กลับสู่หน้าหลัก

คุณแม่พิมพา วงศาอุดม

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 1 พฤษภาคม 2543 19:15:43

คุณพัลวันเคยปรารภกับผมว่า
อยากจะให้มีการแนะนำครูบาอาจารย์ที่พวกเรายังไม่ค่อยรู้จัก
ผมเองก็เห็นด้วย แต่ไม่มีเวลาจะเขียนเรื่องของท่านเหล่านี้ออกมา
เพราะถึงรู้จักอยู่หลายท่าน ก็มักจะรู้จักเฉพาะธรรม ไม่เคยสนใจประวัติของท่าน
จึงไม่มีข้อมูลพอจะนำมาเขียนได้โดยไม่ต้องค้นคว้าเพิ่มเติม

ยกเว้นคุณแม่น้อย หรือคุณชีพิมพา วงศาอุดม ซึ่งท่านเมตตาผมเหมือนลูก
ผมเคยแปลธรรมะที่ท่านเขียน และพิมพ์เป็น file ไว้แล้ว
รวมทั้งเคยร่วมทุนกับญาติมิตร จัดพิมพ์หนังสือ "ทางพ้นทุกข์" ถวายท่าน
จึงไม่ยากที่จะนำธรรมของท่านมาแนะนำให้พวกเรารู้จักไว้
เผื่อวันใด พวกเรามีโอกาสผ่านไปหนองคาย จะได้เข้าไปกราบท่านได้

*****************************************
คำนำ
------------------------

คุุณแม่น้อยหรือคุณแม่ชีพิมพา วงศาอุดม
แห่งวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
เป็นผู้ได้รับคำสรรเสริญจาก ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี
ว่าเป็นหญิงใจเพชร คือเป็นผู้มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในการภาวนา
เป็นแบบอย่างอันประเสริฐสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไป

ในวันนี้ซึ่งท่านเจริญวัยเป็นรัตตัญญูบุคคล
เราอาจมองเห็นความเป็นหญิงใจเพชรของท่านได้ยาก
แต่สิ่งที่เห็นได้โดยง่ายก็คือความเมตตากรุณา
ที่ท่านมีให้กับลูกหลานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักท่านมานาน
หรือเพิ่งได้เข้าไปกราบไหว้ท่านเป็นครั้งแรกก็ตาม
และเมื่อได้ฟังท่านเล่าเรื่องราวในชีวิตของท่าน
เราก็จะพบคุณธรรมคือความนอบน้อมถ่อมตนของท่าน
ซึ่งยากจะหาผู้เสมอเหมือน
ท่านจะกล่าวบ่อยครั้งว่า ท่านไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ ท่านโง่กว่าคนอื่นเขา
แต่ยามใดที่ท่านแสดงข้ออรรถข้อธรรมต่างๆ
ซึ่งกลั่นออกมาจากใจเพชรของท่าน
ผู้เข้าใจธรรมจะทราบทันทีว่า
ท่านเป็นเพชรแท้และฉลาดแหลมคมไม่แพ้ใคร

สำหรับหนังสือเล่มนี้ คุณแม่ได้มอบต้นฉบับลายมือของท่านให้กับข้าพเจ้า
และกำชับว่า นี่เป็นธรรมที่สำคัญที่สุด
ที่แม่ได้รับถ่ายทอดมาจากหลวงปู่ (ท่านพระอาจารย์เทสก์)
แม่ไม่วางใจให้ผู้อื่นแปลให้ ลูกจะแปลให้แม่ได้หรือไม่

ข้าพเจ้าจึงน้อมรับต้นฉบับนั้นจากท่าน
ยอมรับว่าต้องใช้เวลานานมากที่จะทำความคุ้นเคยกับลายมือของท่าน
แต่ก็พยายามแปลให้ดีที่สุด ช่วงแรกนั้นลำบาก
แต่เมื่อคุ้นกับลายมือของท่าน ก็เกิดความเบิกบานชุ่มฉ่ำ
ไปกับกระแสธรรมที่ถ่ายทอดออกมาจากใจของท่าน

ธรรมของท่านเรียบง่าย ตรงไปตรงมา
สรุปใจความก็คือท่านสอนให้เจริญสติสัมปชัญญะ
อ่านจิตตนเองให้ออกอย่างแจ่มแจ้ง
ทำความเข้าใจกับร่างกายจิตใจของตนเอง
เพื่อละถอนปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
แล้วมาหยุดอยู่กับใจที่เป็นกลาง
และท่านให้เอาสมถะ(พุทโธ)อบรมจิต
เพื่อให้เกิดสมาธิเป็นเครื่องหนุนปัญญาให้ฉลาดแหลมคมขึ้นไปตามลำดับ
จนกระทั่งจิตบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา


ธรรมของท่านวนเวียนอยู่ในหลักปฏิบัตินี้เท่านั้น
แต่ธรรมอันนี้แหละที่สร้างพระอริยบุคคลทุกๆ องค์มาแล้ว
ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตกาล

เมื่อแปลเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าได้นำต้นฉบับไปอ่านถวายท่าน
เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
จุดใดที่อ่านลายมือของท่านไม่ออก หรืออ่านผิด
ท่านจะบอกให้แก้ไขได้ทันที
ตลอดเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
ท่านนั่งพับเพียบหมอบฟังอยู่บนเตียงของท่านด้วยความร่าเริงเบิกบาน
ข้าพเจ้าสงสารกลัวท่านจะเหนื่อยจึงขอให้ท่านนอนฟัง แต่ท่านไม่ยอมนอน
เป็นแบบอย่างที่เห็นได้ชัดถึงความเป็นผู้เคารพในพระธรรมอย่างลึกซึ้งของท่าน

เมื่อแก้ไขต้นฉบับถูกต้องแล้ว
ข้าพเจ้าได้เรียนท่านถึงเรื่องการจะจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่
ท่านลังเลเพราะเกรงข้อครหาว่าท่านอยากเด่นอยากดัง
แต่เมื่อข้าพเจ้ายืนยันว่า ธรรมของท่านเป็นประโยชน์สำหรับผู้ปฏิบัติรุ่นหลัง
ท่านก็สั่งให้ข้าพเจ้านำต้นฉบับไปกราบเรียนให้ท่านเจ้าคุณวัดสัมพันธวงศ์พิจารณา
เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่และเข้าใจเรื่องนี้อยู่ หากท่านอนุญาตจึงจะพิมพ์ได้

ข้าพเจ้าทำตามความประสงค์ของคุณแม่น้อยทุกประการ
จากนั้นก็รวบรวมปัจจัยในหมู่ญาติมิตรเพื่อเป็นทุนดำเนินการ
แล้วหนังสือเล่มนี้ ก็เกิดขึ้นได้ด้วยเหตุนี้เอง

---------------------------
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 1 พฤษภาคม 2543 19:15:43

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 1 พฤษภาคม 2543 19:40:02
มาดูจิตของตนกันเถิด

โดย คุณแม่น้อย (พิมพา วงศาอุดม)

---------------------------------------

อันนี้เรื่องของโลกบังธรรม กรรมบังจิต
จิตเห็นผิดเป็นถูกไปได้ก็เพราะกรรมบังจิต
จิตเห็นผิดเป็นถูกก็จะทำความดีได้ยาก
ก็เพราะฉะนั้นจึงให้เราอาศัยขันติ คือความอดทนต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ
เราต้องยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อทำให้พร้อมทั้งกาย วาจา จิต
ให้ซื่อตรงต่อพระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
อย่างหนักแน่นมั่นคง ไม่เคลื่อนไหวหรือเอนเอียงไปตามอารมณ์ทั้งหลายทุกอย่าง

ให้มีสติสัมปชัญญะอย่างมั่นคงหนักแน่น
ก็แล้วเวลาตาเห็นรูปก็รู้ว่ารูปกับสีเท่านั้น
แล้วก็ผ่านไปดับไปดับเท่านั้น
ถ้าหูได้ฟังเสียงก็รู้ว่าเสียงแล้วก็ผ่านไปดับไป
แต่จิตก็อยู่เป็นปกติไม่ไปยึดอะไรสักอย่างมาไว้เลย
ก็เรียกว่าจิตว่าง ก็เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ถึงแก่นได้
ก็เรียกว่าเป็นกลางหรือใจกลางได้
ก็เรียกว่าเป็นผู้ถึงพระไตรสรณาคมได้
เชื่อกรรม เชื่อผล
จิตของตนเองแล้ว มันก็ไม่ติดข้องอยู่กับอะไรสักอย่างเลย
ไม่ว่าอะไรทั้งหมดก็ให้รู้เท่าเอาทันกันไว้อยู่เสมอ จะเผลอสติไม่ได้เลย

