กลับสู่หน้าหลัก

มิติที่ 0 : มิติแห่งธรรม

โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 11:45:18

โลก 3 มิติ (space)
อย่างที่ทราบกันดี มนุษย์รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวในโลก 3 มิติคือ กว้างxยาวxสูง ผ่านทางทวารทั้ง 6 คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นดูเหมือนจะเป็นกรอบอันหนึ่ง ที่บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูก จำกัด
ถูกขังอยู่ในโลก สามมิติใบนี้ บางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ แต่เราไม่สามารถบอก
ได้ว่ามันคือ อะไร เชื่อว่าความโหยหาชนิดนี้มีอยู่ในผู้แสวงหาทุกคน

มิติที่ 4 (time)
ในทางวิทยาศาสตร์ เราถือว่ามิติที่ 4 คือ มิติแห่งเวลา เป็นการเคลื่อนไหว เป็นการเปรียบเทียบของวัตถุ
3 มิติ กับตัวมันเองในอดีต และอนาคต

ในโลก 4 มิติ ทุกอย่างต้องมีจุดอ้างอิงในการวัดเสมอ เช่นถ้าเราจะบอกว่า วัตถุชิ้นหนึ่งยาว 3 ฟุต
เราก็ต้องมีไม้บรรทัดที่กำหนดว่าความยาว 1 ฟุต ยาวขนาดไหน เราต้องมีจุดเริ่มต้น และจุดสุดท้าย
ที่จะวัด หรือว่าเรื่องของเวลาก็มีจุดอ้างอิ่งกับแสง ไอสไตร์เป็นผู้หนึ่งที่เปิดเผย ความสัมพันธ์ ของ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเขียนเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพ ที่กล่าวถึงความสัมพัทธ์กันของความเร็วและเวลา
มวลและพลังงาน อาจกล่าวได้ว่า การวัดทุกๆ อย่างในโลกอยู่ภายใต้ระบบปิด อยู่ภายใต้ข้อจำกัด
หรือเงื่อนไขของสภาวะแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ

วิปัสสนาหามิติที่ 0
แต่ในทางพุทธศาสน์ จุดอ้างอิงเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายนอกเลย พระพุทธองค์มองโลกแตกต่างจาก
มนุษย์คนใดในโลก ทรงมองย้อนกลับเข้ามาภายในตัวเอง แล้วพบว่าจุดอ้างอิงเหล่านี้ล้วนออกมา
จากจิตหนึ่งเดียวดวงนี้ ในแง่ของ space ระยะทางและปริมารตเกิดจากการที่จิตมุ่งออกไปสนใจวัตถุ
หรือภาพ, ความดังของเสียงเกิดจากการที่จิตมุ่งออกไปสนใจในเสียง, น้ำหนักเกิดจากการที่จิตมุ่ง
ออกไปสนใจในสิ่งที่สัมผัสได้ ฯ โดยมีกิเลสตัญหาภายในเป็นแรงผลักดัน
เช่นเดียวกันเวลา (time) ย่อมเกิดจากความทรงจำที่มีอยู่ โดยมีกิเลสตัญหาภายในเป็นแรงผลักดัน

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นเรียกได้ว่า เป็นการทำจิตให้อยู่กับปัจจุบัน (คือไม่มีเวลา) โดยการ
พิจารณาในไตรลักษณ์ของธรรมต่างๆ จนกระทั้ง เมื่อจิตสงบดีแล้ว สัญญาที่เกิดขึ้น ก็เป็นเหมือน
คลื่นเล็กๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไปไม่มีการปรุงแต่งต่อในให้เกิดตัญหา ไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ ใน
จิตเมื่อไม่มีการเปรียบเทียบ ก็ไม่มีเวลา

เช่นเดียวกันกับอีก 3 มิติที่เหลือ ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อจิตทะยานไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ภายนอกต่างๆ
หากจิตเห็นซึ่งความไร้สาระของอารมณ์ต่างๆ เสียแล้ว (แน่นอน นี่จะเกิดได้ด้วยด้วยความเพียรภาวนา
เท่านั้น) ก็ย่อมไม่สนใจเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ใด เปรียบได้กับน้ำซึ่งไม่รวมกับน้ำมัน หรือ การนั่งใน
ฝูงร้ายงูโดยไม่ถูกขบกัด เมื่อจิตไม่ส่งออกเสียได้ ก็เป็นอันว่าเราไม่มีมิติใดๆ หลงเหลืออยู่ ซึ่งอาจเรียก
ได้ว่าเป็นมิติที่ 0 คือไม่มีมิติ ไม่ใช่มีอีกมิติหนึ่งเรียกว่ามิติที่ 0 (คล้ายกับคำว่าอนัตตาคือไม่มีอัตตา
ไม่ใช่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นอนัตตา)

