กลับสู่หน้าหลัก

ชีวิต บทบาท และการภาวนา ที่เพี้ยนได้สุดโต่งของเจ้ากระต่าย

โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 12:11:28

ตั้งแต่ปีใหม่มา เริ่มต้นปีด้วยการภาวนาอยู่บ้านเงียบๆถึง 5-6 วันเต็มๆ
ใจรู้สึกชอบช่วงเวลานั้นมาก จากเดิมที่คิดว่า น่าหาที่สัปปายะไปภาวนาอีก
ก็กลายเป็นว่า ที่จริงแล้ว ที่ไหนก็ภาวนาได้ต่างหาก

หลังจากช่วงวันหยุดยาว เปิดมาทำงาน อาจเป็นเพราะเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้นยังไงก็ไม่ทราบ
งานมันถึงมากมายท่วมหัวท่วมหูจริงๆ งานนี้ยังไม่เสร็จออกไป ก็มีงานใหม่เข้ามาอีก
เรียกได้ว่า ส่งจิตออกคิดงานทั้งวันเลย แถมบางวันงานไม่เสร็จ ต้องหอบกลับไปคิดต่อที่บ้านอีก
บางวันก็ทำจนถึงสว่าง เพราะต้องเร่ง present เรียกได้ว่า ไม่มีเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิเลย
เพราะกลับบ้านก็สลบ หัวปักลงเตียงเลย
เมื่อสถานการณ์มันเป็นแบบนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น และรู้สึกก็คือ ทุกข์ใจมากมายมโหฬาร
ตายแล้ว ทำไงดี เครียดเหลือเกิน รู้สึกหวงแหน สภาพความสงบ ความพอใจ ที่สามารถผูกสติไว้กับลมหายใจ
อยู่กับการรู้กายได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน แบบช่วงที่ผ่านมามาก พบแต่ความไม่สบายใจที่ต้อง
ส่งจิตออกคิดงาน ทั้งๆที่ๆรู้อยู่เต็มอกว่า การเอาสติจดจ่อกับงาน ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มความสามารถ นั่นคือการปฏิบัติธรรมอย่างนึง (ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่า
ตัวเองยึดติดกับรูปแบบของการปฏิบัติธรรมอย่างมากมาย) อาทิตย์แรกผ่านไปอย่างทุลักทุเล
เหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลก หน้ายับไปทั้งอาทิตย์ เหมือนโดนสิบล้อทับมา เครียดกว่าที่ควรจะเป็นเพิ่มขึ้นอีกเท่านึง
คิดงานก็เครียดมากแล้ว ยังเครียดห่วงภาวนา คิดงานห่วงภาวนา ภาวนาก็ห่วงคิดงาน
นั่งคิดๆๆๆงานอยู่ ก็หนีเข้ามารู้ลม อ้าว งานหายไปไหน โอย ไปๆมาๆ งานก็ไม่ได้เรื่อง ภาวนาก็เหลว พังทั้งคู่
กว่าใจจะยอมรับสภาพที่ควรจะเป็น ก็แทบน่วม
มีวันนึง ได้มีโอกาสเรียนปรึกษากับครูบาอาจารย์ ท่านก็เป็นฆารวาสแบบเราๆนี่แหละ
ทำงานทางโลก มีหน้าที่รับผิดชอบแบบเราๆ เลยถามท่านไป ท่านก็หัวเราะเบาๆ แล้วก็ตอบว่า
"ยังอยู่ในโลก ยังต้องทำงาน ในระหว่างทำงาน ต้องส่งจิตออกคิดงานอยู่แล้ว ทำงานให้เต็มที่
เต็มความสามารถของเรา เวลาทำงาน ระวังอย่าให้มีอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิด รู้ตัวไว้ ให้ใจเป็นกลาง
เวลากลับบ้าน เราก็ปฏิบัติให้เต็มที่ จะนั่งจะเดิน ต้องพากเพียร รู้อยู่ที่ใจ รู้อยู่ที่เดิน ผัสสะจากตอนกลางวัน
จะเป็นบทเรียน บทพิสูจน์ของการภาวนาในตอนกลางคืน มันจะเป็นเหมือนแบบฝึกหัดให้เราตอนภาวนา
ถ้าเราผ่านตรงนั้นได้ แสดงว่าเรามีการเขยิบขึ้น ให้มีจิตที่รู้เท่าจิต มีจิตที่รู้เห็นจิต"

คุยกับท่านจบ ก็ได้ความสงบอกสงบใจในระดับนึง ทำงานต่อไปได้

วันหนึ่ง กลับจากทำงานเร็วหน่อย ค่อนข้างสบายอกสบายใจ ขึ้นห้องเตรียมภาวนาเหมือนเคย เดินจงกรมตามปกติ
พอเมื่อยก็ลงมานั่งเงียบๆ นั่งนึกถึงตัวเอง เล่น 20 คำถาม ถามตอบตัวเองในใจ (เจาะใจตัวเอง :-) )
ถามตัวเองถึงสภาวะที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ กลับได้รับคำตอบที่น่าตกใจ เพราะไม่ว่าจะถามวกไปวนมาในเรื่องอะไร
สุดท้าย คำตอบทุกๆอันจะมาลง ตรงคำที่ว่า "ฉันอยากพ้นทุกข์" ครั้นถามกลับลงไปว่า ภาวนาแบบค่อยเป็นค่อยไป
ไม่ต้องรีบเร่งได้ไม๊ ก็พบแต่ความอึดอัดใจมากมาย ยอมไม่ได้ของใจ มันอยากจะพ้นทุกข์ซะวันนี้พรุ่งนี้เลย ถ้าเป็นไปได้
นั่งอึ้งไปเหมือนกัน ในที่สุดก็ใช้ปัญญาทางโลกๆ สรุปเอาเองว่า ฉันภาวนาอยู่บนรากฐานของความอยากทั้งสิ้น
ไม่ได้ปฏิบัติเพราะสมควรปฏิบัติ ปฏิบัติเพราะอยากหนีทุกข์เหลือเกิน ซึ่งแน่นอน มีแต่พังกับพัง ไม่รอดแน่
นั่งสังเกตต่อไป ก็พบแต่ความจงใจในการปฏิบัติของตัวเอง พอปล่อยตัวเองตามสบาย ฉันไม่ใช่นักปฏิบัติแล้ว
พอเดินๆไป ก็รู้เข้ามาที่เดิน ก็เห็นว่า มีการขยับขึ้นมาว่า อ้อ นี่รู้เดินนะ ชั้นจะรู้เดินละ พอนั่งทำอะไรไปเรื่อยๆ
ก็รู้เข้ามาที่ลมหายใจ ก็มีการขยับขึ้นมานิดนึงว่า อ้อ ชั้นจะรู้ลมละนะ พบแต่ความจงใจของตัวเอง
และค้นพบว่ามีอาการเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการภาวนามากมาย เช่น อาการตึงหัวตึงหูไปหมด
ตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาตื่นจนกระทั่งเข้านอน (เป็นเวลายาวนานตั้งแต่เริ่มภาวนา จนมาบัดนี้ :-) ไม่น่าเชื่อว่าอึดจริงๆ)
อาการบางวันแตกต่างกันไปเรื่อยๆ บางวัน เหมือนมีก้อนอะไรอยู่กลางหน้าผาก ไม่ก็จุกกลางอก
หรือบางวันก็หายใจไม่ค่อยออก อึดอัดไปหมด บางวันปวดหัวจนน้ำตาแทบไหล แต่ก็ทนเอา
อาการคิดมากฟุ้งซ่านต่างๆนานาก็เต็มไปหมด เช่น ภาวนาแบบนี้ถูกไม๊นะ แบบนี้ดีพอรึยัง หรือ แค่"รู้เฉยๆ"เท่านี้พอเหรอ
ไม่ต้องใช้ปัญญาพิจารณาอะไร  จะถึงมรรคผลไม๊ สารพัดคำถามในใจ อีกปัญหาก็คือ
ความจงใจที่จะหลบผัสสะโดยไม่รู้ตัวเลย เช่น กลัวที่จะมีความสุข เพราะเห็นว่าจะเป็นการตามใจกิเลส
นักภาวนาไม่น่าจะกินไอติม หรือซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ควรพอใจเสื้อผ้าเดิมๆที่มีอยู่ และที่สำคัญนักภาวนาห้ามมีแฟน :-) 
....หรือจะทำอะไรก็ตาม คอยห่วงไปหมดว่า จะกระเทือนการภาวนาไม๊น้า จะไปไหนมาไหนก็ไม่ไป กลัวเสียเวลาภาวนา
ซึ่งมาพบตอนหลังว่า แท้จริงแล้ว เราหวงแหนความสงบ หวงการรู้ตัวที่ชัดเจนแบบขณะปฏิบัติเงียบๆคนเดียว