เพราะเรายังไม่ทันชำนิชำนาญพอ
เราก็ต้องเอาสตินี้แหละเป็นเครื่องอบรมจิตของเราให้อยู่ในปัจจุบันนี้
เพื่อไม่ให้เผลอสติไปได้เลย ต้องกำหนดให้รู้อยู่ทุกระยะ
ในการเคลื่อนไหวไปมา ก็ต้องให้มีสติควบคุมจิตของเราไว้
เพื่อไม่ให้มันออกไปรับเอาสิ่งภายนอกเข้ามาไว้
ก็มีแต่ตั้งใจทำความดีแล้วอยู่เสมอ ไม่ให้เผลอสติไปได้เลย
ก็เพราะเรายังไม่มีความรู้ยังไม่รอบคอบก็เลยรู้ไม่เท่าเอาไม่ทันกับกิเลสตัณหา
ก็จิตยังไม่มั่นคงเหนียวแน่น
เราก็ยังเคลื่อนไหวเอนเอียงไปตามอารมณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาให้รู้อยู่เรื่อยไป
เผลอสตินิดเดียวก็ไม่ได้เลย ก็เพราะเรายังไม่ชำนิชำนาญ

เราจะเข้าใจไปทีละขั้นละตอนได้
ก็เพราะเราตั้งใจเชื่อมั่นอย่างแท้จริงอยู่แล้ว
จึงได้มีศรัทธาตั้งใจทำทาน รักษาศีล ภาวนาได้
ก็เพราะเราได้สังเกตดูเหตุและผลของเราแล้ว เป็นความจริงหมดทุกอย่าง
ถ้าเราทำบุญไว้น้อยก็ได้รับผลน้อย ถ้าเราทำบุญไว้มากก็ได้รับผลมาก
เราทำมาหากินก็คล่องไปหมดทุกอย่าง

เพราะเราเป็นผู้มีความเชื่อมั่นไปตามสัมมาทิฏฐิ
ก็เป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบมาก่อน แล้ว
จึงได้ตั้งใจละเว้นออกจากกามได้
ก็คือกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ออกมาได้ก็เพราะเรามีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้นเอง
ก็เพราะเราเป็นผู้ตั้งใจมั่นอยู่ในความสงบ
เอาพุทโธอบรมจิตของตนเองให้มันอยู่กับอารมณ์อันเดียวไปก่อน
ไม่แส่ส่ายออกไปทางอดีตและอนาคต
ให้รู้อยู่ในอารมณ์ปัจจุบันให้มั่นคงดีแล้ว
จิตก็จะสงบลงไปถึงขณิกะหรืออุปจาระหรืออัปปนาก็แล้วแต่
อันนี้เป็นพลังของจิตหนุนปัญญาเพื่อให้เฉลียวฉลาดแหลมคมแก่กล้าเด็ดเดี่ยวขึ้นมาได้
ก็เพราะพลังของจิตหนุนปัญญาให้คิดชอบ ให้พูดชอบ ทำชอบ
เลี้ยงชีวิตของตนไปในทางที่ชอบ
ไปตามความเพียรละชั่วทำแต่ทางดีขึ้นไปให้มากขึ้นไปให้ได้เรื่อย
เพื่อให้มีสติระลึกนึกไปแต่ทางดีอยู่เรื่อยไป
ให้เราตั้งใจมั่นอยู่ในการค้นคิดหาเหตุหาผลของตนเองไป
เพื่อให้มันถูกต้องต่อหลักของปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้น
เพื่อให้มันรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาเฉพาะตัวของเราเองไปก่อน
และเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่ในปัจจุบัน
เพื่อไม่ให้ส่งจิตของตนเองออกไปภายนอก
มันจะไปเก็บเอาอารมณ์ภายนอกอยู่เรื่อยไป
ให้เราตั้งสติกำหนดจิตของตนเองเข้ามาอยู่แต่ภายในของตนเองนี้
เพื่อให้มันรู้เรื่องเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร
เราก็จะได้รู้เห็นไปด้วยตนเองหมดทุกอย่าง
จึงจะสิ้นความสงสัยไปทีละขั้นละตอน
ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งหมดทุกอย่าง
เราก็ต้องใช้ปัญญาของเราให้มันแยกแจกออกด
ูให้มันเห็นแจ้งเห็นชัดขึ้นมาในจิตของตนหมดทุกอย่าง
มันจึงจะเกิดความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดยินดีอยู่กับสิ่งเหล่านี้