โลกมิติที่ 0
มนุษย์ผู้แสวงหาทุกคนย่อม รู้สึกอยากทำลายกรงขัง 4 มิติใบนี้ด้วยหวังว่าจะเจอโลกใหม่ ที่ให้ความรู้สึก
ในอิสระเสรี โดยไม่ได้มองย้อนกลับมาดูจิตของตัว เมื่อไม่ได้ย้อนดูจิตตัวก็ย่อมไม่รู้ว่า แม้กระทั้ง
ความรู้สึกอยากทะลายกรงขังนี้ก็ออกมาจากจิตหนึ่งเดียวนี้เหมือนกัน มนุษย์แสวงหาประตูออกที่อยู่ด้าน
นอก แต่หารู้ไม่ว่าประตูที่แท้จริงนั้น มันอยู่ที่จุดเริ่มต้นคือจิต เป็นการทำลายสิ่งที่ทุกคนรักที่สุด
คือตัวเอง จึงเป็นของยากสำหรับมนุษย์ ซึ่งมีความรู้สึกรักในความเป็นตนเอง อย่างแน่นเฟ้น
มนุษย์อยากได้เสรีภาพ แต่ก็เกรงกลัวที่จะพบกับเสรีภาพในนั้นเป็นความชาญฉลาดที่สุดในการปกป้อง
ตนเองของอวิชชา

สิ่งที่เราพากเพียรปฏิบัติกันกอยู่คือการเจริญสติปัฏฐาน เป็นการสร้างความคุ้นเคย เป็นการสอนจิต
ให้เรียนรู้ในธรรมชาติ อย่างที่มันเป็น โลกมิติที่ 0 จึงเป็นโลกที่แตกต่างจากโลกที่เราคุ้นเคยอยู่โดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกันก็เป็นโลกใบเดิมที่มองผ่านทวารทั้ง 6 เหมือนๆ กัน เป็นความแตกต่างบนความเหมือน
มีความกลมกลืน ไม่ขัดแย้ง ทั้งกับตัวเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่ กาย แต่เป็นใจ
ต่างหาก

---------------------------------------------------------------
ที่จริงว่าจะเขียนเรื่องนี้มาหลายอาทิตย์แล้วครับ มีความรู้สึกหนึ่ง
เกิดขึ้นคือ การเห็นว่า การที่เราเห็นจิตส่งออกไปจากเดิมที่ส่งออกไปไกลๆ
จนพอปฏิบัตินานเข้าๆ ก็เห็นว่าจิตมันวิ่งไปใกล้ๆ ไม่ไกล บางครั้งในการปฏิบัติมันก็
มารวมที่จุดศูนย์ และก็สูญจากความรู้สึกในตัวตนไปเลย เหมือนกับการที่โลก 4
มิติที่เรามีอยู่มันหดเข้าหาจุดกำเนิดแล้วก็หายไป จึงอยากถ่ายทอดความรู้สึกออกมา
เท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็คงทำได้เพียงเท่านี้ เพราะความเป็นปัจจัตตังครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 11:45:18

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 11:48:22
แก้สีหน่อยครับอยากเน้นตรงนี้ครับ
มนุษย์อยากได้เสรีภาพ แต่ก็เกรงกลัวที่จะพบกับเสรีภาพ
นั่นเป็นความชาญฉลาดที่สุดในการปกป้อง ตนเองของอวิชชา
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 11:48:22

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 14:10:42
ทำได้เท่านี้ ก็เพียงพอกับการกล่าวสาธุการแล้ว
ถ่ายทอดได้ถึงใจดีจริงครับ
โดยคุณ สันตินันท์ วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 14:10:42

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 14:47:36
สาธุครับ

(ผมแก้ สีให้คุณมะขามป้อมแล้วครับ)
โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 14:47:36

