โลก 3 มิติ (space) อย่างที่ทราบกันดี มนุษย์รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวในโลก 3 มิติคือ กว้างxยาวxสูง ผ่านทางทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นดูเหมือนจะเป็นกรอบอันหนึ่ง ที่บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูก จำกัด ถูกขังอยู่ในโลก สามมิติใบนี้ บางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ แต่เราไม่สามารถบอก ได้ว่ามันคือ อะไร เชื่อว่าความโหยหาชนิดนี้มีอยู่ในผู้แสวงหาทุกคน
มิติที่ 4 (time) ในทางวิทยาศาสตร์ เราถือว่ามิติที่ 4 คือ มิติแห่งเวลา เป็นการเคลื่อนไหว เป็นการเปรียบเทียบของวัตถุ 3 มิติ กับตัวมันเองในอดีต และอนาคต
ในโลก 4 มิติ ทุกอย่างต้องมีจุดอ้างอิงในการวัดเสมอ เช่นถ้าเราจะบอกว่า วัตถุชิ้นหนึ่งยาว 3 ฟุต เราก็ต้องมีไม้บรรทัดที่กำหนดว่าความยาว 1 ฟุต ยาวขนาดไหน เราต้องมีจุดเริ่มต้น และจุดสุดท้าย ที่จะวัด หรือว่าเรื่องของเวลาก็มีจุดอ้างอิ่งกับแสง ไอสไตร์เป็นผู้หนึ่งที่เปิดเผย ความสัมพันธ์ ของ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเขียนเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพ ที่กล่าวถึงความสัมพัทธ์กันของความเร็วและเวลา มวลและพลังงาน อาจกล่าวได้ว่า การวัดทุกๆ อย่างในโลกอยู่ภายใต้ระบบปิด อยู่ภายใต้ข้อจำกัด หรือเงื่อนไขของสภาวะแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ
วิปัสสนาหามิติที่ 0 แต่ในทางพุทธศาสน์ จุดอ้างอิงเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายนอกเลย พระพุทธองค์มองโลกแตกต่างจาก มนุษย์คนใดในโลก ทรงมองย้อนกลับเข้ามาภายในตัวเอง แล้วพบว่าจุดอ้างอิงเหล่านี้ล้วนออกมา จากจิตหนึ่งเดียวดวงนี้ ในแง่ของ space ระยะทางและปริมารตเกิดจากการที่จิตมุ่งออกไปสนใจวัตถุ หรือภาพ, ความดังของเสียงเกิดจากการที่จิตมุ่งออกไปสนใจในเสียง, น้ำหนักเกิดจากการที่จิตมุ่ง ออกไปสนใจในสิ่งที่สัมผัสได้ ฯ โดยมีกิเลสตัญหาภายในเป็นแรงผลักดัน เช่นเดียวกันเวลา (time) ย่อมเกิดจากความทรงจำที่มีอยู่ โดยมีกิเลสตัญหาภายในเป็นแรงผลักดัน
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นเรียกได้ว่า เป็นการทำจิตให้อยู่กับปัจจุบัน (คือไม่มีเวลา) โดยการ พิจารณาในไตรลักษณ์ของธรรมต่างๆ จนกระทั้ง เมื่อจิตสงบดีแล้ว สัญญาที่เกิดขึ้น ก็เป็นเหมือน คลื่นเล็กๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไปไม่มีการปรุงแต่งต่อในให้เกิดตัญหา ไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ ใน จิตเมื่อไม่มีการเปรียบเทียบ ก็ไม่มีเวลา
เช่นเดียวกันกับอีก 3 มิติที่เหลือ ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อจิตทะยานไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ภายนอกต่างๆ หากจิตเห็นซึ่งความไร้สาระของอารมณ์ต่างๆ เสียแล้ว (แน่นอน นี่จะเกิดได้ด้วยด้วยความเพียรภาวนา เท่านั้น) ก็ย่อมไม่สนใจเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ใด เปรียบได้กับน้ำซึ่งไม่รวมกับน้ำมัน หรือ การนั่งใน ฝูงร้ายงูโดยไม่ถูกขบกัด เมื่อจิตไม่ส่งออกเสียได้ ก็เป็นอันว่าเราไม่มีมิติใดๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งอาจเรียก ได้ว่าเป็นมิติที่ 0 คือไม่มีมิติ ไม่ใช่มีอีกมิติหนึ่งเรียกว่ามิติที่ 0 (คล้ายกับคำว่าอนัตตาคือไม่มีอัตตา ไม่ใช่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นอนัตตา)
โลกมิติที่ 0 มนุษย์ผู้แสวงหาทุกคนย่อม รู้สึกอยากทำลายกรงขัง 4 มิติใบนี้ด้วยหวังว่าจะเจอโลกใหม่ ที่ให้ความรู้สึก ในอิสระเสรี โดยไม่ได้มองย้อนกลับมาดูจิตของตัว เมื่อไม่ได้ย้อนดูจิตตัวก็ย่อมไม่รู้ว่า แม้กระทั้ง ความรู้สึกอยากทะลายกรงขังนี้ก็ออกมาจากจิตหนึ่งเดียวนี้เหมือนกัน มนุษย์แสวงหาประตูออกที่อยู่ด้าน นอก แต่หารู้ไม่ว่าประตูที่แท้จริงนั้น มันอยู่ที่จุดเริ่มต้นคือจิต เป็นการทำลายสิ่งที่ทุกคนรักที่สุด คือตัวเอง จึงเป็นของยากสำหรับมนุษย์ ซึ่งมีความรู้สึกรักในความเป็นตนเอง อย่างแน่นเฟ้น มนุษย์อยากได้เสรีภาพ แต่ก็เกรงกลัวที่จะพบกับเสรีภาพในนั้นเป็นความชาญฉลาดที่สุดในการปกป้อง ตนเองของอวิชชา
สิ่งที่เราพากเพียรปฏิบัติกันกอยู่คือการเจริญสติปัฏฐาน เป็นการสร้างความคุ้นเคย เป็นการสอนจิต ให้เรียนรู้ในธรรมชาติ อย่างที่มันเป็น โลกมิติที่ 0 จึงเป็นโลกที่แตกต่างจากโลกที่เราคุ้นเคยอยู่โดยสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันก็เป็นโลกใบเดิมที่มองผ่านทวารทั้ง 6 เหมือนๆ กัน เป็นความแตกต่างบนความเหมือน มีความกลมกลืน ไม่ขัดแย้ง ทั้งกับตัวเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่ กาย แต่เป็นใจ ต่างหาก
--------------------------------------------------------------- ที่จริงว่าจะเขียนเรื่องนี้มาหลายอาทิตย์แล้วครับ มีความรู้สึกหนึ่ง เกิดขึ้นคือ การเห็นว่า การที่เราเห็นจิตส่งออกไปจากเดิมที่ส่งออกไปไกลๆ จนพอปฏิบัตินานเข้าๆ ก็เห็นว่าจิตมันวิ่งไปใกล้ๆ ไม่ไกล บางครั้งในการปฏิบัติมันก็ มารวมที่จุดศูนย์ และก็สูญจากความรู้สึกในตัวตนไปเลย เหมือนกับการที่โลก 4 มิติที่เรามีอยู่มันหดเข้าหาจุดกำเนิดแล้วก็หายไป จึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกออกมา เท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็คงทำได้เพียงเท่านี้ เพราะความเป็นปัจจัตตังครับ
|
|