ความเห็นที่ 25 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 24 มีนาคม 2543 14:11:26 |
วันนี้มีเมล์ฉบับหนึ่งเขียนมาคุยกับผม เพราะสงสัยว่า จิตผู้รู้ ธรรมเอก เอโกทิภาวะ ความรู้ตัว สมาธิ นิวรณ์ มันเกี่ยวพันกันอย่างไร อะไรมาก่อนมาหลัง ผู้ถามเป็นคนที่คุ้นเคยกันมานาน สำนวนโวหารทั้งการถามและการตอบจึงดุเดือดอยู่สักหน่อย นึกว่าฟังธรรมะอีกรสชาดหนึ่งก็แล้วกันครับ
***************************************
> อย่างงี้จ้ะพี่ ไพอ่านพระสูตรแล้วรู้สึกว่า > พระพุทธเจ้าท่านจะอยู่ในอารมณ์สมาธิตลอด > มักจะมีประโยคที่ว่า จิตตั้งมั่น ปราศจากกิเลส > นุ่มนวล อ่อนโยน ควรแก่การงาน > แล้วก็คำว่า ธรรมเอก ด้วย > คือ..ไพเริ่มงง ว่า การที่มีตัวรู้ เพื่อให้เกิดธรรมเอก > เกิดจิตตั้งมั่น หรือว่าจิตตั้งมั่นก่อน ถึงจะเกิดตัวรู้ > เวลาอ่านพระสูตรแล้ว เหมือนจะเข้าใจว่า > ต้องมีอารมณ์ตั้งมั่นเป็นสมาธิก่อน แล้วถึงจะสามารถ > รู้ตัวว่าจิตเคลื่อนออก ถึงจะรู้เห็นกิเลส > แต่ตอนโน้น..ที่พี่เคยพูดถึงเอโกทิภาวะว่าเกิดจาก > ละนิวรณ์ก่อน ยังไงนะพี่ นี่ไพงงมากเลย เหมือนมัน > สลับสับกันยังไงก็ไม่รู้
มันไม่สลับที่หรอกจ้ะน้องยุ่ง ในการทำจิตให้เป็นสัมมาสมาธินั้น พระพุทธเจ้าท่านแนะให้รู้นิวรณ์เข้าไปเลย เหมือนอย่างที่พี่บอกให้ไพรู้วิจิกิจฉาคือความลังเลสงสัยนั่นเอง เมื่อรู้ไปจนนิวรณ์ไม่สามารถครอบงำจิตได้ หรือนิวรณ์ดับไปเลยก็ได้ ก็จะเหลือแต่จิตที่ปราศจากนิวรณ์ จิตก็เป็นสมาธิโดยอัตโนมัติ เพราะจิตนั้นเดิมมันก็ผ่องใสดีอยู่แล้ว แต่มันเศร้าหมอง มันขาดสมาธิก็เพราะกิเลสนิวรณ์มาหลอกให้มันแส่ส่าย เช่นเกิดความสงสัยแล้วก็แส่ส่ายคิดไม่เลิก มันก็เลยไม่มีสมาธิ
เมื่อจิตปราศจากนิวรณ์จิตก็สงบ ถึงจุดนี้มีทางแยกคือถ้าแยกไปทางมิจฉาสมาธิ ก็ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มสบายไปเลย แต่ถ้าจะทำสัมมาสมาธิ ถึงตรงนี้ให้สังเกตจิตตนเอง จะเห็นว่าความสุขสงบที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อเห็นว่าอารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เราก็จะรู้จักกับ"จิตผู้รู้" หรือ"ธรรมเอก" หรือ"เอโกทิภาวะ" ทั้ง 3 ชื่อนี้ก็คืออันเดียวกัน มันจะเป็นจิตผู้รู้ เป็นจิตที่นุ่มนวล อ่อนโยน ตั้งมั่น ควรแก่การงาน
ทีนี้ถ้าเราชำนิชำนาญในการรู้ตัว ก็คือการที่อารมณ์ไม่อาจครอบงำจิตผู้รู้ได้ พอรู้ตัวปุ๊บ จิตผู้รู้หรือธรรมเอก ก็เด่นชัดในความรู้สึกอยู่แล้ว เวลากิเลสอะไรผ่านมา จะเห็นมันเกิดดับไปได้อย่างชัดเจนทีเดียว และจิตผู้รู้นี้ ควรทำให้มีขึ้นตลอดเวลาที่ตื่นอยู่ ท่านจึงกล่าวว่าจิตต้องมี(สัมมา)สมาธิอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีจิตผู้รู้ ก็คือมีสมาธินั่นเอง เพราะจิตผู้รู้หรือธรรมเอกนั้น ท่านอธิบายไว้ชัดเจนว่า คือจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ
ส่วนไพไม่ยอมมีจิตผู้รู้ มีแต่จิตผู้หลง คือหลงตามนิวรณ์อันได้แก่ความลังเลสงสัยเรื่อยไป รวมความแล้ว ไม่เคยทำอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเลย คือท่านสอนให้รู้นิวรณ์เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ (ธรรมเอก/จิตผู้รู้) เพื่อจะได้เห็นความเกิดดับของกิเลสอารมณ์อย่างชัดเจน ไพกลับเชื่อนิวรณ์ พอสงสัยก็คิดค้นคว้าวุ่นวายไปเลย แล้วอย่างนี้จะไปรู้จักจิตผู้รู้หรือธรรมเอกได้อย่างไร แล้วก็เลยสงสัยว่า จิตจะเป็นสมาธิตลอดเวลา(ที่ตื่น)ได้อย่างไร
> คือไพก็มาดูตัวเองนะพี่ จิตไพไม่เคยอยู่นิ่งๆ > ตั้งมั่นเลย > เป็นเพราะเหตุนี้รึเปล่าที่ทำให้ไม่ทันกิเลส ฟุ้งตลอด > ไพควรจะทำสมาธิให้ได้ก่อนมั้ยนะพี่ แต่ตรงนี้ก็ลำบากอีก > ไพไม่เคยนั่งสมาธิให้อยู่นิ่งๆได้เกิน 3 นาทีเลย > เอ๊อ..รู้สึกมันชักวุ่นวายไปหมด เอายังไงดีน้อ..
ก็ไม่ยอมเฝ้ารู้นิวรณ์ไปนี่นา เอาแต่คิด กิเลสก็เอาไปกินหมดสิ แล้วพอย้อนมาดูจิตนิดๆ หน่อยๆ ก็มาสงสัยว่าทำไมมันวุ่นวายนัก จะไม่ให้มันวุ่นวายได้อย่างไร ก็ในเมื่อสั่งสมความวุ่นวายเอาไว้มากมาย พอปฏิบัตินิดเดียวไพจะให้มันสงบเลยเป็นไปไม่ได้หรอก เหมือนน้ำในบ่อมันใสๆ ก็ลงไปเดินลุยเล่นจนขุ่นข้น พอขึ้นจากบ่อก็หันไปบ่นว่า เอ.. ทำไมน้ำ มันไม่ใสเสียที ก็เฝ้าดูน้ำขุ่นเรื่อยๆ ไปสิ แล้วคอยดูว่ามันจะใสได้ไหม ถ้าเราไม่ไปทำเหตุให้มันขุ่นขึ้นมาอีก |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 24 มีนาคม 2543 14:11:26 |