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 18:16:47
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ tana วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 18:47:17
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ มวยวัด วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 19:57:59
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 21:17:54
ขอบคุณมากค่ะ  ขอตามอ่านไปเรื่อย ๆ ค่ะ 
โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน อังคาร ที่ 28 ธันวาคม 2542 21:17:54

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 09:30:16
คงต้องรอนานหน่อยนะครับคุณมะเหมี่ยว
หมดมุขแล้วครับ :)
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 09:30:16

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ นิดนึง วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 11:12:25
สาธุค่ะ
มารอคิวอ่าน ตามหลังคุณมะเหมี่ยวอีกคนค่ะ
โดยคุณ นิดนึง วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 11:12:25

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 12:09:53
สาธุ ขอบคุณคุณมะขามป้อมมากค่ะ
เคยคิดว่าถ้าไม่มีเวลา ไม่มีระยะทาง
ก็เหลือแต่ภาวะหนึ่งเดียว
แต่ยังขยายความให้ตัวเองไม่ได้
พออ่านที่คุณมะขามป้อมเขียน กำลังค่อยๆเข้าใจขึ้นค่ะ
โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 12:09:53

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 17:12:29
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ กระต่าย วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 20:40:44
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ ดังตฤณ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 21:18:39
ถึงใจเป็นอย่างยิ่งเลยครับ
โดยคุณ ดังตฤณ วัน พุธ ที่ 29 ธันวาคม 2542 21:18:39

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ต๊าน วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 02:52:06
สาธุค่ะ แล้วก็ขอบคุณท่านพี่มะขามป้อมด้วย
อ่านแล้วก็น่าเอาไปประยุกต์ทำthesisต่อจังเลยค่ะ
แต่ยังนึกออกมาเป็นรูปธรรมไม่ได้ค่ะ อิอิ
โดยคุณ ต๊าน วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 02:52:06

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 07:52:19
คุณมะขามป้อม อย่าเพิ่งถือสุภาษิตว่า ของจริงนิ่งเป็นใบ้ นะครับ
ธรรมที่ถ่ายทอดมานั้นน่าอ่าน น่าฟัง มีมุมมองแปลกใหม่สมกับเป็นนักวิทยาศาสตร์
ในอนาคต เราจะต้องมี ธรรมะฉบับวิทยาศาสตร์ เพื่อคนรุ่นใหม่
เพราะวิธีอธิบายสัจจะ อาจจะต้องปรับบ้างตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม
เพื่อดำรงเนื้อหาคือพระสัทธรรม อันพระศาสดาแสดงไว้ดีแล้ว
โดยคุณ สันตินันท์ วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 07:52:19

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ โจ้ วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 08:48:57

ขอบคุณค่ะ
คำว่า มิติที่ 0 ทำให้รู้สึกได้ว่า
การที่เรายิ่งวิ่งหา ก็ยิ่งไม่เจอ
เพราะพอวิ่งหรือเคลื่อนแล้ว ก็เกิดเป็นมิติที่ 1..2..3..แล้ว
โดยคุณ โจ้ วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 08:48:57

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 09:25:35
ขอบคุณทุกท่านครับ

ที่จริงก็ไม่ได้นิ่งเป็นใบ้หรอกครับ พี่สันตินันท์
มันอยู่ที่ปัจจัยคือเรื่องต่างๆ ที่รับ(อ่าน คุย)เข้ามา
ถ้าไม่มีปัจจัยอะไร ก็ไม่รู้จะปรุงเรื่องอะไรออกมา
พอปรุงออกมาก็รู้สึกว่ามันขัดกันอยู่ในความรู้สึกของตัวเอง
เพราะเรากำลังพูดถึงวิมุติด้วยสมมุติ ก็รู้สึกอยู่ว่ามันไม่ใช่
แต่ก็เข้าใจดีว่าเพื่อนๆ ที่นี้ให้ความสนใจกับการปฏิบัติที
่ผมกำลังทำอยู่ ก็พยายามหาเรื่องเขียนมาลงตามเหตุปัจจัยนะครับ