เราเป็นผู้ตั้งใจดำริชอบออกจากกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
อันนี้ให้มันพ้นไปเสีย
ก็เพราะว่าเราเป็นผู้มีปัญญาเห็นชอบมาก่อนแล้วนั้น
ก็เพราะว่ากามตัณหานี้
เหมือนกับเชือกผูกคอ ปอผูกศอก ปลอกมัดขา
ภวตัณหา มีแต่เป็นห่วงหน้าห่วงหลังอยู่อย่างนั้น
วิภวตัณหามีแต่ความดิ้นรนกระวนกระวายแส่ส่ายไปมาอยู่อย่างนั้นแหละ
เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้นก็เห็นแต่เรื่องของทุกข์ทั้งหมด
ถึงหามาได้ก็มีความทุกข์ขึ้นมา
ถ้าตกหล่นเสียหายไปก็เกิดทุกข์ขึ้นมาอีก
ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้เลยหมดทุกอย่างเรื่องของโลกอันนี้ก็มีแต่เรื่อง 
มีแต่เป็นหน้าที่ของกามหมดทุกอย่าง
ถ้าเรารู้เห็นอย่างนี้แล้วก็จงตั้งใจมาทำความดีไว้
เพื่อให้มันถูกต้องต่อหลักของศีล ซื่อตรงต่อพระธรรมดีแล้ว 
ธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว
ก็ให้พร้อมทั้งกาย วาจา ใจของเราทุกอย่างอยู่เสมอ
เพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องของตนเองก่อน
ให้เราเอาพุทโธเข้ามาอบรมจิตไว้ให้มันเสมอไปอยู่ในอารมณ์อันเดียว
แล้วจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิก็แล้วแต่
อันนี้เป็นพลังของจิตให้อิ่มเอิบเบิกบานมีปีติอย่างเต็มที่
เป็นเครื่องหนุนปัญญาให้แก่กล้าอาจหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาได้
ก็เพราะเรามีปัญญาเห็นชอบจึงเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดได้
จึงได้ค้นหาเหตุหาผลของตนเองเพื่อให้มันรู้แจ้งเห็นจริง
ไปด้วยจิตของตนเองไปหมดทุกอย่าง

แล้วก็ให้เราใช้ปัญญาของเราออกสำรวจตรวจตราดู
ให้เข้ามาหาตัวตนของเรานี้เองว่า
นะ ธาตุน้ำมีอยู่สิบสองนั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง
ก็ให้รู้ถึงจิตก็เพราะจิตเป็นผู้รับรู้หมดทุกอย่างแล้ว 
ทั้งเห็น โม ธาตุดินมียี่สิบถ้วน
ให้รู้ถึงจิตให้จิตรู้เห็นตามความเป็นจริงทุกอย่าง
ไฟ มีสี่ ลม มีหก
ให้เราแยกแจกออกดูให้มันเห็นตามความเป็นจริงหมดทุกอย่าง
และให้เราใช้ปัญญาของเราแยกแจกออกดู
ไปตามดิน น้ำ ไฟ ลมไปเป็นอย่างๆ ไปก่อน
เพื่อจะให้มันรู้อยู่ในลักษณะของกาย 
ในการเคลื่อนไหวของจิตหมดทุกอย่างแล้ว
จิตของเราจะได้รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาให้ชัดเจนแก่จิตของตนหมดทุกอย่าง
นับแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
ตับ ปอด ม้าม หัวใจ ใส้น้อย ใส้ใหญ่ อาหารเก่า อาหารใหม่
พังผืด กระโหลกศีรษะ เยื่ออยู่ในสมองศีรษะ ดูไปให้จบยี่สิบอย่าง
อันนี้เป็นส่วนของพ่อให้มาเป็นตัวตน
น้ำมีสิบสองก็เป็นส่วนของแม่ทั้งหมดให้เรามาเป็นตัวตนให้เราดูไปจนจบสิบสองแล้ว
ล้วนแล้วแต่เป็นของพ่อแม่ทั้งหมดทุกอย่าง
ของเราแม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นบุญคุณของพ่อแม่นี้
ก็หนักถึงธรณีจะหาอันใดมาเทียบมิได้เลย