ต่อมา มีวันนึง หลังจากเสร็จงาน พอมีเวลาอยู่กับตัวเอง ก็มานั่งคิดถึงตัวเอง อีกแล้ว (เอาแต่คิด ช่วงนี้ฟุ้งซ่านดีจริงๆ)
สังเกตดูว่า เอ...ชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต มันเป็นแพทเทิร์นที่ซ้ำๆๆ กันมาตลอด เพียงแต่เปลี่ยนบทบาทของผู้แสดง
ตามช่วงเวลาเท่านั้น แต่ action เหมือนกันตลอด ขอท้าวความนิดหน่อยว่า ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยได้รับ
ความสนใจเท่าที่ควรจากพ่อแม่ จึงต้องทำยังไงก็ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจ โดยทุ่มเททำเรื่องต่างๆ
อย่างจริงจังสุดขีด ตั้งแต่เรื่องเรียนในสมัยเด็กๆ จนกระทั่งจบออกมาทำงานเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
พอเป็นเด็ก ก็สวมบทบาทเด็กเรียนดี ทุ่มเทกับการเรียน ผลที่ได้รับคือ พ่อแม่สนใจ ครูและเพื่อนๆก็รัก
พอโตขึ้นมาทำงาน ก็สวมบทบาทนักโฆษณารุ่นใหม่ไฟแรง ได้รับการยอมรับจากทุกๆคนในบริษัท
ครั้นพอมาภาวนา ก็สวมวิญญาณนักภาวนาเต็มภูมิเลย เดินจงกรมเข้าไปสิ นั่งสมาธิเข้าไปสิ
ทุกอย่างที่ทำจะมีรูปแบบเหมือนๆ กันหมด โฟกัสในสิ่งที่ทำ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว
เพื่อนฝูง ชีวิตส่วนตัว และบิดเบือนตัวเองไปตามบทบาทนั่นอย่างเต็มที่ เช่น ทำงานเป็นนักโฆษณา
ก็รู้สึกภูมิใจกับบทบาทใหม่อย่างสูง เป็นเวลาถึง 8-9 ปี บทบาทใหม่นี้ มีใจที่โง่ๆ ยึดสิ่งต่างๆเหล่านี้ว่าเป็นเรา
เป็นนักโฆษณาว่า นักโฆษณาต้องแต่งตัวโทนสีนี้ ขาว เทา ดำ ต้องดูหนังสไตล์นี้ บ้านผีปอบไม่ดู ดูแต่หนังฝรั่ง
ต้องฟังเพลงแนวนี้ ต้องซื้อเสื้อผ้าต้องร้านนี้ ต้องไปตามสถานที่แบบนี้ ไม่ใช่แบบนี้ไม่โก้
สรุป หลงอยู่กับภพภูมิ บทบาทนักโฆษณาเต็มขั้นเลย จนในที่สุดชีวิตก็พบความทุกข์หนักมหาศาล
เนื่องมาจากการยึดมั่นถือมั่นอย่างรุนแรงขนาดนั้น

จนในที่สุดหันมาพบทางสายใหม่ ที่คิดว่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของชีวิต ทางที่ค้นพบว่าทำให้ชีวิตรียบง่ายขึ้น
เบาสบาย และสงบสุขมากขึ้น หลังจากปฏิบัติมา ได้ 5-6 เดือน ก็พบว่า มันกำลังเดินตามรอยเดิม
ตามแพทเทิร์นเดิมที่ผ่านมาทั้งชีวิต เรากำลังเผลอสวมบทบาทใหม่อีกแล้ว คราวนี้คือบทบาทนักภาวนา
นักปฏิบัติที่ทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการภาวนา หายใจเข้าออกเป็นการภาวนา เอาแต่คิดๆๆๆๆเรื่องการภาวนา
มีชีวิตที่เพิ่งมารู้ตอนหลังว่า มันเริ่มผิดมนุษย์มนา อะไรที่เคยทำอยู่เรื่อยๆ ก็จะไม่ทำ เช่น
ชอบไปว่ายน้ำ ชอบเล่นกีฬา การไปเดินห้างสรรพสินค้า การดูทีวี (ขนาดเดินเข้าไปร้านเคเอฟซี
ยังเห็นเลยว่า ตัวเองมีความกลัว นักภาวนากินไก่ทอดไม๊น้า :-) เดี๋ยวมันอร่อยแล้วกลัวติดใจจัง)
จะไปเดินสยาม มาบุญครอง ก็รู้สึกเหมือนออกไปผจญโลกกว้างใหญ่ เหมือนเข้าใกล้สนามรบ
ต้องเตรียมตั้งการ์ดเต็มที่ เพื่อต่อสู่กับบรรดากิเลสที่ทะยอยมาอย่างแน่นอน
บางครั้งก็วิ่งหนีออกจากกลุ่มเพื่อนเอาดื้อๆ ไม่ไปซะเลย ฝากเพื่อนซื้อของแทน ฉันไม่ไปละ
ในที่สุดค้นพบว่า ตัวเองกลัวความสุข กลัวความสบาย เพราะไม่รู้ไปเอาความคิดนี้มากจากไหนว่า
ต้องทุกข์สิ ถึงจะดี ต้องลำบากลำบน พากเพียรให้หนัก ยิ่งลำบากหนัก ยิ่งดูเป็นนักภาวนาที่ดี :-)
แถมพอยิ่งใกล้วันจะได้พบครูบาอาจารย์ ต้องพยายามภาวนาดีๆ เพื่อให้ครูพอใจ
บางทีอาจได้รับคำชมติดอกติดใจกลับมาด้วย

