กลับสู่หน้าหลัก

สนทนาธรรมกับคุณดังตฤณ คุณมะขามป้อม และคุณพัลวัน

โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:00:54

เมื่อวานนี้ผมมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับ คุณดังตฤณ 
ซึ่งมักจะแวะเวียนไปเยี่ยมผมแทบทุกสัปดาห์ 
แถมยังมีโอกาสได้คุยกับ คุณมะขามป้อม และคุณพัลวันทาง ICQ 
เห็นว่ามีเนื้อหาเบาๆ น่าสนุก จึงนำมาเล่าสู่กันฟังตามประสาคนวงในด้วยกัน 

คุณดังตฤณมาเล่าให้ผมฟังว่า จิตใจเบื่อหน่ายโลกและผู้คนเป็นอย่างยิ่ง 
เพราะช่วงนี้ มีเวลาให้กับการปฏิบัติอย่างเต็มที่ 
จิตใจสงบวิเวก น้อมไปในทางจะทำความเพียรของตนเอง 
มองโลกและผู้คนเป็นความว่างเปล่าไปหมด 

ผมก็เล่าให้คุณดังตฤณฟังว่า 
ทุกวันนี้ จิตของผมมองโลก มองคน เหมือนเห็นภาพสองมิติ 
คือแบนราบเสมอกันไปหมด ไม่มีคน ไม่มีสิ่งแวดล้อม 
ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่จะเป็นภาพสามมิติ 
คือยังมีคนนั้น คนนี้ สิ่งนั้น สิ่งนี้ ที่นูนเด่นออกมาจากภาพที่เห็น 
คุณดังตฤณ ก็เล่าว่า เห็นภาพแบบนี้เหมือนกัน 

อีกท่านหนึ่งคือคุณมะขามป้อม ซึ่งมาเล่าอาการของจิตให้ฟัง 
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน น่าฟังมากครับ 

มะขามป้อม  29/2/43  15:54 เพิ่งจะคุยอยู่ไม่นานว่าลานธรรมสงบ
                               ตอนนี้คลื่นแรงอีกแล้ว
 
                               มีคำถามเดียวครับก่อนกลับบ้าน
                               ช่วงหลังๆ ที่ปฏิบัติมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเด่นชัดมากเลยครับ
                               คือรู้สึกถึงความไม่จริงของโลกที่เราอยู่
                               หรือแม้กระทั่งตัวจิตเอง

 
                               เป็นความรู้สึกนะครับไม่ใช่การนึกนำ
 
                               พี่เคยรู้สึกแบบนี้หรือเปล่าครับ

สันตินันท์ 29/2/43  15:57 รู้สึกสิครับ พี่เห็นอยู่ตลอดถึงความไม่จริงของจิต
                               เพราะเห็นชัดว่า สิ่งที่เราเห็นว่าจิต
                               ความจริงเป็นแค่สัญญาเท่านั้น
                               มันแนบแทบเป็นเนื้อเดียวกับใจ
                               สิ่งที่เราเห็นจึงเป็นของปลอม เป็นขันธ์
                               ส่วนธรรมชาติของจริงนั้น ยังไม่ปรากฏออกมา
                               อันนั้นครูบาอาจารย์ท่านเรียกว่าใจบ้าง จิตหนึ่งบ้าง
                               ถ้าจบกิจแล้วจึงจะอยู่กับธรรมแท้ได้ตลอดครับ

มะขามป้อม  29/2/43  16:02 ช่วงหลังๆ มานี้ ทุกครั้งที่กำหนดจิต
                               จะรู้สึกอย่างนี้ตลอดเวลาเลย
                               เป็นความรู้สึกที่แปลกจริงๆ 
                               เลยถามดูนะครับ 
 
                               แสดงว่าเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับ 
                              ผู้ปฏิบัติถึงระดับหนึ่งใช่ไหมครับ
 
สันตินันท์ 29/2/43  16:05 เป็นธรรมดาครับ ขอเพียงดูออกตามความจริง
                               ก็จะเห็นว่า เรายังอยู่กับขันธ์ 
                               เพราะเรายังไม่หลุดพ้นถาวร 
                               ถ้าไปเห็นว่าอยู่กับของจริงแล้ว อันนี้จึงน่าห่วงครับ

มะขามป้อม  29/2/43  16:07 ขอบคุณครับพี่
                               ขอตัวไปรับลูกก่อนครับ
                               สวัสดีครับ

สันตินันท์ 29/2/43  16:08 เชิญครับ
                               เรื่องที่น้องถามนี้
                               เป็นสิ่งที่หลวงปู่มั่นท่านสอนครับ ที่ว่า
                               นักปฏิบัติทั้งหลายไปหลงสัญญาว่าเป็นใจ
                               ที่น้องเห็นว่าไม่ใช่ใจ พี่ก็ดีใจด้วย
                               สวัสดีครับ 

อีกท่านหนึ่งคือคุณพัลวัน 
ซึ่งได้เห็นอะไรในลักษณะเดียวกับคุณมะขามป้อมและผม 
แล้วมาเล่าให้ฟัง ดังนี้ 

พัลวัน     1/3/43   8:40  สวัสดีครับครู
 
                               ตั้งแต่ผมได้เห็นวันนั้น
                               ว่าสัญญามันห่อหุ้มความไม่มีอะไร ที่ว่างๆไว้
                               ทำให้ความสงสัยในธรรมเรื่อง นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ
                               นิพฺพานํ ปรมํ สุญฺญํ ก็หายไปหมดเลยครับ
                               และเห็นว่าเป็นจริงตามนั้น
                               ไม่สงสัยอะไรเหลือแล้วครับ (สงสัยแบบโลกนะครับ
                               คงไม่ใช่วิจิกิจฉาหมดไป
                               เพราะคงมีอย่างอื่นๆอีกครับ)
 
                               สิ่งที่ดีคือ เมื่อได้พิจารณาธรรมใด
                               เห็นความเปลี่ยนแปลงปรากฎบ้าง ความเกิดดับบ้าง
                               เห็นว่ามันไม่ใช่เราแต่เราแบกภาระบ้าง
                               ก็ยิ่งเห็นว่า ไม่มีอะไรที่เป็นสุขเลย..

พัลวัน     1/3/43   8:40  และเห็นว่า ความสงบ(ที่แท้จริง
                               คือการปราศจากความปรุงแต่ง)
                               คือความสุขที่แท้จริงครับ

สันตินันท์ 1/3/43   8:41  สาธุ ครูดีใจด้วยครับ 
                               สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือขันธ์เท่านั้นครับ
                               และก็คือทุกข์ทั้งนั้น ส่วนธรรมแท้
                               ไม่มีร่องรอยอะไรเลย แต่ก็ไม่ใช่ความไม่มีอะไรเลย

พัลวัน     1/3/43   8:45  ครับครู _/|\_ 

********************************************

ที่นำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อจะสรุปว่า
นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติคุยกันรู้เรื่องง่ายดีครับ ไม่กี่คำก็เข้าใจกันแล้ว
ใครจะทำมาทางไหน ที่สุดก็ลงมาที่อันเดียวกันนั่นเอง
คือลงมาที่ใจอันพ้นจากความปรุงแต่ง
ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นดับไปนั้น
นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรอีกเลย
โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:00:54

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ วิทวัส วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:17:21
สาธุครับ

ขอบคุณพี่สันตินันท์ด้วยครับ
โดยคุณ วิทวัส วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:17:21

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:22:55
นานๆผมจะเห็นอย่างนั้นทีนึงนะครับ ไม่ได้เก่งกาจอะไรครับ ผมมันเป็นประเภทมือเก่าสนิมเขรอะครับ