ถ้าเราบรรจบธาตุรวมกันเป็นก้อนธาตุทั้งสี่แล้ว
ก็เป็นหน้าที่ของอนิจจังอยู่แล้วทั้งหมด
ก็มีแต่เสื่อมชำรุดลงไปอยู่ทุกเวลานาทีอยู่ทุกระยะลมหายใจอยู่แล้ว
แต่จิตของเรานั้นก็ยังมีอวิชชาตัณหาหุ้มห่ออยู่
ก็เลยหลงไปยึดไปถือเอารูปหรือก้อนอนิจจังนี้ไว้
มันก็เลยเกิดทุกขเวทนาขึ้นมาทันทีเลย
ถ้าเวลาไหนธาตุทั้งสี่นี้มันอยู่เป็นปกติไม่เกิดแปรปรวนขึ้นมา
อยู่เป็นปกติดีอยู่ก็เกิดสุขเวทนาขึ้นมา
แล้วก็มีแต่ความหัวเราะเพลิดเพลินกันไปเท่านั้น
ถ้าเกิดอุเบกขาเวทนาขึ้นอยู่เฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้ว่าอยู่เฉยๆ
ให้เราใช้ปัญญาของเราพินิจพิจารณาให้มันดูแล้วดูอีกอยู่อย่างนั้นแหละ
มันก็มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละ
ไม่ว่าภายในร่างกายหรือของภายนอกต่างๆ ก็เป็นของเปลี่ยนแปลงไปได้
มีแต่ของชำรุดทรุดโทรมลงไปอยู่ทุกระยะภายในตัวเองทั้งหมดอยู่แล้ว
แต่จิตของเราไม่รู้ ผู้ยึดไว้ถือไว้ไม่รู้
ก็เพราะว่าเรายังไม่รู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงของธรรมชาติ
ทั้งภายในภายนอกแล้วจึงหลงเข้าไปยึดไปถือเอาไว้ว่าตัวตนเราเขา
ทั้งภายในภายนอกก็เลยไม่รู้ปล่อยรู้วางไปได้เลย
เพราะมันเป็นของประจำโลกอยู่แล้วทั้งภายในภายนอก
เมื่อไรเราจะรู้ปล่อยรู้วางไว้ให้โลกเขาไว้ตามเดิมของเขา
ถ้ามีตามันก็ไปติดไปข้องอยู่กับรูปกับสี
ถ้ามีหูก็ไปข้องอยู่กับเสียง มีจมูกก็ไปติดไปข้องอยู่กับกลิ่น
มีลิ้นก็ไปติดไปข้องอยู่กับรส มีกายก็ไปติดไปข้องอยู่กับเย็นร้อนอ่อนแข็ง
มีจิตก็ไปติดไปข้องอยู่กับอารมณ์ดีและอารมณ์ไม่ดีทั้งอดีตและอนาคต
อันนี้เป็นหน้าที่ของสัญญาเป็นเจ้าบัญชีใหญ่จดจำไปหมดทุกอย่าง
สังขารก็เอามาปรุงแต่งกว้างขวางออกไปก็ไม่จบไม่สิ้นลงไปได้เลย
วิญญาณก็รู้ไปตามเรื่องเหล่านั้นอย่างไม่หยุดยั้ง
อันนี้แหละเรียกว่าวัฏฏจักรหมุนอยู่ในกองธาตุ กองขันธ์ กองอายตนะ
อยู่ในโลกสมมุติอันนี้แหละ
จึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกสมมุติอันนี้แหละอย่างเอาตัวรอดออกไปไม่ได้เลย
จึงได้วนเวียนมาเอาของเก่ามาโลภ มาโกรธ มาหลงกันอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น
เรียกว่าเดินไปตามทางมิจฉาทิฎฐิเห็นผิดเป็นถูกกันไปเลยไม่ว่าตนเองและคนอื่น

สังขารมันไม่หยุดปรุงหยุดแต่งลงสู่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ก็เพราะมันยังเพลิดเพลินเจริญใจอยู่กับของไม่เที่ยงอยู่เรื่อยไป
ก็เพราะมันหลงเห็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นของเหม็นว่าเป็นของหอม
มันก็มาติดมาข้องมายึดมาถือไว้อยู่อย่างนี้แหละ
การปฏิบัติธรรมจึงไม่ถึงธรรมคือของจริงได้เลย
ถ้ามีตามันก็ไปติดข้องอยู่กับรูปกับสี
มันก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละมันจึงไม่ถึงพระธรรมของจริง
เพราะฉะนั้นจึงไปถึงแต่ของปลอมของหลอกลวง
แล้วก็เลยหลงหมุนอยู่ในหน้าที่ของกามอยู่เรื่อยไปจนถึงวันตาย
ถ้าตายแล้วก็มาเกิดอีกก็มาหลงเอาแต่ของเก่านี้อีก
ก็มาโลภ มาโกรธหลงอีกอยู่อย่างนี้
และก็มายึดมาถือกันอีกอย่างไม่จบไม่สิ้นได้เลย

