ก่อนอื่นต้องขออภัยที่ผมเข้ามาตอบกระทู้ช้าเหลือเกิน เนื่องจากงานไม่รู้พร้อมใจกันมาจากใหน เข้ามาอย่างกับสายน้ำ และต้องขอขอบคุณพี่สันตินันท์,คุณมะขามป้อมและท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงที่ได้ กรุณาให้คำแนะนำในการปฏิบัติธรรมอันมีค่า _/\_ ทีนี้ผมขออนุญาติสรุปการปฏิบัติที่ผ่านมาของผมไว้คร่าวๆเพื่อพิจารณาดังนี้ 1. เริ่มปฏิบัติแบบ"ลองของ" คือเพราะได้มีเหตุการณ์พิลึกพิลั่นสำหรับผม อันเป็นเหตุจูงใจให้ปฏิบัติ ดังนั้นในช่วงแรกจึงเป็นการเริ่มแบบไม่มีครู และการปฏิบัติช่วงนี้ก็มีแต่การทำสมาธิ แบบพิลึกอีกแหละครับ คือ นอนทำ เพียงอย่างเดียว 2. เริ่มหาตำราหลังจากได้"ลองของ"แล้ว ก็รู้สึกว่าการปฏิบัตินี่มันสงบดี หลับลึก,หลับสบาย,งานไม่เครียด,ปล่อยวางได้ง่าย ก็เลยชักจะติดใจการปฏิบัติ ก็เลยหาหนังสือมาอ่าน แต่โดยพื้นฐานเป็นคนเรื่องมาก ดังนั้นหนังสือที่หาอ่าน จึงเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการปฏิบัติเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก ผมไม่รู้พื้นเพ ของผู้เขียน ดังนั้นการเลือกหาหนังสือมาอ่านจึงจำกัดอยู่ภายใต้สำนักพิมพ์/ผู้เขียน อยู่เพียงไม่กี่สำนัก เช่น สำนักพิมพ์มติชน,ธรรมสภาและเพิ่งมีของสำนักพิมพ์อื่นๆ ตามมาภายหลัง อันเกิดมาจากความเห็นว่า ตำรานี้เป็นการจินตนาการของผู้อ่านเอง ดังนั้น การอ่านและศึกษาเองโดยไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำจึงมีโอกาสผิดพลาดสูง ดังนั้นจึงมีหนังสือหลายเล่มที่ซื้อมาอ่านได้หน้าสองหน้าแล้วก็จำเป็นต้องวางทิ้งไว้เฉยๆ เช่น หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด(เล่มนี้หลวมตัวไปซื้อมาได้ยังไงไม่รู้ มีแต่เข้าทรง, อิทธิฤทธิที่ผู้เขียนจินตนาการเอา เลยต้องทิ้งไป ไม่งั้นเดี๋ยวจำอะไรผิดๆไปมันจะยุ่ง), หนังสือของ ดร.ไชย ณ พล หรือ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ผู้โด่งดัง ก็อยู่ในข่ายที่ผม ต้องทิ้งทั้งหมดเพราะมีความเห็นว่าเพี้ยนแหลกราญ(เป็นความเห็นส่วนตัว หากกระทบใจผู้ใด แล้วทำให้เกิดทุกข์ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง) และตามรายชื่อสำนักพิมพ์/ผู้เขียนที่อยู่ในข่ายที่ผมเลือกผมก็จะเลือกเฉพาะ ประวัติ ครูบาอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงด้านการปฏิบัติเช่น ประวัติหลวงปู่ชา,หลวงปู่มั่น,หลวงปู่บุดดา, หลวงปู่ฝั้น,หลวงปู่ดูลย์,ฯลฯ และในเล่มของหลวงปู่ดูลย์นี่เอง ผมจึงได้อ่านพบชื่อ ฆราวาสนักปฏิบัติชื่อ"สันตินันท์" จึงได้ตั้งอธิษฐานในใจว่าอย่างไรก็ขอให้ได้พบและพูดคุยสักครั้ง (ตอนนี้คุยจนพี่สันตินันท์ต้องคอยเบรก : ) ) 3. เริ่มฟุ้งซ่านทีนี้หลังจากอ่านๆๆ แล้วก็ทำสมาธิโดยวิธีพิลึกนั่นแหละ ก็เลยได้มีความสงบ,ความสุขอันเป็นผลซึ่งแปรไปเป็นความติดสุขโดยไม่รู้ตัว และมีความคิดว่าอยากจะให้คนอื่นเข้ามาปฏิบัติธรรม มากๆ ประกอบกับช่วงนั้น เล่น irc ค่อนข้างมาก เลยเปิดห้องคุยธรรมะซะเลยโดยใช้ชื่อห้องว่า"สายธารแห่งสัจจธรรม" ผลปรากฏว่า กิเลสฟู : ) และเพิ่มคนปฏิบัติได้นิดหน่อย 4. ได้พบพี่สันตินันท์ หลังจากโขกโชนในวงการฟุ้งซ่านแล้ว วันนึงก็เข้าไปอ่านกระทู้ ในห้องสมุด(พันทิพย์)ก็ได้เห็นชื่อ"สันตินันท์" เป็นครั้งแรก แต่เพราะว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว จึงได้แต่รู้สึกว่าชื่อนี้ คุ้นๆเท่านั้น จนกระทั่งหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาอ่านอีกที ทีนี้เลยมีความดีใจ ก็เลยตั้งกระทู้ถามพี่สันตินันท์ว่าเป็นคนๆเดียวกันหรือไม่เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มี"เสือสวมรอย" ผมก็เลยไม่บอกว่าผมอ่านมาจากเล่มใหน(เจ้าเล่ห์มั๊ยล่ะ)ให้พี่เขาบอกเองแล้วผมก็เทียบ ว่าตรงกับที่เคยอ่านมามั๊ย 5. ได้ครูสอนธรรมเป็นครั้งแรก หลังจากพูดคุยผ่านกระทู้สักระยะหนึ่งผมจึงได้นัด พบพี่สันตินันท์ที่ พุทธมณฑล วันนั้นจำได้ว่ามีหลายคนที่ไปด้วยกันรวมทั้งพี่ดังตฤณ และในวันนี้เอง ด้วยความตั้งใจจะเอาวิชาให้มากที่สุด(เพราะแว่วๆว่าพี่สันตินันท์มีวิธีที่แปลกกว่าคนอื่น คือรู้วาระจิตผู้อื่นได้) ดังนั้น ในชั่วโมงนั้น ผมจึง ลองอาจารย์ เยอะแยะเลยคือมีความคิดว่า การปฏิบัตินี่ มันต้องลืมตาทำได้ ทำงานก็ต้องปฏิบัติได้ด้วย ดังนั้นผมจึงกำหนดจิตหลายๆรูปแบบ ลองกำหนดแบบนี้สิไช่มั๊ย - ไช่ ก็จำไว้ว่ากำหนดยังไง ไม่ไช่ก็เปลี่ยน แล้วก็ลองกำหนดแบบอื่นดู จนได้รับคำชมเลยคือ "จิตซนอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน" แต่เพราะผมตั้งใจไว้อย่างนั้น ก็เลยได้แต่ยิ้มๆ ในใจคิดว่าซนก็ซน(วะ)จะมาเอาวิชานี่ โดนดุแค่นี้ยังดีกว่าทำแล้วผิดโดยไม่รู้ตัว 6.