มีข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ที่เคยคุยกับครูมานานแล้วเหมือนกันครับ เรื่องภาพที่เห็นน่ะครับ ว่าหากตอนนั้นๆมีสติอยู่ และไม่ส่งจิตออกนอก ภาพที่เห็นนั้นจะเป็นภาพสองมิติจริง ยังกับว่าเราไปรู้อยู่ที่จอหนังที่รับภาพ ภาพจะแบนไปหมดครับ แต่ถ้าเมื่อไหร่ใจมันพุ่งออกไปรับรู้ภาพที่ไกลตัวไป มันจึงจะเป็นภาพสามมิติครับ (เล่าให้ฟังครับ แต่ผมไม่ได้เป็นอย่างนี้เป็นประจำครับ นานๆๆจะมีมาให้เห็นสักแว่บหนึ่งครับ)

โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:22:55

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ Acura วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:30:11
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:43:06
แก้เล็กน้อยครับ
ที่จริงเป็นความรู้สึกล้วนๆ นั้นถูกแล้วแต่มีการนึกนำครับ
คือมีการโยนิโสนมสิการถึง อนัตตาของจิตก่อนครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 11:43:06

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ Lee วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:16:55
คุณพัลวัล หายเงียบไปนี่ เพื่อซุ่มฝึกเข้มแน่ๆเลย :-)

ตอนนี้อ่านแล้วยังไม่ Get
ฝากไว้ก่อนครับ  ถึงแล้ววันหน้าจะมาอ่านเรื่องนี้ซ้ำ
โดยคุณ Lee วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:16:55

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ Lee วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:16:56
คุณพัลวัล หายเงียบไปนี่ เพื่อซุ่มฝึกเข้มแน่ๆเลย :-)

ตอนนี้อ่านแล้วยังไม่ Get
ฝากไว้ก่อนครับ  ถึงแล้ววันหน้าจะมาอ่านเรื่องนี้ซ้ำ
โดยคุณ Lee วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:16:56

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ Lee วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:17:14
คุณพัลวัล หายเงียบไปนี่ เพื่อซุ่มฝึกเข้มแน่ๆเลย :-)

ตอนนี้อ่านแล้วยังไม่ Get
ฝากไว้ก่อนครับ  ถึงแล้ววันหน้าจะมาอ่านเรื่องนี้ซ้ำ

วันนี้ขอสาธุลูกเดียว
โดยคุณ Lee วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:17:14

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:35:59
ที่จริงเรื่องของความรู้สึกถึงมายาแห่งจิตนี้ มันมีต้นสายปลายเหตุของการปฏิบัติอยู่ครับ
ผมได้ถามหลายๆ คนว่ารู้สึกไม่ว่าโลกที่เราอยู่นี้มันเป็นเพียงภาพมายา เขาก็บอกว่า
ไม่รู้สึก ตัวผมเองเมื่อก่อนก็ไม่รู้สึก ถ้าอย่างนั้นอะไรคือสาเหตุ

สาเหตุก็คือเราไม่รู้จักจิต (รู้แต่คำนิยามในตำรา ว่าจิตคือธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์)
แต่ไม่ประจักษ์แจ้งแก่ตนเองว่า จิตแท้จริงคืออะไร ความรู้จริงนี้เกิดจากการมองเห็นจิต
(ภาวนามยปัญญา) คือเห็นแค่ครั้งเดียว ก็รู้อยู่ตลอดเวลาว่านี่คือจิต ธรรมชาติที่รับรู้
อารมณ์ อยู่ขณะนี้คือจิต (จริงดังคำของหลวงปู่ดุลย์ ไม่ผิดเพี้ยนเลยว่า จิตเห็นจิต เป็นมรรค)

แต่ถ้าจิตเห็นจิตแล้วไม่โยนิโสนมสิการถึงอนัตตาของมัน ความรู้สึกถึงมายาแห่งจิต
ก็ไม่เกิด เมื่อไม่รู้สึกถึงมายาแห่งจิตก็ง่ายต่อการหลงสัญญาว่าเป็นใจ (อย่างที่
หลวงปู่มั่นกล่าว)