ส่วนเรื่องการอ่านธรรมนั้นผมไม่อยากให้อ่านด้วยการคิด
จิตนาการตามไปหรอกครับ อยากให้อ่านกันโดย การเปรียบเทียบ
ความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง ว่าเหมือนกันมั้ย
ถ้าเหมือนกัน ก็ร้อง "อืม...ใช้เลย" ถ้าไม่เหมือนก็ไม่จำเป็นต้องพยายาม
นึกคิดจินตนาการหรอกครับ อ่านผ่านๆไปก่อน พอเราปฏิบัติ
ก้าวหน้าขึ้นแล้วกลับมาอ่านใหม่ ก็จะร้อง "อ๋อ" เองครับ

บทความต่างๆ ที่ผมเขียนลงที่นี้ บางอันเป็น version แรก
คำพูด ตัวอย่างต่างๆ อาจไม่ชัดเจน ไม่สื่ออย่างที่ผมต้องการจะสื่อ
ผมจะแก้ถ้อยคำสำนวนใหม่ แล้วนำไปไว้ที่ Home Page ของผม
(http://www.thai.net/b-kernel) ในส่วน "ธรรมปฏิบัติครับ"
ติดตามอ่านกันได้ที่นั้น เพราะผมเองก็เข้าไปอ่านแก้หลายรอบ
เหมือนกัน เพื่อตรวจสอบว่าตัวบทความสมบูรณ์แล้วหรือยัง
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 09:25:35

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 09:36:59
สำหรับมิติที่ 1 (คือมีลักษณะเป็นจุดนั้น)
อย่างรู้สึกได้ง่ายกว่ามิติที่ 0 ครับ
มันคือการดูจิตที่เราปฏิบัติกันในชีวิตประจำวัน
มันหมายถึงเมื่อเราแยกจิตกับอารมณ์ได้แล้ว ตัวอารมณ์ก็เกิดดับๆ ไป
ไม่ได้มีความหมายมั่นไปเปรียบเทียบอะไร
แต่ตัวจิตผู้รู้นั้นโดดเด่นเป็นดวงชัดเจน บางทีอาจจะรู้สึกของความแข็งกร้าว
ของสติอยู่ด้วยครับ

นั่นคือมิติต่างๆ(ที่เกิดจากการเปรียบเทียบ)
มันหดเข้ามารวมกลายเป็นจุดรวมศูนย์ที่จิตครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 09:36:59

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 10:09:35
ต้องขอโทษด้วยครับ :-b
ความจำสับสนไปหน่อย ที่จริง "จุด"หมายถึงมี 0 มิติหรือมิติที่ 0 ต่างหาก
อย่างนี้อาจต้องเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น อมิติ หรือว่ามิติที่สูญ แล้วครับ
ถึงจะสอดคล้อง เอาไว้ติดตามฉบับแก้ไขที่ Home Page
ก็แล้วกันครับ _/|\_
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 10:09:35

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 11:24:24
เรียบร้อยครับ แก้เยอะพอสมควร คิดว่าคงจะชัดเจนขึ้นครับ
เลยเอามาให้อ่านกันเป็นของขวัญปีใหม่ซะเลย

-------------------------------------------------------------------------------------

โลกไร้มิติ

โลก 3 มิติ (space)
อย่างที่ทราบกันดี มนุษย์รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวในโลก 3 มิติคือ กว้างxยาวxสูง ผ่านทางทวารทั้ง 6 คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ดูเหมือนจะเป็นกรอบอันหนึ่ง ที่บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกจำกัด
ถูกขังอยู่ในโลก 3 มิติใบนี้ บางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ แต่เราไม่สามารถบอก
ได้ว่ามันคืออะไร เชื่อว่าความโหยหาชนิดนี้มีอยู่ในผู้แสวงหาทุกคน

มิติที่ 4 (time)
ในทางวิทยาศาสตร์ เราถือว่ามิติที่ 4 คือ มิติแห่งเวลา เป็นการเคลื่อนไหว เป็นการเปรียบเทียบของวัตถุ
3 มิติ กับตัวมันเองในอดีต และอนาคต