เริ่มเข้าร่องเข้ารอย หลังจากนอกลู่นอกทางมานาน พอได้อาจารย์ ทีนี้ก็เลยได้ใจ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปเรื่อยและเว้นๆก็คอยไปตรวจสอบ ว่าเราเดินผิดทางหรือไม่ และช่วงนี้เอง ความเพี้ยนก็เริ่มถามหาอีกครั้งคือ มรรคผล ไม่รู้มาจากใหน ว่อนไปทั่วทั้งความคิด จนรู้สึกว่า ถ้าเราปฏิบัติโดยไม่รู้อะไรมาเลยนี่ การปฏิบัติมันคงจะไม่วุ่นวายปานนี้หรอก 7.เริ่มเป็นมนุษย์เจ้าอุบาย ด้วยความปรารถนา มรรคผล ก็เลยเริ่มผิด เพราะการปฏิบัติ นั้นไม่ไช่ปฏิบัติเพื่อมรรคผล แต่เป็นการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ พออยากได้มรรคผล ก็เลยเป็นการ เพิ่มทุกข์ให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัวทีนี้อุบายอะไรที่คิดว่าทำให้การปฏิบัติได้ผลเร็ว จึงไหลมาเทมา ตัวอย่างเช่น การปรับสภาพจิตใจให้สงบแล้วกำหนดนึกเอาว่า ลมนี้กำลังพัดผ่านตัวเราและตัวเราก็ค่อยๆ โดนลมพัดพาไปจนหมดสิ้น อันนี้เรียกว่าอุบายลมอนิจจัง : ) ,กำหนดว่าตัวเองเป็นเครื่องยนต์กลไก , กำหนดภายนอกให้เป็นธาตุ4แล้วค่อยๆย้อนเข้ามาที่ตัวเอง,ฯลฯ 8. น่วมด้วยอุบายหลังจากเป็นมนุษย์เจ้าอุบายจนหนักไปทั้งตัวแล้ว ก็เริ่มเบื่อกับการเป็น มนุษย์เจ้าอุบาย เพราะไม่ว่าจะกำหนดแบบใด มันก็ยังไม่พ้นกิเลสอยู่นั่นแหละ เพราะมันเริ่มด้วยกิเลส มันก็เลยลงด้วยกิเลสอยู่ดีจนกระทั่งได้ฟังเทศนาเรื่องการหาที่อยู่ให้จิตด้วยพุทธ-โธ มาจนถึงตอนนี้ อุบายจึงแทบจะไม่ได้หาเพิ่มเติมอีกเลย จะมีแต่ก็ตอนที่อารมณ์มันพุ่งแรงๆ จนไกล้ๆจะควบคุมไม่ได้ นั่นแหละจึงจะค่อยพลิกแพลงอีกที
และท้ายสุดปัจจุบันนี้ได้สำรวจตัวเองยังปรากฏว่ามีความอยากในมรรคผลอีกนิดหน่อย ยังจัดการได้ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไรและตรงความที่คุณมะขามป้อม ได้บอกกล่าวเอาไว้ นับว่าใกล้เคียง กับการปฏิบัติในทุกวันนี้พอควร นั่นก็คือ" ใช้อุบายแบบไร้อุบายใช้กระบวนท่าที่ไร้กระบวนท่า" ฟังดูแล้วรู้สึกจะบู้ลิ้มไปหน่อยแต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะทุกวันนี้สิ่งที่ใช้อยู่ดูแล้วธรรมดาๆ แต่ ไม่ธรรมดาก็คือ ใช้เพียง "สติ กับ พุทธ-โธ"เท่านั้นเอง เหลียวกลับมาดูข้อความอีกที อ้าว ยาวเหลือเกิน ชักจะพูดมากไปแล้ว ก็เลยขอจบเพียงเท่านี้แล้วกันครับ และต้องขอขอบคุณพี่สันตินันท์ เป็นอย่างสูงมากๆอีกครั้ง ที่คอยดุผม พี่ดุผมไม่กลัว กลัวพี่ไม่ดุ : ) _/\_
(ปล.คำดุน่ะสำหรับเราคนเดียว แต่คำชมไม่ไช่สำหรับเราคนเดียวนะจะบอกให้ น้องๆเพื่อนๆทั้งหลายที่กลัวการโดนอาจารย์ดุ : ) ) |
|