คนหนึ่ง แซ่ฉั่ว ชื่อเอ็ง
เคยบวชเป็นพระในวัดเซ็น แล้วต่อมาสึกออกมามีครอบครัว เพราะไม่มีคนสืบสกุล
ซึ่งเป็นเรื่องผิดร้ายแรงมากสำหรับคนจีน เข้าข่ายอกตัญญูทีเดียว
ฉั่วเอ็งเป็นชาวนายากจน แต่ตั้งแต่สึกมาก็สมาทานศีลอย่างมั่นคง
ทำให้การดำรงชีพฝืดเคืองมาก เพราะไม่ยอมเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ไม่ยิงนกจับปลา
เพื่อนบ้านแนะนำให้หากินทางปาณาติบาตอย่างไรก็ไม่เอา
จนเขาพากันดูถูกเหยียดหยาม ว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้จักทำมาหากิน
ถึงขนาดเอาฉั่วเอ็งไปสอนไม่ให้ลูกๆ เอาตัวอย่าง
เวลาเดินสวนกับพวกเด็กๆ เด็กก็จะร้องเพลงว่า
ฉั่วเอ็งเป็นคนประสาท ฉั่วเอ็งเป็นคนอ่อนแอ

การถือศีลคราวนั้น เป็นศีลที่แลกด้วยความอดอยากแร้นแค้นในการดำรงชีวิต
และแลกด้วยศักดิ์ศรี โดยไม่เห็นอนาคตว่าชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไรเพราะการรักษาศีลนั้น
จนต่อมาเมื่อทำนาไม่ได้ผล ก็ต้องทิ้งนาไปหางานรับจ้างในเมืองเซี่ยงไฮ้
แล้วไปถูกฆ่าตายทั้งครอบครัว

การถือศีลที่ลงทุนขนาดนี้ต้องเด็ดเดี่ยวจริงจัง
และคนที่เด็ดเดี่ยวอย่างนี้ มั่นคงในศีลอย่างนี้
เพียงระลึกถึงศีล ปีติก็เกิด ปัสสัทธิคือความสงบระงับก็เกิด สมาธิก็เกิด
ถ้าคนอย่างฉั่วเอ็งมาเกิดใหม่ แล้วปฏิบัติธรรมได้ผลเร็ว
ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 08:31:07

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 08:38:29
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ โยคาวจร วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 09:36:22
(๏) สาธุครับ
อ่านเรื่องของฉั่วเอ็งแล้วขนลุกน้ำตาคลอเลยครับ
จะพยายามปฏิบัติตามอย่างฉั่วเอ็งครับ
ขอบคุณพี่พัลวันมากครับที่มีกระทู้นี้
โดยคุณ โยคาวจร วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 09:36:22

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 09:51:26
อ่านเรื่องฉั่วเอ็งแล้ว กราบขอบคุณพี่สันตินันท์์อย่างสูงค่ะที่คอยเตือนสติลูกศิษย์อยู่เสมอๆ  และขอบคุณคุณพัลวันมากจริงๆค่ะ
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 09:51:26

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 11:02:34
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ นิดนึง วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 11:06:55
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 17:28:09
ขอบคุณคุณพัลวันที่นำประสบการณ์อันมีค่ามาเล่าให้ฟัง
สำหรับคุณสันตินันท์ -----> สาธุ สาธุ สาธุ
โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 17:28:09

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ สายขิม วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 18:53:36
ไม่ออกความเห็น ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 20:00:14
สาธุค่ะ
โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 20:00:14

ความเห็นที่ 25 โดยคุณ กระต่าย วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 20:35:41
ขอบพระคุณค่ะคุณอา ขอบพระคุณค่ะพี่พัลวัน
โดยคุณ กระต่าย วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 20:35:41

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ มวยวัด วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 21:07:19
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ ต๊าน วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 03:28:49
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 28 โดยคุณ ณภัทร วัน ศุกร์ ที่ 31 ธันวาคม 2542 15:33:08
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 29 โดยคุณ lastthink วัน อาทิตย์ ที่ 2 มกราคม 2543 15:30:07
ปิติหายไปเสียแล้วค่ะ
โดยคุณ lastthink วัน อาทิตย์ ที่ 2 มกราคม 2543 15:30:07

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 4 มกราคม 2543 15:10:51
คุณ lastthink ครับ

ปีติเป็นอนัตตาครับ ไม่ได้อยู่ในอำนาจการบังคับของเรา หรือเป็นไปตามปราถนาของเราครับ

ปีติเป็นธรรมฝ่ายสังขาร เมื่อมีเหตุปัจจัย มันจึงเกิดขึ้น และตั้งดำรงอยู่ แต่เมื่อมันสิ้นเหตุสิ้นปัจจัย ปีติก็ดับลงไป เป็นธรรมดา . . . .ครับ
โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 4 มกราคม 2543 15:10:51

ความเห็นที่ 31 โดยคุณ lastthink วัน ศุกร์ ที่ 7 มกราคม 2543 18:50:50
จริงด้วยค่ะ
ทุกสิ่งทุกอย่าง มีเกิด มีดับ
เป็นธรรมดาจริงๆ
ก็ช่างมันเถอะค่ะ อะไรจะหาย
ก็ปล่อยให้มันหาย ให้มันเป็นไปค่ะ
โดยคุณ lastthink วัน ศุกร์ ที่ 7 มกราคม 2543 18:50:50

ความเห็นที่ 32 โดยคุณ นุดี วัน อาทิตย์ ที่ 9 มกราคม 2543 18:09:53
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com