เรื่องของวัฏฏจักรมันก็หมุนกันอยู่ในโลกสมมุติอันนี้แหละอย่างไม่จบไม่สิ้นไปได้เลย
เรื่องของมิจฉาทิฏฐิเห็นผิดเป็นชอบอยู่อย่างนี้แหละ
ก็มีแต่เรื่องยึดเรื่องถือกันเอาไว้ทั้งนั้นเลย
ก็เพราะความไม่รู้ถึงเหตุและผลของบุญและบาปจึงได้หลงมัวเมาอยู่อย่างนั้น
ถ้าจิตของเราไปทางสัมมาทิฏฐิมีปัญญาเห็นชอบแล้ว
จิตสังขารมันก็หยุดปรุงหยุดแต่งได้
เพราะมันเห็นเป็นหน้าที่ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งหมดแล้ว
จิตของเราก็มีความว่างเปล่าไปหมด
มันก็หยุดปรุงหยุดแต่งลงไปสู่ของทั้งหมด
แล้วมันก็เห็นเป็นธรรมชาติเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนี้แหละ

ถ้าเราได้มาเกิดอีก ก็มาเอาของเก่าอันนี้อีก
ก็เพราะฉะนั้นจึงให้เราหัดปล่อยหัดวางออกไปไว้แต่เดี๋ยวนี้ไป
ให้เราใช้ปัญญาสังเกตกิเลสตัณหาของตนเองอยู่บ่อยๆ ไป
เพื่อให้มันชำนิชำนาญไว้ก่อนแก่ก่อนเจ็บก่อนตายนี้แหละ
เพื่อไม่ให้มันหลงไปตามเรื่องของโลกอีกต่อไป
มันจะพาให้เรานี้หลงวนเวียนอยู่ในโลกสมมุติอันนี้อีกต่อไปอย่างไม่จบสิ้นไปได้เลย
ก็เพราะฉะนั้นจึงให้เรานี้ใช้ปัญญาของเรามีอยู่เป็นพื้นฐานมาแต่เก่าก่อนนั้น
คือสัมมาทิฏฐิมีปัญญาเห็นชอบแล้ว
จึงเป็นสัมมาสังกัปปะจึงดำริออกจากกามมาได้
ให้มีสติให้ปัญญาสอนจิตของตัวเองอยู่บ่อยๆ
เพื่อไม่ให้มันเพลินไปตามอารมณ์ต่างๆ
มีทั้งชอบไม่ชอบหลายสิ่งหลายอย่างหลายประการต่างๆ นานากัน
ถ้าเราได้ใช้ปัญญาของเราได้สำรวจตรวจตราดูแล้วพร้อมทั้งเหตุและผล
ทั้งของตนเองและคนอื่นอย่างรอบคอบดีแล้ว
ก็เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด
ไม่มีอะไรจะมั่นคงจะดำรงอยู่ได้สักอย่างเดียวเลย

ถ้าเราได้พินิจพิจารณาไปพอสมควรแล้วก็หยุดพักผ่อนเอาพุทโธอบรมจิต
เพื่อให้จิตได้รวมลงอยู่กับพุทโธคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว
ถ้าจิตของเราก็จะได้สงบลงไปเป็นสมาธิ
ขั้นไหนก็แล้วแต่จะเป็นขณิกะ หรืออุปจาระ หรืออัปปนาก็แล้วแต่
อันนี้มันเป็นเพราะพลังของจิต หรือเป็นอาหารของจิต
คือความสงบของจิตเป็นสมาธิแล้วจะมีความอิ่มเอิบเบิกบานขึ้น
มีกำลังกายกำลังใจก็มีความสามารถอาจหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมา
เป็นเครื่องหนุนปัญญาให้มีความเฉลียวฉลาดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
ถ้าเราใช้ปัญญาให้สำรวจดูแล้วได้รู้แท้เห็นจริงหมดทุกอย่าง
แล้วปัญญามันจะตัดสินลงสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด
คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งหมด
ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเขาก็จบเรื่องทุกอย่าง
ก็เพียงแต่อาศัยกันไปเป็นวันๆ เท่านั้น