อีกปัญหานึง พอตัวเองเครียดเอามากๆ ตามรู้ไม่ได้ชัด ไม่เห็นอะไรมากมายเช่นเมื่อก่อน ก็กลับมาคิดฟุ้งซ่าน
มีแต่ความอยากให้เหมือนเดิม เสียดายสภาพที่เคยพบ ใคร่ครวญทบทวนในสิ่งที่เคยพบ กลับไปกลับมา
ในที่สุดก็ตกเข้าไปอยุ่ในภพภูมิของนักปฏิบัติด้วยความคิดเต็มตัว แล้วคิดว่าตัวเองปฏิบัติอยู่ รู้อยู่
หมดสภาพ เข้าไปขอคำแนะนำจากครูบาอาจารย์ ท่านก็แนะนำว่า "ถ้าเครียดเพราะการภาวนาน่ะ
แสดงว่าภาวนาไม่เป็น
เหมือนพูดอังกฤษไม่ถูก ก็ต้องยอมกลับไปเรียนไวยากรณ์และท่องศัพท์ป.หนึ่งใหม่"

จนมาตอนนี้ มองย้อนกลับมาในตัวเอง ถามตัวเองลงไปว่า เรามีความทุกข์อะไรบ้าง
มันมีแรงจูงใจอะไรที่ทำให้ต้องรีบหนีความทุกข์ ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่เห็นมีอะไรเลย
เพราะช่วงนี้บังเอิญโชคดีที่ชีวิตทางโลก ก็กำลังคลี่คลายลงด้วยดี ปัญหาต่างๆที่เป็นเหตุแห่งทุกข์
ก็กำลังจะหมดไป แทบทุกอย่าง แต่ก็แปลกเหลือเกินที่ความทุกข์ในใจยังมีเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม
ไม่ได้ลดลงตามสภาพภายนอกเลย สุดท้ายก็มาจับได้ว่า ทุกข์ที่มีอยู่นั้นมาจาก
ความเคยชินกับการเป็นทุกข์ และความอยากหนีทุกข์ที่เคยชินนั้นอย่างรีบด่วน จนเกิดเป็นความทุกข์
ความเครียดมโหฬารขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งคือความทุกข์จากการปฏิบัตินั่นเอง

เมื่อพบว่าคำตอบเป็นแบบนี้ อ้าว....ก็หมายความว่า เราก็ปฏิบัติผิดน่ะสิ เค้ามีแต่ปฏิบัติแล้วทุกข์น้อยลง
ไหงเราปฏิบัติแล้วทุกข์มโหฬาร โอ้...งี้ต้องทำไงต่อละเนี่ย ถามตัวเองลงไปในใจ
เม่ือก่อนพื้นฐานชีวิตมีแต่ความทุกข์ จึงมาปฏิบัติเพราะอยากหนีทุกข์ พอปฏิบัติเพี้ยนๆมากๆเข้า
การปฏิบัติเลยกลายเป็นเหตุแห่งทุกข์ที่แท้ซะแทน
โอ้...งั้นอย่างนี้ ก็ถึงเวลาแล้วสิ ที่จะเป็นการปฏิบัติเพราะสมควรปฏิบัติ ไม่ใช่ปฏิบัติเพราะกำลังวิ่งหนีอะไรอยู่  :-)
ตอนนี้ไม่ขอสนใจแล้วว่า เราปฏิบัติมามากมายแค่ไหน ปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว ขอกลับไปเริ่มต้นใหม่
และกลับมามีชีวิตที่เป็นผู้เป็นคนธรรมดาเหมือนกับคนอื่นเขาเสียที
กลับมามีชีวิตที่เรียบๆ ง่ายๆ ไม่ต้องโลดโผน วิ่งเต้นไปตามบทบาทที่ปรุงแต่งให้ชีวิตบิดเบี้ยว
แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิต คือ การมีสติ รู้เท่าทันจิตใจตนเอง ดำเนินชีวิตไปตามปกติ
มีสติคอยอ่านใจตัวเองตลอดเวลา มีทุกข์ให้รู้ ไม่ใช่ไปอยากหนีเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา


ระลึกคำสั่งของครูบาอาจารย์ที่ท่านบอกว่า ให้หนูผูกสติอยู่กับรูปธรรมหยาบๆ เช่นลมหายใจ
หรือว่าเท้าขณะเดินจงกรม ด้วยความรู้สึกสบายๆ ไม่เคร่งเครียด อย่าเที่ยวออกไปรู้อะไร
ถ้าออกไปรู้อะไรนั่นคือส่งจิตออก ก็ให้ดึงกลับมาที่ลมหรือที่เท้าเหมือนเดิม ทำอย่างนี้ไปเถอะ
ทำไปเป็นปีๆเลย และท่านยังเคยย้ำอีกว่า
ชีวิตในโลกปัจจุบัน หน้าที่การทำงาน ไปได้โลดกับการปฏิบัติธรรมแน่นอน
โดยคุณ กระต่าย วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 12:11:28

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ วิทวัส วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 14:06:44
ต้องขอบคุณพี่กระต่ายมากครับที่นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง ผมอ่านแล้วได้ธรรมะมาเตือนใจตัวเองเยอะเลย
โดยคุณ วิทวัส วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 14:06:44

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ ไพ วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 14:32:48
ไม่ได้เข้ามาออกความเห็นนานมากจนต้องนั่งนึกอยู่นาน
ว่า log in ชื่ออะไรไว้ :-)
อ่านกระทู้ของกระต่ายน้อยแล้วสนุกดี
แล้วก็มานั่งคิดว่า  แหม..น่าจะจับกระต่ายกับตัวเองมาปั้นรวมกัน
แล้วเอามีดสับแบ่งครึ่งใหม่ จะได้พอดี

