ตัดตอนมาจากคำบรรยายเรื่องอานาปานสติของท่านอาจารย์พุทธทาส ในหมวดจิต ในขั้นที่ ๑๑ คือทำจิตให้ตั้งมั่นครับ ------------------------------------------------------------------------------ เรามีลักษณะเฉพาะที่จะสังเกตหรือกำหนดว่า จิตเป็นสมาธิโดยถูกต้อง อยู่ ๓ ประการ คือจิตตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่านมีอารมณ์เดียวเรียกว่า สมาหิโต เป็นสมาธิ แล้วก็จิตนั้นบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรมารบกวนจิต จิตว่างจากกิเลสเรียกว่า ปริสุทโธ บริสุทธิ์ แล้วก็จิตนั้นเหมาะสมอย่างยิ่ง พร้อมอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของจิตเรียกว่า กัมมนีโย สามคำนี้ถ้าจำได้ก็ดี สมาหิโต stableness ปริสุทโธ pureness กัมมนีโย activeness ต้องมี ๓ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าจิตนั้นมีสมาธิอย่างถูกต้อง
เราอาจจะมีลักษณะทั้ง ๓ นี้ ในขณะที่เดินอยู่ก็ได้ ยืนอยู่ก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้ แล้วก็มีคำเรียกในบาลี น่าสนใจเหมือนกัน ถ้าเรามีจิตที่เป็นอย่างนี้ มีลักษณะ ๓ อย่างนี้ ถ้ายืนอยู่ก็เรียกว่า การยืนที่เป็นทิพย์ divine standing นั่งอยู่ก็ divine sitting มีลักษณะ ๓ อย่างนี้ นอนอยู่ก็ divine lying ไม่ใช่แข็งทื่อ เป็นก้อนหินหรือเป็นท่อนไม้ แต่ว่าจิตนั้นพร้อมที่สุดที่จะทำหน้าที่ของจิต คือรู้ยิ่งๆ ขึ้นไป นี่คือหน้าที่ของจิต หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะมีความสุขอยู่ในขณะนั้นด้วย การมีความสุขนี่ก็ เป็นหน้าที่ของจิตด้วยเหมือนกัน และจิตจะพร้อมที่จะทำหน้าที่ของจิต เมื่อจิตมีลักษณะ ๓ อย่างนี้
ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นด้วยลักษณะ ๓ ประการนี้ เรียกว่าผู้มีจิตตั้งมั่น เรียกเป็นบาลีสั้นๆ ว่า สมาหิโต ผู้มีจิตตั่งมั่น มีพระบาลี พระพุทธภาษิตว่า "เมื่อมีจิตตั้งมั่นย่อมรู้ธรรมชาติทั้งปวงตามที่เป็นจริง" สมาหิโต ยถาภูตัง ปชานาติ ประโยชน์อย่างยิ่งของสมาหิโตคือจิตตั้งมั่นในการรู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ปัญหาอะไรที่เราเก็บไว้ในใจตอบไม่ได้ ก็จงทำจิตตั้งมั่น แล้วคำตอบจะออกมาโดยอัตโนมัติ หรือว่าเรามีจิตตั้งมั่น ไปที่ไหนๆ แล้วจะเห็นสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงหมายความว่าเราจะ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้โดยง่าย ถ้าจิตประกอบอยู่ด้วยลักษณะ ๓ อย่างนี้ ที่เรียกว่า สมาหิโต
ท่านจะสังเกตเห็นได้เองว่าลักษณะหรือคุณสมบัติ ๓ อย่างนี้มันเนื่องกันอยู่ภายใน เป็น interdependent ทั้ง ๓ อย่างนี้เนื่องกัน อยู่เป็นอันเดียวกัน ถ้ามันไม่ตั้งมั่น มันก็บริสุทธิ์ไม่ได้ ถ้ามันบริสุทธิ์ไม่ได้ มันก็ไม่ตั้งมั่น แล้วมันก็ต้องตั้งมั่นและบริสุทธิ์ มันจึงจะมีความว่องไวในหน้าที่ จึงจะมี activeness ๓ อย่างนี้มันทำงานรวมกันเป็นองค์ ๓ เป็น tree factors แล้วก็เป็นจิตที่เป็นสมาธิ ขอให้พยายาม ศึกษาให้เข้าใจคำว่า ตั่งมั่นและบริสุทธ์ แล้วก็ว่องไวในหน้าที่ (stableness, purity, activeness) ๓ อย่างนี้ต้องเท่ากัน เป็นอันเดียวกัน จึงจะเรียกว่า สมาหิโต จึงมีประโยชน์มาก มีอานิสงส์มาก มีอานุภาพมาก สามารถที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ ทั้งที่เป็นลักษณะตามธรรมชาติธรรมดา หรือที่เป็นลักษณะเหนือธรรมชาติธรรมดา
ในที่สุดขอให้จำ ขอให้เข้าใจ ใจความสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อมีจิตเป็นสมาธินี้เดินอยู่ก็ได้ ยืนอยู่ก็ได้ นั่งอยู่ก็ได้ นอนอยู่ก็ได้ ทำการงานอยู่ก็ได้ รับผลของการงาน เสวยผลของการงานก็ได้ ช่วยผู้อื่นก็ได้ ช่วยตัวเองก็ได้ ใช้ได้ทุกปัญหา แก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ขอให้สนใจคำว่า ผู้มีสมาธิ สมาหิโต สามารถจะทำหน้าที่ได้อย่างนี้ ได้ทุกอย่างอย่างนี้ เราฝึกจนสามารถมีจิตชนิดนี้ (จิตสมาหิโต) ประกอบด้วยองค์ ๓ นี่ หายใจเข้าอยู่ หายใจออกอยู่ สำเร็จเป็นขั้นที่ ๑๑ -------------------------------------------------------------------------------------
ที่จริงมีธรรมชาติของจิตอีกอย่างหนึ่งที่ท่านพุทธทาสลืมกล่าวถึง แต่มากล่าวถึงในตอนเริ่มต้น ของการบรรยายในวันถัดมาในหมวดธรรม นั้นคือ คำว่า มุทุ แปลว่าอ่อนโยน คือจิตมีความ อ่อนโยน นิ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง มีความว่องไว(sensitivity)มาก รวมเป็นลักษณะ ๔ ประการครับ
|
|