เราตายแล้วก็เป็นเรื่องของคนอื่นอีกต่อไป
ไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียวเลย
เดี๋ยวก็จากกันไปไม่จากตายก็จากเป็นกันเท่านั้น
ไม่แน่นอนไม่ว่าภายในกายหรือนอกกายเหมือนกันหมดทุกอย่าง
มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งนั้น
เราได้ใช้ปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงของธรรมชาติธรรมดาแล้ว
จิตสังขารก็หยุดปรุงหยุดแต่ง
ไม่มีสิ่งใดจะมั่นคงถาวรอยู่ในโลกอันนี้สักอย่างเดียวเลย
มีแต่เสื่อมชำรุดลงไปสู่สภาพเดิมของเขาตามธรรมชาติ 
เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับเป็นอยู่อย่างนี้
และไม่มีอะไรจะมั่นคงอยู่กับที่ไปได้เลย
ก็มีแต่จะทรุดลงไปทุกระยะ

ไม่ว่าภายนอกภายในให้เราใช้ปัญญา ให้พินิจพิจารณาให้มากขึ้น
ถ้าไปเห็นคนแก่ก็ให้น้อมเข้ามาหาเราว่าเราก็เหมือนกันอย่างนี้หนอ
หนีไปไหนก็ไม่พ้นเป็นอย่างนี้ไปได้
เยียวยาแล้วก็แก่จริงอย่างนี้หนอ เราจะหนีให้พ้นไปไม่ได้
ถ้าเราไปเห็นคนเจ็บก็ให้พิจารณาว่าไม่วันใดก็วันหนึ่ง
เราก็ต้องเจ็บอย่างเดียวกันนี้และหนีไปไหนไม่พ้นเป็นอย่างนี้ๆ ไม่ได้เลย
ถ้าเราไปเห็นคนตายก็ให้น้อมเข้ามาหาเรา
ว่าเราก็จะตายเหมือนกันเช่นนี้ เราจะหนีไปไม่พ้นไปได้เลย
ในวันหนึ่งเราต้องตายอย่างนี้แน่
เราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตายกันทั้งนั้น
ไม่ว่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
ถ้าเราได้พิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว
ก็เกิดความสังเวชสลดใจของตนเองขึ้นมาในใจของตนเอง
ถ้าผู้พินิจพิจารณาอยู่บ่อยๆ แล้วจะมีความแยบคายเบื่อหน่ายขึ้นมา
อยากจะออกจากห่วงของกามนี้ไปเสียให้พ้นได้อย่างแท้จริง
ตามสติปัญญาเห็นชอบมาก่อนนั้น และพิจารณาอยู่บ่อยๆ 
ถ้าไปเห็นสัตว์ตาย ต่างก็ใช้ปัญญาของตนเองว่า
ตนกับสัตว์ก็จะต้องตายเหมือนกัน และก็ลงไปเป็นดินตามเดิม
ถ้าตายลงไปแล้วก็ไปเป็นดินตามเดิม
ธรรมดาเกิดมาแล้วก็ดับไป
ถ้าเราเกิดมาแล้วก็กลับลงไปเป็นดิน
ก็ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้
มีแต่เสื่อมลงไปสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด
จึงได้เรียกว่า สัพเพสังขารา อนิจจา สัพเพธัมมา อนัตตาติ
ก็ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวเป็นของเราเลย
ก็เหลือแต่จิตดวงเดียวเท่านั้น
จะไปสู่ทุคติหรือสุคติเท่านั้น
เป็นที่ไปสำเร็จได้ด้วยบุญกรรมนำไปตกแต่งให้ไปได้

ถ้าเราได้พินิจพิจารณาแล้วอย่างรอบคอบถี่ถ้วนดีแล้ว
อย่างแจ้งชัดไปด้วยปัญญาเห็นชอบมาแล้ว
เราก็ตั้งใจมั่นอยู่ในหลักปัจจุบันเพื่อไม่ให้เผลอสติ
ให้เรามีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา
เพื่อไม่ให้มันเคลื่อนไหวเอนเอียงไปตามอารมณ์
อารมณ์ต่างๆ ก็ไม่ปรุงไม่แต่งอะไร
ทั้งนี้ก็เพราะปัญญาได้ค้นคิดหาเหตุหาผลดีแล้วอย่างรอบคอบถี่ถ้วนถาวร
มันก็ไม่ปรุงแต่งอะไรขึ้นมาอีก
มันก็รวมลงสู่พระไตรลักษณ์ทั้งหมด
ตัวเราก็จะเป็นไปเพื่ออยู่เท่านั้น
ไม่มีอะไรจะเอาไปได้สักอย่างเดียว
ก็ยินยอมพร้อมใจ
โลกนี้ทุกอย่างทั้งร่างกายข้าวของเงินทองทุกอย่าง
ก็มอบไว้กับโลกนี้หมดทุกอย่าง
ของภายนอกนับแต่ข้าวของเงินทองทุกอย่างก็มอบไว้กับโลกอันนี้ไว้แล้ว
เหลือแต่จิตกับผู้รู้อยู่เป็นกลางไม่เอนเอียงแส่ส่ายไปมา
รู้อยู่ก็รู้อยู่กับหลักปัจจุบัน ไม่ใช่เก็บเอามาปรุงแต่ง
รู้แล้วก็ปล่อยไปวางไป มันก็ดับไปเองเท่านั้น
มันเบื่อหน่ายคายออกหมดแล้วกับของไม่เที่ยงอันนี้