ช่วงนี้ต่ายมีเวลาปฏิบัติน้อยเพราะงานเยอะมาก
แต่ตัวเองกลับงานน้อย กินๆนอนๆ มีเวลาปฏิบัติมาก
แล้วก็มากเกินไปเพราะเท่ากับมีเวลาปฏิบัติผิดมากด้วย (เฮ้อ)
จนตอนนี้กำลังคิดว่าน่าจะลาพักร้อนการปฏิบัติซักหน่อย
จะได้ไม่เพี้ยนมากไปกว่านี้ (เห็นมะ กิเลสมันให้เหตุผลน่าฟังจริงๆ)

ต่ายบอกว่าไม่ดูทีวี ไม่เดินเที่ยวห้าง
แต่ตัวเองกลับดูทีวี ตอนดูก็จะบอกว่าเออ..ดูไปเถอะ อย่าหนีกิเลส
อย่าไปอินกับมันละกัน  พอดูไปดูไปก็ค่อยๆอินไปเรื่อย มารู้ตัวอีกที
ก็จบพอดี บางทีก็รู้ตัวก่อนเหมือนกันนะ แต่กิเลสบอกว่าดูให้จบก่อน
เดี๋ยวตอนหน้าค่อยไม่ดู (เห็นมะ กิเลสมันมีข้ออ้างซะจริงๆ)

อย่างฟังวิทยุก็เหมือนกัน แต่ก่อนเวลาทำคนไข้ก็จะเปิดเทปธรรมะ
ฟังแล้วสบายใจดี ให้คนไข้ฟังด้วย คนไข้ก็จะทำหน้าเหยเก
คงเครียดหนักมากกว่าสบายใจ  ตอนหลังก็เลยต้องเปิดเพลงแทน
ทำเป็นว่าเปิดให้คนไข้ฟัง แต่ความจริงตัวเองนั่นแหละอยากฟัง
ก็อีกนั่นแหละ ตอนฟังก็จะบอกตัวเองว่าฟังไปงั้นๆ ไม่อินหร็อก
แต่พอเพลงโปรดมาทีไร อดร้องในใจหรือกระดิกขาตามไม่ได้ซักที

เขียนมาเล่าให้ฟังเพื่อบอกว่าตัวเองก็เป็นคนนึงที่
ทำเป็นปฏิบัติ แต่ไม่ได้เรื่องได้ราว แล้วหวังผลไกลลิบ
แล้วตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่า เออ..ช่างมัน(วะ) จะเกิดอีกกี่ชาติ
จะอยู่ในสังสารวัฏฏอีกนานแค่ไหน ก็ยอมรับกรรมไปละกัน
(กิเลสมันบอกอย่างงี้น่ะ)
โดยคุณ ไพ วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 14:32:48

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ทองคำขาว วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 14:58:32
หลายปีก่อนเคยเป็นทุกข์กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนใหม่หมด
ประกอบกับขาดทั้งกัลยาณมิตรที่ดี
และผู้ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม
ที่จะมาคอยชี้แนะนำอะไรๆที่ดีได้
หลงเป็นทุกข์ หลงคิดวุ่นวาย หลงสงสัย หลงอึดอัดใจ
และทุกข์จากความฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา
ของเก่ายังแก้ไม่เสร็จ ของใหม่ๆก็ถูกผูกเพิ่มเข้าไปอีก
ทุกข์เหมือนยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ
ได้จมอยู่กับตรงนั้นเป็นปีๆเลยครับ

ตอนนั้นดูจะมีเพียงความสงบใจ
ที่เป็นเสมือนเกาะกำบังความทุกข์ให้เป็นแหล่งพักพิงชั่วคราว
มีทุกข์ก็หนีเข้าป้อม มีทุกข์ก็หนีตลอด
ก็ติดที่จะหนีทุกข์ท่าเดียว แต่หนีเท่าไรก็ไม่พ้น
เห็นแต่ว่าธรรมที่สงบเย็นใจช่วยได้เป็นบางครั้งเท่านั้น
และยิ่งช่วงที่ใจขาดความเป็นกลางเป็นอุเบกขาลง
แม้เหมือนมีสติ ก็เป็นสติไม่รู้ตัวชนิดหลงไปตามกิเลส
ใจก็มักจะแทบนำแก้วที่ประเสริฐล้ำแห่งชีวิตนี้ขว้างทิ้งไปทีเดียว
ปัจจุบันเลยได้ใช้สิ่งนี้กำกับตนด้านหนึ่ง
หากบางครั้งเกิดหลงตามกิเลสโดยไม่รู้ตัว
แม้ยังไม่เห็นกิเลสชัดที่แยกต่างหาก
ก็เตือนตนไปพลางขั้นต้นว่านั่นกำลังหลงเชื่อกิเลสอยู่

การปฏิบัติธรรมปีหลังๆ
เมื่อได้เจอผู้ที่พิสูจน์ให้ใจนั้นยอมรับได้
ไม่เช่นนั้นก็คงเชื่อได้ยาก
สิ่งต่างๆที่เคยแบกเป็นทุกข์ไว้เหล่านี้ก็กลับกลายเป็นประโยชน์
ใช้เป็น Range แห่งอาการจิตให้จิตรู้จักชัดเจน
ให้รู้จักการปฏิบัติธรรมที่ดีต่อไป

สาธุกับพี่ต่ายด้วยครับ
หลายๆคนก็อดเป็นห่วงที่แต่ก่อนพี่ต่ายเข้มเกินพอดี
ตอนนี้ ก็ขอให้พี่ต่ายได้นำสิ่งต่างๆเหล่านั่นที่พี่ผ่านมาเป็นประโยชน์
ปรับกระบวนใหม่ ปรับท่าทีใหม่
ลงสู่การปฏิบัติธรรมที่เหมาะควรแก่ธรรม
และรู้เท่าทันกิเลสซึ่งเป็นของไว พลิกแพลงอยู่เสมอๆที่ดีด้วยครับ

"การปฏิบัติธรรมที่เหมาะแก่ธรรมนั้น
เป็นยอดของการรู้จักมีโยนิโสมนสิการเท่าทันกิเลส"
โดยคุณ ทองคำขาว วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 14:58:32

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ดังตฤณ วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 18:25:36
แหม...
ฟังกิเลสหมอไพพูดแล้วเหนื่อยแทนจังเลย
เดินทางไกลมันเหนื่อยและน่าเอือมสุดๆจริงๆนา
ไม่ได้หลอก
โดยคุณ ดังตฤณ วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 18:25:36