ในโลก 4 มิติ ทุกอย่างต้องมีจุดอ้างอิงในการวัดเสมอ เช่นถ้าเราจะบอกว่า วัตถุชิ้นหนึ่งยาว 3 ฟุต
เราก็ต้องมีไม้บรรทัดที่กำหนดว่าความยาว 1 ฟุต ยาวขนาดไหน เราต้องมีจุดเริ่มต้น และจุดสุดท้าย
ที่จะวัด หรือว่าเรื่องของเวลาก็มีจุดอ้างอิงกับแสง ไอน์สไตน์เป็นผู้หนึ่งที่เปิดเผย ความสัมพันธ์ ของ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเขียนเป็นทฤษฎีสัมพัทธภาพ ที่กล่าวถึงความสัมพัทธ์กันของความเร็วและเวลา
มวลและพลังงาน อาจกล่าวได้ว่า การรับรู้ทุกๆ อย่างในโลกอยู่ภายใต้ระบบปิด อยู่ภายใต้ข้อจำกัด
หรือเงื่อนไขของสภาวะแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ


มิติในโลกแห่งจิต
ในทางพุทธศาสน์ จุดอ้างอิงเหล่านี้ไม่ได้อยู่ภายนอกเลย พระพุทธองค์มองโลกแตกต่างจาก
มนุษย์คนใดในโลก ทรงมองย้อนกลับเข้ามาภายในตัวเอง แล้วพบว่าจุดอ้างอิงเหล่านี้ล้วนออกมา
จากจิตหนึ่งเดียวดวงนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ระยะทาง เมื่อเรามองออกไปผ่านสายตาสองข้าง
ระยะทางเรารับรู้ได้ย่อมอ้างอิงตัวผู้ดู ผู้ให้ชัดเจนคือจิตของเราเอง(ซึ่งกำลังสนใจในวัตถุนั้นๆ) เป็น
จุดอ้างอิง หากมีการเปรียบเทียบว่าใกล้หรือไกล นั้นย่อมขึ้นอยู่กับสัญญา(ความทรงจำ) ที่เรามีอยู่
โดยมีกิเลสตัญหาภายในเป็นแรงผลักดัน เช่นเดียวกันเวลาจะเร็วหรือช้าย่อมเกิดจากความทรงจำที่มีอยู่
โดยมีกิเลสตัญหาภายในเป็นแรงผลักดัน

โลกไร้มิติ
การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นเรียกได้ว่า เป็นการทำจิตให้อยู่กับปัจจุบัน (คือไม่มีเวลา) โดยการ
พิจารณาในไตรลักษณ์ของธรรมต่างๆ จนกระทั้ง เมื่อจิตสงบดีแล้ว สัญญาที่เกิดขึ้น ก็เป็นเหมือน
ฟองคลื่นเล็กๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไปไม่มีการปรุงแต่งต่อในให้เกิดตัญหา ไม่มีการเปรียบเทียบใดๆ
ในจิตเมื่อไม่มีการเปรียบเทียบ ก็ไม่มีเวลา  ไม่มีการไป ไม่การมา

เช่นเดียวกันกับอีก 3 มิติที่เหลือ ซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อจิตทะยานไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ภายนอกต่างๆ
หากจิตเห็นซึ่งความไร้สาระของอารมณ์ต่างๆ เสียแล้ว (แน่นอน นี่จะเกิดได้ด้วยด้วยความเพียรภาวนา
เท่านั้น) ก็ย่อมไม่มีความหมายมั่น ไม่เปรียบเทียบ ไม่สนใจเกาะเกี่ยวในรูปนามใดๆ เปรียบได้กับน้ำ
ซึ่งไม่รวมกับน้ำมัน หรือ การนั่งในฝูงร้ายงูโดยไม่ถูกขบกัด เมื่อจิตแยกจากอารมณ์อย่างชัดเจน
จิตผู้รู้จะรวมศูนย์ มีลักษณะเด่นเป็นดวง ชัดเจนในตัวเอง บางทีผู้ปฏิบัติอาจรู้สึกถึง สติที่แข็งกร้าว
เกินควร จิตในขณะนั้นไม่ส่งออกแต่จะจดจ่ออยู่กับจิตผู้รู้ มีเจตนา มีความจงใจ ยังมีความหมายมั่น
ว่าตนเป็นผู้ดูจิต ลักษณะเช่นนี้เอง ที่คล้ายกับโลกที่มี 4 มิติ (มีการเปรียบเทียบ มีจุดอ้างอิง) หดตัว
เหลือเป็นจุดๆ เดียว(มิติที่ 0) คือที่จิต

