ความเห็นที่ 2 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 17 เมษายน 2543 16:47:36 |
อนุโมทนาที่ไปปฏิบัติธรรมมาครับ
ความคิดก็คือสังขารขันธ์อันหนึ่ง เหมือนสังขารอื่นๆ เช่นราคะ โทสะ โมหะ วิจิกิจฉา ความสงบ ความฟุ้งซ่าน ฯลฯ เราเพียงรู้สังขารหรือกระแสความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นก็พอ ไม่จำเป็นจะต้องไปดูว่าคิดอะไร และไม่จำเป็นต้องวิจารณ์ความคิดด้วย ว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิด เพราะจุดสำคัญ อยู่ที่เราต้องการดูจิตให้ออก ว่าจิตมีความยินดียินร้ายต่อสิ่งที่ถูกรู้ (ในกระทู้นี้ความคิดเป็นสิ่งถูกรู้) หรือไม่ และจิตถูกกิเลสตัณหาครอบงำหรือไม่ (กิเลสมันวิ่งตามความคิดมา) เพราะถ้าเฝ้าดูความคิดตรงๆ บางคนจะเหนื่อยมาก หรือไปหลงกับบัญญัติ อันเป็นถ้อยคำหรือเรื่องราว แทนที่จะเห็นสภาวะ คือกระแสความปรุงแต่งของจิตที่เกิดดับยิบยับไป
แต่บางแห่งท่านก็แนะนำให้เฝ้ารู้ความคิดเอา ว่าคิดอะไร ดีหรือเลว เพื่อหาอุบายสอนจิตให้รู้จักพิจารณาเพื่อปล่อยวาง จึงอยู่ที่ว่าคุณนิพต้องการจะทำแบบไหน ก็ตามสะดวกครับ คือจะใช้อุบายตามดูความคิดเพื่อให้จิตสงบเสียก่อนในขั้นต้น ก็ได้
สำหรับผมเอง จะเพียงเห็นความคิดผุดขึ้นแล้วก็ดับไปเท่านั้น บางครั้งเมื่อสัญญาแปลกระแสความปรุงแต่งแล้ว ก็จะรู้ว่าคิดอะไร แต่บางคราว เพียงเห็นสิ่งบางสิ่งเกิดแล้วดับไปยิบยับๆ ไม่แปลว่าคิดเรื่องอะไร ผมไม่ได้ใช้วิธีคิดอบรมจิต และไม่เฝ้าดูเรื่องที่คิดให้เป็นภาระกับจิต แต่ใช้รู้ความปรุงแต่งที่กำลังปรากฏ แล้วถ้าจิตเกิดยินดียินร้ายขึ้นมา ก็จะมารู้อยู่ที่จิตอีกชั้นหนึ่งครับ |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 17 เมษายน 2543 16:47:36 |