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ สันตินันท์ วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 19:19:54
เรื่องการปฏิบัตินั้น เราต้องปฏิบัติด้วยความซื่อตรงต่อพระธรรม
ไม่ใช่ปฏิบัติด้วยความภักดีต่อกิเลส
ผู้ปฏิบัติจำนวนหนึ่ง ปฏิบัติด้วยความต้องการแอบแฝง
เช่นอยากเด่น อยากดัง อยากได้รับคำชมเชยและการยอมรับจากหมู่เพื่อน
หรือปฏิบัติด้วยวิภวตัณหาอันเป็นไปตามอำนาจของโทสะ
คือเห็นโลกนี้เป็นฟืนเป็นไฟ จะต้องรีบหนีให้ได้ในวันนี้พรุ่งนี้ด้วยความไม่ชอบใจ

บ้างก็ไม่ซื่อตรงต่อแนวทางปฏิบัติที่พระศาสดาทรงวางไว้
คือแทนที่จะปฏิบัติโดยรู้เท่าทันความทุกข์ อันเป็นสัจจะสำคัญประการแรก
กลับมีตัณหา หรือความอยาก อันเป็นตัวสมุทัยที่จะละทุกข์
โดยไม่ทราบว่า การปฏิเสธทุกข์ ก็คือการปฏิเสธอริยสัจจ์ข้อแรก

ไม่มีใครหนีขันธ์ได้ ตราบใดที่ยังไม่นิพพาน
ปัญหาจึงอยู่ตรงที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะอยู่กับขันธ์ได้โดยไม่ทุกข์
ทำอย่างไร จึงจะอยู่กับโลกได้ โดยรู้ทันโลก แต่ไม่ทุกข์เพราะโลก

นักปฏิบัติไม่ใช่คนอ่อนแอท้อแท้แพ้กิเลส ไม่ใช่คนวิ่งหนีความจริง
แต่ต้องเข้าเผชิญกับทุกข์ อันเป็นความจริง ด้วยสติปัญญา
โดยดำเนินตามแนวทางที่พระศาสดาทรงพิสูจน์แล้วว่าเป็นทางพ้นทุกข์

สมัยที่ผมหัดปฏิบัติใหม่ๆ นั้น ก็ล้มลุกคลุกคลานมานับครั้งไม่ถ้วน
บางช่วงบางชาติก็ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจเข้าต่อสู้เพื่อแสวงหาสัจจธรรม
บางช่วงบางชาติก็ท้อแท้ทอดอาลัย อับจนหนทางที่จะปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์
แต่เมื่อได้พบหลวงปู่ดูลย์ ได้ฟังคำสอนเรื่องอริยสัจจ์
นับจากวันนั้น ผมลืมความเป็นนักปฏิบัติ ลืมการแสวงหาสัจจธรรม
ทุกวันๆ มีแต่เฝ้าเรียนรู้อยู่ภายในจิตใจด้วยความขยันขันแข็ง
โดยไม่ได้คิดว่า ทำไปแล้วจะรู้อะไร จะละอะไร จะได้อะไร
รู้แต่เพียงว่า ตอนนี้จิตถูกกิเลสครอบงำ
ตอนนี้จิตต่างคนต่างอยู่กับกิเลส
ตอนนี้จิตทะยานไปตามอำนาจของตัณหา
ตอนนี้จิตสงบเบิกบาน เป็นอิสระชั่วคราวจากตัณหาหยาบๆ
แต่ละวัน รู้เห็นวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้
แต่มันเหมือนกับว่าจิตมีงานทำ ก็ทำเรื่อยไป
โดยไม่คิดว่า ทำไปแล้วจะได้เงินเดือนเมื่อไร

เมื่อพอจะช่วยตนเองได้แล้ว ผมพิจารณาถึงเพื่อนร่วมโลกนับแต่หมู่สัตว์ขึ้นมา
ก็เกิดความสลดสังเวชใจอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาเห็นว่า
สัตว์ส่วนมาก ไม่ผิดอะไรกับหอยทากตาบอด ที่คืบคลานวนเวียนอยู่ก้นเหว
ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะคลานพ้นจากหุบเหวนั้นขึ้นมาได้
เพราะสัตว์ส่วนมากนั้น พอใจกับภพของตนเสียแล้ว
ไม่ได้คิดเฉลียวใจว่า ยังมีทางออกที่ดีกว่าก้นเหวที่ตนรู้จัก
บางพวกที่ฉลาด เงยหน้าขึ้นเห็นแสงสว่างเบื้องบน
แต่ก็ท้อแท้ใจว่า จะต้องไต่หน้าผาสูงชันยากเย็นเสียเต็มประดา

มีน้อยกว่าน้อย ที่มองเห็นแสงสว่างเบื้องบนซึ่งพระศาสดาทรงบุกเบิกไว้
แล้วน้อยลงไปอีก ที่จะสวมหัวใจของพระมหาชนก
ในการว่ายน้ำข้ามห้วงมหรรณพ หรือไต่หน้าผาขึ้นจากก้นเหว

ผมเห็นใจและเข้าใจผู้ปฏิบัติที่เหนื่อยหน่ายท้อแท้ใจเป็นครั้งคราว
เพราะรู้ว่างานนี้ยาก เหมือนการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรของพระมหาชนก
แต่ ทางทางนี้ ต้องเดินเอง
ก็ทำได้แค่ชวนผู้สนใจให้มาเดินเป็นเพื่อนกัน
ทุกวันนี้ก็มีเพื่อนมาร่วมเดินด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่
บางคนเดินช้า บางคนเดินเร็ว
บางคนเดินตรงทาง บางคนแวะข้างทาง
บางคนพอใจที่จะก้มหน้าก้มตาเดินไปเงียบๆ
ส่วนบางคน พอใจที่จะชักชวนเพื่อนให้มาเดินด้วยกันอีกมากๆ
ผมเองก็ยังต้องเดินอยู่เหมือนกัน ถึงจะไม่ลำบากเท่าเมื่อปฏิบัติแรกๆ
แต่ก็ยังต้องพยายาม ไม่อาจจะหยุดพักแบบนิ่งนอนใจได้

จะเดินแบบไหนก็ไม่เป็นไรหรอกครับ
ขอให้เดินให้ตรงเป้าหมาย และอย่าหยุดพักนานนักก็แล้วกัน
โดยคุณ สันตินันท์ วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 19:19:54

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ทองคำขาว วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 22:23:05
_/|\_
โดยคุณ ทองคำขาว วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 22:23:05

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ ทองคำขาว วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 22:23:42
_/|\_ _/|\_ _/|\_
โดยคุณ ทองคำขาว วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 22:23:42