หากจิตมองเห็นเจตนาในการดูจิต มีปัญญาเห็นความไร้สาระของการกำหนดจิตว่าเป็นผู้รู้ และสิ่งที่ถูกรู้
เสียได้ เมื่อนั้นจิตก็จะสลัดตัวเองทิ้งมิติที่ 0 ที่ตัวเองอยู่ เข้าสู่ภาวะไร้มิติ มีแต่จิตพุทธะที่เบิกบานอยู่
เท่านั้น

บทส่งท้าย
มนุษย์ผู้แสวงหาทุกคนย่อม รู้สึกอยากทำลายกรงขัง 4 มิติใบนี้ด้วยหวังว่าจะเจอโลกใหม่ ที่ให้ความรู้สึก
ในอิสระเสรี โดยไม่ได้มองย้อนกลับมาดูจิตของตัว เมื่อไม่ได้ย้อนดูจิตตัวก็ย่อมไม่รู้ว่า แม้กระทั้ง
ความรู้สึกอยากทะลายกรงขังนี้ก็ออกมาจากจิตหนึ่งเดียวนี้เหมือนกัน มนุษย์แสวงหาประตูออกที่อยู่ด้าน
นอก แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ เพราะว่าประตูที่แท้จริงนั้น มันอยู่ที่จุดเริ่มต้นคือจิต การทลายกรง เป็นการทลาย
สิ่งที่ทุกคนรักที่สุดคือตัวเอง จึงเป็นของยากสำหรับมนุษย์ ซึ่งมีความรู้สึกรักในความเป็นตนเอง
อย่างแน่นเฟ้นมนุษย์อยากได้เสรีภาพ แต่ก็เกรงกลัวที่จะพบกับเสรีภาพ  นั่นเป็นความชาญฉลาด
อย่างที่สุดในการปกป้องตนเองของอวิชชา

สิ่งที่เราพากเพียรปฏิบัติกันอยู่คือการเจริญสติปัฏฐาน เป็นการสร้างความคุ้นเคย เป็นการสอนจิต
ให้เรียนรู้ในธรรมชาติ อย่างที่มันเป็น โลกไร้มิติเป็นโลกที่แตกต่างจากโลกที่เราคุ้นเคยอยู่โดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกันก็เป็นโลกใบเดิมที่มองผ่านทวารทั้ง 6 เหมือนๆ กัน เป็นความแตกต่างบนความเหมือน
มีความกลมกลืน ไม่ขัดแย้ง ทั้งกับตัวเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่กาย แต่เป็นใจ
ต่างหาก สุดท้ายอยากจะบอกนักรบของพระพุทธเจ้าทุกคนว่า จงอย่ากลัวที่จะทำลายตนเอง เพราะสิ่งนั้น
จะทำให้ท่านอยู่ในกรงขังตลอดไป
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 30 ธันวาคม 2542 11:24:24

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 31 ธันวาคม 2542 09:47:50
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 1 มกราคม 2543 09:02:01
สาธุ สาธุ สาธุ
โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 1 มกราคม 2543 09:02:01

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ ต๊าน วัน อาทิตย์ ที่ 2 มกราคม 2543 11:36:54
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน พุธ ที่ 5 มกราคม 2543 07:52:21
เพิ่งจะกล้าอ่านบทความนี้ของคุณเป็นวันแรก เพราะ เมื่อก่อนหน้านี้พอเปิดเจอทีไรต้องขอไปอ่านกะทู้อื่นๆ ดีกว่าเพราะกลัวไม่รู้เรื่องเอาเลย แต่พอลองอ่านจริงๆ อยากจะพูดคำเดียวจริงๆค่ะว่า เยี่ยม! (คงไม่ต้องบอกละนะคะว่าทำไม ^-^) ขอบคุณมากค่ะ 
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน พุธ ที่ 5 มกราคม 2543 07:52:21

ความเห็นที่ 25 โดยคุณ โยคาวจร วัน พุธ ที่ 5 มกราคม 2543 10:32:28
(๏) สาธุครับ : )
โดยคุณ โยคาวจร วัน พุธ ที่ 5 มกราคม 2543 10:32:28

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ dolphin วัน พุธ ที่ 26 มกราคม 2543 08:36:35
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน ศุกร์ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543 08:10:20
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com