เช้านี้ผมตื่นนอนตั้งแต่เวลาประมาณตีสี่ หลังจากที่ลุกไปเข้าห้องน้ำกลับมาแล้วผมก็นอนไม่หลับครับ ก็เลยนอนเล่น ปล่อยให้ความคิดมันผุดแล่นไป ปล่อยความคิดไปเพลินๆครับ
ในขณะที่ความคิดมันแล่นไปเรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมก็ตามรู้ไปครับ รู้ไปในความคิดบ้าง รู้ไปในเวทนาที่เกิดขึ้นบ้างครับ ตามแต่ว่าจิตผู้รู้จะไปรู้เรื่องไหน ก็ตามรู้ไปอย่างนั้นครับ
ในขณะที่ตามรู้ไปอยู่อย่างนั้น บางขณะก็ขอแอบดูจิตผู้รู้สักหน่อย ว่ามีปฎิกริยาหรือจะเรียกว่าความยินดียินร้าย อย่างไรต่ออารมณ์ที่กำลังรู้อยู่บ้าง
ในบางขณะก็ได้แอบสังเกตเห็นว่า เมื่อมีการเปลี่ยนอารมณ์ที่ถูกรู้คราวหนึ่ง ก็เห็นอาการของจิตผู้รู้ที่ย้ายอารมณ์ที่ถูกรู้ไปด้วย เป็นอันว่าได้แอบสังเกตเห็นการ "ย้าย"การรู้อารมณ์
แต่ที่สังเกตเห็นยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ปฎิกริยาของจิตผู้รู้ที่มีต่ออารมณ์ที่ถูกรู้ ก็เปลี่ยนไปด้วย
บางคนอาจจะสงสัยว่า อ้าวก็จิตผู้รู้ ที่มักรู้เห็นอยู่นั้น ก็มักจะเฉยๆมิใช่หรือ? ก็ถูกครับ แต่จากที่ผมสังเกตดูนั้น ก่อนที่จะเห็นเข้าไปที่จิตผู้รู้ที่เป็นเฉยๆนั้น จะมีตัวยินดียินร้ายอยู่ให้พบปะกันก่อนเสมอไป น้อยครั้งนักที่จะไม่ได้เป็นอย่างนั้น และจะเป็นได้ก็ต่อเมื่อสติ-สัมปชัญญะแข็งกล้าพอควรแล้วเท่านั้น แต่ในเวลาปกติตามวิสัยคนธรรมดาอย่างผม สติ-สัมปชัญญะ ก็มีน้อยอยู่เหมือนกันครับ
เล่นเอาเถิดเจ้าล่ออยู่เป็นพักใหญ่ ในใจก็เกิดความรู้สึกว่า "เหมือนๆกัน" คราวนี้มิใช่การอุทาน แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น คือมีความรู้สึกว่า คืนหนึ่ง วันหนึ่ง ก็เหมือนๆกัน วันหนึ่ง หรือกัปป์หนึ่ง ก็เหมือนๆกัน จะกัปป์นี้กัปป์ไหน ก็เหมือนๆกัน จะภพนี้ภพไหน ก็เหมือนๆกัน สิ่งที่เหมือนกันก็คือ มีรู้ มีอารมณ์ที่ถูกรู้ และมีความยินดียินร้าย เหมือนๆกัน ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ในขณะนั้นก็เลยแอบดูปฎิกริยาหรือความยินดียินร้ายก็พบว่า ใจเรานั้นมันไม่สนใจอะไรเลย มันไม่อินังขังขอบประการใดทั้งสิ้น นานไม่นานมันก็ไม่สนใจ มีไม่มีมันก็ไม่สนใจ มันไม่เอาอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ทรงตัวอยู่ได้สักประเดี๋ยวก็คลายตัวออกมา
มาถึงที่ทำงานก็เลยได้มีโอกาสได้เล่าให้ครูฟัง ครูก็เลยเล่าเรื่องหลวงปู่เทสก์ให้ฟังว่า หลวงปู่เทสก์ท่านบอกว่า กิเลสก็ของเก่า ธาตุขันธ์นี้ก็ของเก่า มิได้มีอะไรใหม่ แต่ผู้คนรู้ไม่เท่าทัน ก็เลยตื่นตาตื่นใจไปกับของเก่าเหล่านี้
ได้อ่านข้อความของครูจากในเมล์ ก็ทำให้นึกถึงเรื่อง ความแปลกใหม่ ที่เป็นสิ่งที่กิเลสสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงมิให้เราได้เห็นไตรลักษณ์ บดบังเสียซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่เราเรียกว่า อนิจจัง บดบังเสียซึ่งความเสื่อมโทรมทำลายที่เราเรียกว่า ทุกขัง บดบังเสียซึ่งความไม่อยู่ในอำนาจที่เราเรียกว่า อนัตตา
จำได้ว่า เคยคุยเรื่องนี้กับคุณพี่ไข่เจียว เรื่องผลงานของกิเลส ว่ารอบๆตัวเรานั้นทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นผลงานของกิเลสทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเรื่องของ การเมือง เศรษฐกิจ อารยธรรม ประเพณี หรือ ตึกรามบ้านช่องที่แวดล้อมเรา หรือทางด่วน ก็ล้วนแต่ทำด้วยกิเลสทั้งสิ้น ซึ่งในครั้งนั้นก็ได้คุยกันว่า เห็นอย่างนี้แล้วจะไปแย้งกับหลวงตาบัวท่านได้อย่างไร ที่ท่านว่า กิเลสครอบงำไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แท้ที่จริงแล้ว ความแปลกใหม่ หรือ ความตื่นตาตื่นใจ ก็เป็นเพียงเครื่องล่อลวงของกิเลส ที่จะบดบังไตรลักษณ์เท่านั้นเอง หากเราหมั่นรู้เท่าทันเสมอ เห็นว่าแท้ที่จริงทั้งหมดทั้งปวงนี้ก็เป็น ของเก่า อย่างที่หลวงปู่เทสก์ท่านว่าไว้ เราคงจะไม่ถูกกิเลสหลอกลวงเอา จนต้องเดือดร้อนกันอยู่ในสังสารวัฎฎ์เช่นนี้เลย
|
|