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ทองคำขาว วัน ศุกร์ ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2543 22:25:28
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ มวยวัด วัน เสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 08:10:08
ขอบคุณครับกระต่ายที่เล่าประสบการณ์ให้ฟัง
อ่านแล้วเพลินดี อ่านไปอ่านมา คล้ายๆกันเลยแหละ
ผมเองตอนนี้งานมากจริงๆ เรื่องภาวนานี่น่าเป็นห่วง
แต่ที่ผมห่วงผมไม่ได้ห่วงว่ามันจะสงบหรือไม่สงบ
เพราะอาจารย์สอนอยู่ตลอดอยู่แล้วว่า
การภาวนามันต้องเจริญแล้วเสื่อมจึงจะถูก
ถ้ามีแต่เจริญอย่างเดียวนี่สิน่าห่วง
แต่ที่ผมห่วงคือ กลัวว่าจะไม่ได้ภาวนา
ส่วนมันจะสงบหรือไม่สงบนี่ช่าง(หัว)มันเหอะ
เพราะงานช่วงนี้พูดได้คำเดียวเลย"สุดยอดของความวุ่นวาย"
นี่ก็ห่วงอยู่นี่แหละ นี่ขนาดทำงานอยู่ที่บ้านนะยังวุ่นวายขนาดนี้
ถ้าทำงานนอกบ้านละ  หึยย ไม่ต้องพูดถึงเชียว
( เริ่มงาน 7 โมง เลิกงาน 4 ทุ่ม หัวทิ่มหมอนจริงๆ : ) )

เห็นทีจะต้องใช้ไม้ตายแล้วละมั๊ง คือ ...
หาเวลาไปให้อาจารย์ดุ   : )
โดยคุณ มวยวัด วัน เสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 08:10:08

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ Lee วัน เสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 08:24:21
ประสพการณ์ภาวนาของน้องกระต่าย นี่น่ารักจริงๆ :-)

เพิ่งรู้ว่าคุณไพ ก็เป็นหมอเหมือนกัน (แต่ทำไมว่างจัง ผมงี้ยุ่งหัวฟูเชียว)

สาธุกับคำสอนของพี่สันตินันท์ 
โดยคุณ Lee วัน เสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 08:24:21

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ไพ วัน เสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 14:10:45
บังเอิญเป็นหมอฟันน่ะคุณหมอลี
เก๊าะเลยยุ่งเฉพาะตอนคนไข้มีกะตังค์
แล้วผมก็เหมือนลวด เลยฟูไม่ได้ด้วย:-)

ตอนแรกที่อ่านเรื่องพระมหาชนก
รู้สึกอย่างเดียวว่า หูย..โม้จัง
เพิ่งรู้สึกจากที่พี่บอกนี่แหละว่า
ให้มีความเพียรและอดทนมากๆ

และตอนนี้ก็รู้แล้วว่าการคาดหวังผลการปฏิบัติ
มันทุกข์ซะจริงๆ
โดยคุณ ไพ วัน เสาร์ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2543 14:10:45

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ lotusblossom วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 13:23:31
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ สันตินันท์ วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 15:39:17
เรื่องชาดกซึ่งรวมถึงทศชาติ เช่นเรื่องพระมหาชนก และพระเวสสันดรนั้น
คนสมัยนี้ฟังแล้วไม่ค่อยเลื่อมใสศรัทธา หรืออาจจะนึกดูถูกเสียด้วยซ้ำไป
เพราะเห็นว่าจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ไม่ถูกต้อง
เช่นการยกลูกเมียให้เป็นทาน เพื่อแลกกับโพธิญาณ
หรือการว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรถึง 7 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เราลืมนึกถึงข้อเท็จจริงไปหลายอย่าง
เช่นวัฒนธรรมของคนโบราณ ที่ลูกและเมียคือทรัพย์สินของพ่อแม่และสามี
ซึ่งคนในยุคที่ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกัน ยอมรับไม่ได้
และเราเอากำลังกายมาตรฐานของมนุษย์ยุคนี้ ไปประเมินพระมหาชนก
ทั้งที่ไม่ทราบแน่ชัดว่า พระมหาชนกนั้น เป็นมนุษย์สายพันธุ์เดียวกับเราหรือไม่
แล้วก็สรุปว่า เรื่องพระมหาชนก เป็นไปไม่ได้

หากมองในแง่ภาษาคน-ภาษาธรรมตามทัศนะของท่านพุทธทาส
เรื่องราวของชาดกจะน่าฟังอย่างยิ่ง
เช่นถ้าไม่มีจิตใจมัั่นคง ถึงขนาดปล่อยวางความผูกพันในลูกเมีย
หรือไม่มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยว ไม่ย่อท้อในสิ่งที่คนทั่วไปยอมจำนน
ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้

ผมเองไม่รู้สภาพจิตใจของท่านผู้บรรลุธรรมขั้นสูง
ไม่ต้องถึงขั้นพระพุทธเจ้าหรอก
กระทั่งระดับพระอรหันตสาวก ผมก็ประเมินไม่ถูกแล้ว
แต่เวลาอ่านเรื่องพระมหาชนกแล้ว ผมรู้สึกเห็นจริงเห็นจังมาก
เพราะเห็นว่า คนเรานี้ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังลอยคออยู่กลางทะเล
คนส่วนมาก ไม่มีหวังว่าจะขึ้นฝั่งได้
ก็เอาแต่แหวกว่ายตามๆ กันไป แล้วก็จมน้ำตามๆ กันไป
มีส่วนน้อยที่มีโอกาสได้สดับคำสอนของพระอริยะเจ้า
ที่ท่านพยายามร้องบอกว่า ฝั่งอยู่ทางไหน

ผู้มีศรัทธา ก็พยายามว่ายน้ำไปตามทางที่ท่านบอก
ตรงนี้ ท่านเปรียบเทียบไว้น่าฟังมากว่า
พระโสดาบันนั้น เหมือนคนที่เริ่มมองเห็นฝั่งด้วยตนเองแล้ว
ท่านเหล่านี้หมดความสงสัยในพระรัตนตรัย
เพราะรู้แน่แล้วว่า ท่านผู้ค้นพบฝั่งก่อนหน้านั้น หรือพระพุทธเจ้ามีอยู่แน่ๆ
ฝั่ง คือธรรม ก็มีอยู่แน่ๆ
ผู้ว่ายน้ำไปตามทางนี้ก่อนหน้าเรา คือพระสาวกทั้งหลาย ก็มีอยู่แน่ๆ
เขาย่อมตั้งใจจะว่ายเข้าหาฝั่ง แม้ใครจะชวนให้ว่ายไปทางอื่น ก็ไม่ไปแล้ว
เป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่นไม่คลอนแคลนแสวงหาบุญญเขตนอกพระศาสนา
และไม่หลงงมงาย ว่าทางพ้นทุกข์อยู่ที่อื่น

พระสกิทาคามีนั้น คือผู้แหวกว่ายต่อไปจนเข้าเขตน้ำตื้น
คลื่นลมของกิเลสตัณหาอ่อนกำลังลง
ไม่เหน็ดเหนื่อยทุกข์ยากกับการปฏิบัติเท่าเมื่อก่อน

