(งานนี้เอามะพร้าวมาขายสวนอีกแล้ว :) )
การดูจิตหมายถึงการระลึกรู้ว่าจิตของตนขณะนั้นๆ เป็นอย่างไร มีกิเลส ไม่มีกิเลส ตั้งมั่นหรือไม่ตั้งมั่น ซึ่งเรื่องนี้พี่สันตินั้นได้กล่าวมาแล้ว ในเรื่อง ดูจิต: ดูอะไร แต่หากดูจิตอย่างเดียว โดยไม่ได้พิจารณาถึง ไตรลักษณ์ ของธรรม (จิตและอารมณ์) ก็เป็นไปไม่ได้ที่จิตจะคลาย ความยึดมั่นถือมั่น เพราะไม่มีปัญญาคือความรู้(วิชชา)ที่ถูกต้องมาประหารกิเลส ในกระทู้นี้จะได้อธิบายเรื่องการดูธรรมตามแนวอานาปานสติสูตรต่อไป
หากดูในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านแบ่งให้พิจารณาใน 3 เรื่องคือ นิวรณ์ 5 (นิวรณบรรพ), ขันธ์ 5 (ขันธ์บรรพ), อายตนะ 6 (อายตนบรรพ) โดยในส่วนท้ายของแต่ละบรรพ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนให้พิจารณาใน ธรรม คือ สิ่งที่มีอยู่อันได้แก่ จิตและอารมณ์ อันหมายรวมในทั้ง 3 เรื่องข้างต้น ธรรม คือ ธรรมชาติของ สิ่งต่างๆ ที่ต้องมีการเกิดขึ้น ดับไปๆ
หากดูในอานาปานสติสูตร ท่านกล่าวชัดเจนกว่าถึงการพิจารณาในหมวดธรรม เป็น 4 ประการ คือ พิจารณาอนิจจัง, พิจารณาความคลายกำหนัด, พิจารณา ความดับแห่งกิเลส, พิจารณาความสละคืนกิเลส
ทั้ง 4 ประการของหมวดธรรมที่กล่าวมาอาจจะดู เป็นขั้นเป็นตอน เป็นหมวดเป็นหมู่ แต่ในทางปฏิบัติทั้งหมดนั้นเกิดขึ้น ในชั้วขณะจิตเดียว ที่จิตตั้งมั่น เป็นกลาง ด้วยสติสัมปชัญญะ หมายความว่าพริบตาเดียวที่เราดูจิตและอารมณ์ ด้วยสมาธิที่สงบและตั้งมั่น ความรู้ และปัญญา ในการมองเห็นธรรม ตามที่เป็นจริง ก็จะเกิดขึ้นเอง การพิจารณาในหมวดธรรมทั้ง 4 ประการ ก็เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทีเดียว การปฏิบัติในหมวดที่ 4 จึงไม่ใช่เรื่องยากเลย
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรามีความอยากเกิดขึ้น เราดูจิตรู้ว่าจิตมีคลุมด้วยความอยาก ทันทีอยู่กับจิตผู้รู้ สังเกตดูจะเห็นความอยากค่อยๆ คลายลง และหายไปในที่สุด นั่นคือเห็นความคลายกำหนัดและการดับไปของกิเลส
ต่อมาผู้ปฏิบัติอาจใช้วิธี โยนิโสมนสิการ (นึกนำ) ถึงอนิจจัง ก็ได้ แต่หากปฏิบัติ บ่อยๆ เห็นจิต เห็นอารมณ์ตนเองบ่อยๆ จิตก็จะเรียนรู้ และตระหนักรู้ อยู่เอง ถึงความเป็น อนิจจัง เมื่อเห็นความไม่เที่ยง เห็นความเป็นทุกข์เมื่อจิตต้องการจะให้ มันเที่ยง ความรู้ว่าสิ่งตางๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราก็จะเกิดขึ้น ตามด้วยความรู้สึกสักแต่ว่า อันหมายความว่า จิตได้เรียนรู้แล้วว่าสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จิตก็เรียนรู้ที่จะดูอยู่เฉยๆ ไม่เขาไปเกาะตามอารมณ์ ตรงนี้เรียกว่าการสละคืนกิเลสนั่นเอง (ไม่คล้อยตามกิเลส) เมื่อสละคืนกิเลสไปหมดแล้ว เราคืนทุกอย่างที่เอามาเป็นตัวกูของกูหมดแล้ว ที่เหลืออยู่จึงเป็นความจริงที่ไม่ปรุงแต่งนั่นเอง
|
|