โดยสรุปตรงนี้ก็คือ มีการปฏิบัติ จนเห็นแจ้งว่าจิตคืออะไรก่อน หลังจากนั้นต้องมี
การโยนิโสนมสิการถึงอนัตตาของจิต เมื่อความรู้สึกถึงมายาแห่งจิตนี้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว
เราก็จะรู้สึกอยู่ทุกครั้งที่เจริญสติปัฏฐานครับ

***คำเตือน***
อันตราย! เป็นความสามารถเฉพาะตัว ห้ามเลียนแบบ :)

ที่จริงว่าจะไม่ post เรื่องนี้ แต่พี่สันตินันท์ต้องการให้เก็บไว้เป็นร่องรอยสำหรับ
ผู้มาทีหลังบ้าง รู้ไว้เป็นแนวทางปฏิบัติเท่านั้นนะครับ
อ่านจบแล้วก็เหยียบเอาไว้เลย อย่างเก็บไปปรุงแต่งตาม
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 12:35:59

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 14:41:17
อ่านอาการอย่างที่คุณมะขามป้อมเป็นแล้ว ทำให้นึกถึงเมื่อก่อนนี้หลายปีแล้วครับ เคยพิจารณาว่า สิ่งของทั้งหลาย (โดยส่วนใหญ่หมายถึงรูป) ล้วนแต่ประกอบด้วยสิ่งอื่นๆ เช่น วัตถุชิ้นหนึ่งประกอบไปด้วย วัตถุชิ้นย่อยๆประกอบกัน วัตถุชิ้นย่อยๆเหล่านั้น แต่ละชิ้นก็จะประกอบไปด้วยวัตถุชิ้นย่อยๆเล็กๆประกอบกันไปอีก แยกแยะไปเรื่อย เป็นผลึก เป็นโมเลกุล เป็นอะตอม เป็นโน่นเป็นนี่ แล้วสุดท้ายกลายเป็นคลื่น เป็นพลังงานไปซะอีก

กับเคยพิจารณาเปลวไฟ (หลายคนอาจจะทราบ ว่าผมชอบมองเปลวไฟแต่เด็ก เพราะมองแล้วรู้สึกสงบ มีความสุขอยู่ภายใน) ว่าเปลวไฟแท้จริงไม่ได้มีอยู่จริง แต่เป็นเพราะมีแสงสว่างที่ได้จากปฎิกริยาการสันดาป ของ carbon กับ oxigen และ hydrogen เกิดเป็น carbondioxyde และน้ำ และได้ความร้อนออกมากับแสงสว่าง พิจารณาซ้ำลงไปว่า โมเลกุลของสารต่างๆที่ว่า เมื่อได้ทำปฎิกริยาแล้ว ก็ละออกไปจากบริเวณนั้น และมีโมเลกุลใหม่ๆเข้ามาทำปฎิกริยาต่อเนื่องกันไป ไม่มีโมเลกุลใด ที่ทำปฎิกริยาแล้วตั้งอยู่ในลักษณะส่งแสงและความร้อนออกมาได้ตลอดไป พิจารณาอย่างนี้ก็ทำให้ฉุกใจขึ้นบ่อยๆว่า

เราเห็นเป็นเปลวไฟ ในขณะที่เปลวไฟแท้จริงกลับไม่มี!

พิจารณาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันทำให้เหมือนกับว่า อะไรๆเหล่านี้ก็เป็นมายา เป็นของหลอกลวงไปทั้งสิ้น แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่า แล้วอะไรเป็นของจริง ดูเคว้งคว้าง สับสน ไม่รู้จะปรึกษาใคร (ทั้งๆที่บ้านที่ผมอยู่ อยู่ใกล้วัดสันติธรรม ที่เชียงใหม่ แค่ขับรถสัก 3 นาทีเองครับ สงสัยตอนนั้น วิบากกรรมส่วนอกุศลยังกางกั้นไว้อยู่) หลังๆก็เลยไม่ได้พิจารณาอย่างนั้นอีกครับ ก็เพิ่งมานึกได้เมื่อได้อ่านเรื่องราวของคุณมะขามป้อมน่ะครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 14:41:17