พระอนาคามีนั้น ท่านเปรียบเทียบได้กับผู้ที่เข้าถึงน้ำตื้น สามารถยืนทรงตัวได้มั่นคง
คือผู้มีความแน่นอนว่า จะไม่ถูกคลื่นซัดกลับลงทะเลอีก
หมายถึงผู้ไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก
ส่วนพระอรหันต์คือผู้รอดแล้ว ขึ้นถึงฝั่งแล้ว หมดธุระแล้ว

เวลาเราปฏิบัติไปตามลำดับ เราจะรู้สึกตรงกับคำเปรียบเทียบนี้ ไม่มีผิดเลย
และรู้สึกเห็นภาพของพระมหาชนก (ที่ท่านว่ายน้ำนำไปก่อนแล้ว) ได้อย่างชัดเจนทีเดียว
โดยคุณ สันตินันท์ วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 15:39:17

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ filmman วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 16:24:19
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ วิทวัส วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 20:44:35
ชาดกเรื่องพระมหาชนก เป็นชาดกที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญวิริยะบารมีเป็นอย่างยิ่ง แม้มองไม่เห็นฝั่งคือความหวังใดๆ พระองค์ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาว่าย ตอนที่ผมอ่านผมเดาว่าท่านคงคิดว่าว่ายไม่ว่ายก็ตายเหมือนกัน ว่ายดีกว่ายังมีโอกาสรอด ยิ่งตอนอ่านถึงตอนที่ท่านตอบคำถามของนางมณีเมขลาแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าแนวคิดของท่านไม่ธรรมดาเลย

ก็คงเหมือนกับปุถุชนคนธรรมดาอย่างผม ที่ไม่เคยเห็นฝั่งคือพระนิพพาน หากไม่พบสัจธรรม ไม่พบผู้บอกว่าฝั่งอยู่ตรงไหน ก็คงมะงุมมะงาหราอยู่กลางทะเล แล้วก็เจอเต่าและปลากินอยู่แถวๆกลางทะเลนั่นเอง นึกได้ว่าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพระมหาชนกชัดๆ ท่านว่ายเราก็ต้องว่ายเหมือนกัน ท่านยังโชคร้ายกว่าเราที่ไม่มีผู้บอกท่านเลยว่าฝั่งอยู่ไหน

นี่เราโชคดีแล้วที่มีผู้ที่ใกล้ฝั่งมากกว่า บางท่านก็เห็นฝั่งแล้วว่าอยู่ทิศไหน บางท่านก็อยู่ในเขตคลื่นลมอ่อนกำลังแล้ว บางท่านอยู่น้ำตื้นแล้ว ในขณะที่บางท่านก็อยู่บนฝั่งเรียบร้อย ท่านเหล่านั้นช่วยกันตะโกนบอกทาง ผมเองก็พยายามว่ายตามไปแล้ว มั่นใจอย่างหนึ่งว่ายิ่งว่าย คลื่นลมก็ยิ่งจัดจ้านน้อยลง เต่าปลาสัตว์ดุร้ายต่างๆโผล่มาให้เห็นน้อยลง ท่านผู้บอกทางเองก็ว่ายไปทางเดียวกัน ไม่เห็นจะมีใครย้อนกลับมา ก็เลยพยายามว่ายตาม คิดง่ายๆว่ามีแต่ได้กับเสมอตัวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรต้องเสียเลย เพราะกลางทะเลแห่งวัฏสงสารนี้ แม้ชีวิตก็เป็นของหาง่าย

พี่สันตินันท์ยกเรื่องพระมหาชนกมาเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมก็จะพยายามเพียรสุดกำลังเหมือนพระมหาชนกครับ แต่บางทีก็อด"หลง"แวะดูปะการังซึ่งมีสีสันล่อตาล่อใจเหลือเกินไม่ได้เหมือนกัน
โดยคุณ วิทวัส วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 20:44:35

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ meenok วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 21:48:18
บางตอนของคุณกระต่ายก็คล้ายๆกับผมเลยครับ

และผมก็รู้สึกถึงตัวเองอย่างที่พี่สันตินันท์พูดไว้

"ปฏิบัติด้วยวิภวตัณหาอันเป็นไปตามอำนาจของโทสะ
คือเห็นโลกนี้เป็นฟืนเป็นไฟ จะต้องรีบหนีให้ได้ในวันนี้
พรุ่งนี้ด้วยความไม่ชอบใจ"

พร้อมกับความรู้สึกถึงการกลัวการเกิดและไม่อยากเกิดอีก
ทั้งๆที่รู้ว่าความไม่อยากก็คือความอยากอย่างหนึ่ง

สาธุครับ
โดยคุณ meenok วัน อาทิตย์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2543 21:48:18

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ สายขิม วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 08:09:22
: ) ขอบพระคุณครู และขอบใจเจ้าต่ายค่ะ
     หลายบท หลายตอน ... เป็นเหมือนกันเลย
     มีทั้งที่เหมือนกับเจ้าต่าย แล้วก็ที่หมือนกับพี่ไพ
     จนเดี๋ยวนี้ ก็ยังมีหลายตอนที่ยังเป็นอยู่
     บางวันถ้าโมโหมาก ๆ พอมีคนมาเตือนว่าให้ดูไป
     ดูไปเรื่อย ๆ ก็ยังมีเหตุผลว่า ขอพักดูไว้ก่อนนะ
     ไม่งั้นมันไม่สะใจ เพราะถ้าเราไปดูความโกรธ ความโมโห
     ความรู้สึกที่จะโต้ตอบมันจะหายไปเลย...มันจะกลายเป็น
     ตามรู้อย่างเดียว...ก็ยังอุตสาห์ไปพักดู เพราะเสียดายการโต้ตอบ
     ดูซิ มันน่านัก!
โดยคุณ สายขิม วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 08:09:22

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ สันตินันท์ วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 08:12:16
เรื่องแวะดูประการัง หรือแวะพักเอาแรงตามเกาะแก่งต่างๆ นั้น
หากเราไม่คิดที่จะขึ้นฝั่งให้ได้ในชาตินี้
จะแวะบ้างก็ไม่เป็นไรนัก
เพียงแต่อย่าแวะจนลืมทางก็แล้วกัน

พวกเราส่วนมากอยูในวัยหนุ่มสาว
แม้จะรักธรรม แต่ก็ยังปรารถนาที่จะมีครอบครัว
น้อยรายนักที่คิดจะละทิ้งชีวิตทางโลก มุ่งเข้าหาทางธรรมอย่างเดียว