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 15:10:40
   เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่าน ได้ไปศึกษากับพี่สันตินันท์ที่ศาลาลุงชิน กลับมาก็เพียรฝึกให้รู้ตัวอยู่เสมอ (แต่ก็ยังเผลอมากอยู่) จึงได้สังเกตเห็นถึง การเห็นและการได้ยินอย่างมีความรู้ตัวอยู่
   โดยขณะที่มองเห็นภาพต่างๆนั้น ถ้าเราไม่ใส่ใจอะไรก็จะเห็นภาพมัวไปทั้งหมด ลักษณะเหมือนภาพถ่ายที่ไม่มีจุดโฟกัส 
   แต่ถ้าเราใส่ใจอย่างรู้ตัวอยู่ ภาพที่เห็นก็จะเด่นชัดเฉพาะจุดนั้นๆ ส่วนบริเวณอื่นก็จะยังคงมัวอยู่เหมือนเดิม
   แต่ถ้าเผลอเต็มๆขณะมองนั้น รู้สึกเหมือนกับจะเห็นเฉพาะจุดที่จิตเผลอเข้าไปอยู่  ส่วนบริเวณอื่นนั้นจับภาพแทบไม่ได้เลยครับ
   ที่ผมเห็นเป็นอย่างนี้ครับ ก็เลยยังไม่เข้าใจถึง การมองเห็นเป็นภาพสองมิติอย่างที่พี่สันตินันท์ คุณดังตฤณ และคุณพัลวัน กล่าวไว้ครับ
โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 15:10:40

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ นิพ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 16:07:52
ผมนายสงบครับ (เดี๋ยวจะจำกันไม่ได้ครับ เผอิญใช่ชื่อจริงในที่นี่) :-)

ผมต้องขอสาธุกับทุกท่านครับ โดยเฉพาะต้องกราบขอบพระคุณครูอาจารย์(คุณอาสันตินันท์)ด้วยครับ
ยังรู้สึกดีใจนะครับที่คุณอายังอยู่กับพวกเราที่นี่(ส่วนที่ลานธรรมฯคุณอาคงจะไม่ค่อยได้เข้าอีกแล้ว)
และยังอุตส่าห์หาอะไรดีๆมาสอนพวกเรา ทำให้ผมรู้สึกปฏิบัติได้อย่างสบายใจเหมือนไม่เดียวดายครับ
กราบขอพระคุณ คุณอาอีกครั้งครับ

โดยคุณ นิพ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 16:07:52

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 16:08:03
การที่จิตรู้อะไรได้เป็นจุดเล็กๆ เฉพาะตรงที่สติกำหนดลงนั้น ก็ถูกครับ
เหมือนอย่างเราคุยกับใครสักคน เรามองหน้าเขา
ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า เราเห็นหน้าของเขาเป็นจุดๆ เท่านั้น
เราต้องกวาดตาเคลื่อนที่ไปตรงนั้นตรงนี้
และอาศัยความจำรูปได้ เป็นเครื่องสนับสนุน
เราจึงเกิดความรู้สึกว่า เราเห็นหน้าเขาทั้งหน้า

ส่วนการเห็นภาพสองมิตินั้น ขอเรียนว่า ไม่ใช่ภาพทางตานะครับ
มันเป็นคำเปรียบเทียบถึงความรู้สึกเท่านั้น
เมื่อใดจิตสักว่ารู้ สักว่าเห็น
เมื่อนั้น รูปก็ดี เสียงก็ดี กระทั่งความคิดนึกปรุงแต่ง ก็จะเป็นเพียงสิ่งถูกรู้ถูกเห็น
เมื่อปราศจากความสำคัญมั่นหมายของจิต
สิ่งที่จิตไปรู้เห็นนั้น ก็ไม่มีความโดดเด่นผิดธรรมดาขึ้นมา
ทุกอย่างจึงเท่าเทียมกันในความเป็นธรรมดา
ใจจึงสัมผัสสิ่งต่างๆ เหมือนอย่างกับตาเห็นภาพสองมิติ

พวกเราอย่าพยายามไปมองภาพสามมิติที่ตาเห็น
ให้กลายเป็นภาพสองมิตินะครับ
มันจะกลายเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ
ขอให้เจริญสติสัมปชัญญะให้ต่อเนื่องต่อไปดีกว่าครับ

สำหรับจุดที่ คุณมะขามป้อม อธิบายไว้นั้น
ผมขอเล่าเพิ่มเติม ในเนื้อหาเดียวกัน แต่คนละภาษา
พวกเราจะได้เห็นว่า นักปฏิบัติคุยกันคนละภาษาก็รู้เรื่องกันได้
เพราะเรามุ่งทำความเข้าใจถึงสภาวะที่แจ่มแจ้งอยู่กับใจ
ไม่ใช่ยึดอยู่ที่ศัพท์บัญญัติ
แต่ถ้าเราจะคุยกับคนอื่น ก็ต้องพยายามอิงบัญญัติของพระพุทธเจ้าไว้
มิฉะนั้นอาจจะเกิดความสับสนกันได้

ในเวลาที่เราดูจิตนั้น เมื่อเรารู้แล้วปล่อยวางอารมณ์เข้าไปตามลำดับๆ
ในที่สุด สติสัมปชัญญะจะไปประชุมลงที่จิต
ตรงนี้ถ้าไปหยุดรู้จิตอยู่อย่างซึมๆ (นิดเดียว) เพราะโมหะแทรก
เราจะไม่เห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง
ต่อเมื่อเกิดความเฉลียวใจนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ
ก็จะเห็นชัดว่า นามขันธ์โดยเฉพาะสัญญานั้น มันแนบอยู่กับจิต
จิตจึงทำงานหมายรู้ออกนอกได้ มายาของโลกมันเริ่มมาจากสัญญาและสังขารนี้เอง
แล้วเราก็พากันหลงว่า สัญญานี้คือจิตของเรา
พอเห็นสัญญาชัดเจน ต่างหากจากจิต
เราก็จะรู้จักธรรมชาติแท้ของจิตที่พ้นจากความปรุงแต่งในแว้บเดียว
ตรงนี้แหละครับที่จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งได้แท้จริง
เพราะไม่มีฝ้ามัวใดๆ มาเคลือบคลุมไว้
ถ้ารู้จักสิ่งนี้แล้ว ก็เป็นการง่ายที่จะเห็นสิ่งแปลกปลอมที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา

อันนี้เล่าให้ฟังกันเล่นๆ ครับ
ทุกคนควรเอาอย่างคุณหมอ Lee ไว้นะครับ
คือฟังไว้ก่อน แล้วก็ไม่ต้องหยิบฉวยอะไรไปเลย
ไปปฏิบัติให้รู้จริงกับใจแล้ว
ค่อยกลับมาเล่าสภาวะที่พบ ด้วยภาษาที่ตนเข้าใจ
แล้วจะพบเองว่า เราพูดเรื่องเดียวกัน โดยไม่ได้นัดหมายเลย
โดยคุณ สันตินันท์ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 16:08:03

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 17:20:12
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 19:59:53
ครับ ผมยังต้องฝึกอีกมากครับ จะพยายามไม่ประมาทครับ
โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 1 มีนาคม 2543 19:59:53

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ มวยวัด วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 07:47:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 07:49:42
นึกถึงคำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ ได้ประโยคหนึ่งครับ
ท่านสอนว่า "จิตมิใช่จิต แต่ก็มิใช่มิใช่จิต"
คือถ้าเราปฏิบัติจนถึงจุดหนึ่งที่เหลือแต่ รู้ ไม่มีบัญญัติ
จิตก็เป็นเพียงธรรมชาติอันหนึ่ง ไม่คิดกระทั่งว่าตัวเองคือจิต

ธรรมตรงนี้ เป็นธรรมในขั้นเพิกถอนความยึดถือจิต
พวกเราฟังๆ ไว้ เพื่อประโยชน์ในอนาคตเถอะครับ
โดยคุณ สันตินันท์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 07:49:42