แม้ผู้ที่คิดจะทิ้งทางโลก ก็ยังมีหลายประเภท
บางส่วนเป็นกลุ่มที่มีศรัทธาวูบวาบ
เมื่อเกิดศรัทธา ก็คิดจะทิ้งทางโลกให้เด็ดขาด
โดยขอเลิกกับแฟน ปฏิเสธการแต่งงาน ประกาศว่าจะไม่แต่งงาน ฯลฯ
แต่เมื่อปฏิบัติเหนื่อยนัก ก็กลับคิดใหม่ว่า ขออยู่กับโลกแล้วปฏิบัติธรรมไปด้วย
โดยหาคู่ที่พอจะปฏิบัติไปด้วยกันได้
มีน้อยรายนัก ที่จิตใจน้อมไปในทางที่จะทิ้งโลกอย่างจริงจัง

จะเลือกทางใดก็ได้ครับ พิจารณาดูให้เหมาะกับตัวเราเองก็แล้วกัน
ตรวจสอบจิตใจตนเองให้ถ่องแท้ อย่าหลอกตัวเอง
เพื่อจะได้เลือกทางชีวิตที่เหมาะสมที่สุด
ไม่เกิดภาวะ "คนครึ่งพระ" หรือ "คนครึ่งชี"
เพราะมันประดักประเดิด แล้วจิตใจจะไม่สงบสุขเท่าที่ควร

อย่าง ป๋อง บิ๊ก ชิ้ง หรือกระต่าย หากวันหนึ่งลุกขึ้นมาแต่งงาน
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือเป็นไปไม่ได้
เพราะแต่ละคน ก็มีทางเลือกที่จะดำรงชีวิต
แล้วสามารถเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีได้ด้วย
ขอเพียงไม่ผิดศีล ก็ไม่ขวางการปฏิบัติธรรมเบื้องต้นมากนักหรอก
แต่ถ้าใครมีกำลังมาก จะโดดข้ามบ่วงไปได้เลย ก็น่าอนุโมทนาครับ
โดยคุณ สันตินันท์ วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 08:12:16

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 09:59:10
รู้สึกถึงความ ไม่เป็นธรรมชาติ ในการปฏิบัติของคุณกระต่ายครับ

สาเหตุคือมองไม่เห็น ตัญหา (อยากสงบ)และวิภวตัญหา (ไม่อยากเป็นทุกข์)
และเพราะมองไม่เห็นตัญหาและวิภวตัญหานี้เอง
ทำให้เกิดเป็นการปฏิบัติแบบ
อัตตกิลมถานุโยค - การประกอบตนให้ลำบากเปล่า
(ความพยายามเพื่อบรรลุผลที่หมายด้วยวิธีทรมานตนเอง)
เป็นทางสุดโต่งอีกข้างหนึ่งครับ

การปฏิบัติให้พิจารณา ที่อารมณ์ปัจจุบันครับ เก็บสัญญาเก่าๆ มาปรุงแต่ง
ก็ฟุ้งซ่านกันไปใหญ่
โดยคุณ มะขามป้อม วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 09:59:10

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ โยคาวจร วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 12:34:59
รู้สึกว่าผมจะติดกลุ่มที่มีศรัทธาวูบวาบ ยังไม่รู้ความเหมาะสมของตัวเอง
---------เมื่อเกิดศรัทธา ก็คิดจะทิ้งทางโลกให้เด็ดขาด โดยขอเลิกกับแฟน
ปฏิเสธการแต่งงาน ประกาศว่าจะไม่แต่งงาน ฯลฯ--------- เฮ้อ ! ใช่เลย
โดยคุณ โยคาวจร วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 12:34:59

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 14:36:45
การหาความพอดีให้ตัวเอง แม้กระทั่งในเรื่องการปฏิบัติธรรมนี่ก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย   ต่ายอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเพียรมากเกินไปจนไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ แต่ก็ได้มีประสบการณ์จากสิ่งที่ได้พบเจอไปบ้างแล้ว พอเป็นแนวทาง ถึงจะบอกตัวเองว่าจะต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่ก็ตาม  และอันที่จริง พวกเราก็ได้รับประโยชน์จากตัวอย่างความเป็นผู้พากเพียรอย่างยิ่งของต่ายด้วย

ขอให้มีกำลังใจสม่ำเสมอ และปฏิบัติได้อย่างสบาย ๆ ค่ะนับแต่นี้ไป

ขอบคุณที่กลับมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังเรื่อย ๆ  แล้วจะรออ่านอีกนะ :-)
โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน จันทร์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2543 14:36:45

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 08:52:56
ทุกท่านกล่าวไว้ได้ดีแล้ว สาธุ! สาธุ! สาธุ!
โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 08:52:56

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ กระต่าย วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 09:32:55
กราบขอบพระคุณคุณอาสันตินันท์เป็นอย่างสูง
ธรรมะจากคุณอา มักจะกระทบจิตกระทบใจหลานโง่ๆคนนี้ซะทุกที
ขอบพระคุณทองคำขาว พี่มะขามป้อม พี่ธนา พี่มะเหมี่ยว และทุกๆคนที่ให้กำลังใจ
ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะ ขอบพระคุณจริงๆ

จะตั้งใจปฏิบัติ ด้วยความซื่อสัตย์ ซื่อตรง
ไม่ให้เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นลูกพระพุทธเจ้า


โดยคุณ กระต่าย วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 09:32:55

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ ทองคำขาว วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 11:53:17
_/|\_ อนุโมทนาความตั้งใจปฏิบัติที่ซื่อตรงต่อพระธรรม
ของพี่ต่ายด้วยครับ
โดยคุณ ทองคำขาว วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 11:53:17

ความเห็นที่ 25 โดยคุณ dolphin วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 13:07:01
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 18:47:33
วันนี้เป็นวันที่ผมมีโชคอย่างยิ่งนับแต่ปีใหม่มาครับคือตอนเที่ยงได้ฟังหลวงปู่หลวง  กตปุญโญ เทศน์และเย็นได้อ่านกระทู้นี้ครับ สาธุ  สาธุ  สาธุ
โดยคุณ ทองจันทร์ วัน อังคาร ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 18:47:33

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 08:35:49
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 28 โดยคุณ นายสงบ วัน พฤหัสบดี ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 14:15:41
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 29 โดยคุณ Acura วัน อังคาร ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 01:43:17
สาธุ กัยคำแนะนำ คำเตือน ของคุณอาสันตินันท์ครับ

เรื่องของคุณกระต่ายผมเองก็เคยเป็นมาเหมือนกันครับ ตั้งใจมากจนอึดอัด สุดท้ายก็แค่ทำให้รู้ตัว (ลมหายใจ) ก็คลายไปได้เยอะกับอาการ อัดอัด แต่บางช่วงก็ล้าไปเยอะ การภาวนาถดถอยไปพอสมควรครับ
โดยคุณ Acura วัน อังคาร ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 01:43:17

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ พริกหยวก วัน ศุกร์ ที่ 28 เมษายน 2543 07:47:56
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com