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ นิดนึง วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 09:06:28
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 09:17:30
คำกล่าวของหลวงปู่ดุลย์
คงหมายถึงจิต(ขันธ์)นั้นมีอยู่โดยธรรมชาติ ธรรมดา
แต่มีอยู่โดยไม่มีใครไปยึดไว้เป็น"เรา"

เรื่องจิตเห็นจิต นั้นไม่ได้หมายความว่ามีสิ่งหนึ่ง
ที่เรียกว่าจิตอยู่ภายใน แล้วเราไปเห็นมันนะครับ(คิดว่าหลายคนคงคิดอย่างนั้น)

ไม่ได้ลึกล้ำขนาดนั้นหรอกครับ
ความจริงจิต หรือธรรมชาติมันแสดงตัวของมันอยู่แล้ว
ตลอดเวลา แต่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อน
เมื่อไรที่ใจสงบ กิเลสเบาบางลง ปัญญาก็จะเกิด
ความรู้สึกที่ซื่อตรงต่อธรรมชาติ ก็จะเกิดขึ้นเอง
หมายถึงโลกมันมีอยู่เช่นเดิม แต่ความรู้สึกรับรู้ต่อโลกมันเปลี่ยนไป

เปรียบเหมือนเราใส่แว่นคนละชนิดก็เห็นโลกคนละแบบ
ทั้งๆ ที่เป็นโลกใบเดียวกันครับ

ช่วงที่จิตเห็นจิตนั้นเป็นอย่างที่พี่สันตินันท์กล่าวทีเดียว
คือมีการเฉลียวใจนิดเดียว แล้วก็ร้องออกมากับตัวเอง
ว่า อ๋อ...นี่เองจิต นี่เองคือสภาพอันเป็นธรรมชาติรู้อารมณ์
ตามที่นิยามไว้ในหนังสือ ไม่ผิดเพี้ยนเลย

โดยคุณ มะขามป้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 09:17:30

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 09:55:02
   พอจะเข้าใจจากการอ่านแล้วครับว่า ภาพสองมิติที่พี่สันตินันท์พูดถึง เป็นการเปรียบเทียบถึงความรู้สึก ไม่ใช่การเห็นด้วยตา  นี่แหละครับความโง่ของคนที่มากด้วยกิเลสตัณหา
   ขอบคุณพี่สันตินันท์มากครับ
โดยคุณ สุรวัฒน์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 09:55:02

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ สันตินันท์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 10:26:26
คุณสุรวัฒน์ไม่โง่หรอกครับ แต่ผมเขียนไม่ชัดเอง
ที่เจอกันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ทราบชัดว่า ได้สร้างสิ่งที่ดีๆ ไว้มากทีเดียว

การเขียนธรรมะ บางทีก็พาให้เข้าใจคลาดเคลื่อนง่ายๆ ครับ
อย่างเช่นเราพูดกันว่า เห็นความโกรธ
ความจริงเรารู้สึกถึงสภาวะบางอย่างที่เรียกว่าความโกรธ
คำว่าเห็นจิตก็เหมือนกัน จิตไม่มีอะไรจะให้เห็น เพราะจิตเป็นอรูป
แต่จิตก็มีสภาวะให้รู้สึกได้ เราเพียงรู้ถึงสภาวะนั้น เท่านั้น

น่ายินดีครับ ที่ได้พบนักปฏิบัติมารวมกันอยู่ที่นี่
เรื่องแบบนี้ ไม่ค่อยมีใครคุยกันหรอกครับ
ยกเว้นในหมู่พระป่านักปฏิบัติที่เอาจริงเอาจังเท่านั้น
โดยคุณ สันตินันท์ วัน พฤหัสบดี ที่ 2 มีนาคม 2543 10:26:26

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ สายขิม วัน ศุกร์ ที่ 3 มีนาคม 2543 14:40:29
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน จันทร์ ที่ 6 มีนาคม 2543 08:00:18
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ ทองจันทร์ วัน อังคาร ที่ 7 มีนาคม 2543 17:28:43
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ naruntorn วัน จันทร์ ที่ 27 มีนาคม 2543 01:15:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com