ถ้าเราใช้ปัญญาของเราให้สำรวจตรวจตราดูแล้ว
ได้รู้เห็นตามปัญญาเห็นชอบมาแล้ว
เป็นพื้นฐานของจิตที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาแล้ว
จึงก้าวขึ้นไปเป็นสัมมาสังกัปปะจึงตั้งใจดำริออกจากหน้าที่ของกามไปเสียให้พ้น
ก็เพราะมีปัญญารู้แจ้งเห็นจริงมาก่อนแล้ว
ก็เห็นแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด
เพราะมันมีแต่เรื่องจะทุกข์อยู่เท่าถึงวันตาย 

หลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในโลกอันนี้ ไม่ว่าภายนอกภายใน
มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด
เรื่องนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป ก็เรื่องอื่นก็เกิดมาอีกอยู่อย่างนี้
และเรื่องของโลกไม่มีอะไรจะแน่นอนสักอย่าง
แล้วมันก็มั่นใจอยากออกจากหน้าที่ของกามไปตามที่ปัญญาเห็นชอบนั้น
เพื่อให้มันถูกต้องตามหลักของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
แล้วมันก็มีสติสัมปชัญญญะรู้เท่าทันกันกับเครื่องสัมผัสทั้งหลาย
มันก็ผ่านเราไปได้มันไม่มาข้องอยู่กับจิตของเรา
ก็เรียกว่าผู้รู้แท้เห็นจริงในสัจจธรรมทั้งหลายอย่างรอบคอบดีแล้ว
ก็เรียกว่าผู้ปฏิบัติซื่อตรงต่อพระธรรมอย่างแท้จริง
แล้วก็เห็นทางพ้นทุกข์ไปได้อย่างแท้จริง
ก็เพราะเราเป็นผู้มีความตั้งใจได้มั่นไปในทางที่ชอบอยู่แล้ว
คิดก็คิดไปในทางชอบ คิดมีเหตุมีผล
ก็คิดเป็นบุญกุศลของตนและคนอื่น ไปอยู่ในที่ชอบไป
เพื่อให้มีเมตตากรุณาต่อกันและกันไป
พอได้เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย

------------------------------------------------
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 1 พฤษภาคม 2543 19:40:02

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 1 พฤษภาคม 2543 19:50:37
ธรรมของคุณแม่น้อยอ่านยากสักหน่อยนะครับ
เพราะท่านเองไม่เคยศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมใดๆ เลย
ในการปฏิบัติ ก็ปฏิบัติเอาอย่างซื่อตรง และอดทนอย่างเยี่ยมยอด
ความรู้ที่เกิดขึ้นนั้น จึงสะอาดหมดจดปลอดจากความคิดปรุงแต่งและความจำ
นับเป็นยอดหญิงนักปฏิบัติรุ่นครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่งครับ
นอกจากนี้ ท่านยังไม่เคยเรียนหนังสือ
แต่ที่เขียนหนังสือขึ้นมาได้ขนาดนี้
ก็เพราะท่านภาวนาเอา จนเขียนหนังสือได้

จิตที่ฝึกดีแล้วนั้น ทำอะไรได้แปลกๆ
แต่ที่แปลกและอัศจรรย์ที่สุดก็คือ พ้นทุกข์ได้
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 1 พฤษภาคม 2543 19:50:37

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 07:18:33
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ dolphin วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 07:44:05
สาธุ ^)^
ขอบพระคุณค่ะ
โดยคุณ dolphin วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 07:44:05

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ หนุ่ย วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 08:39:57
สาธุค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ _/|\_
โดยคุณ หนุ่ย วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 08:39:57

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ นิพ วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 09:01:37
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ นิดนึง วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 09:15:07
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ไพ วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 09:24:44
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ chim วัน อังคาร ที่ 2 พฤษภาคม 2543 21:45:44
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 3 พฤษภาคม 2543 07:31:24
ขอบพระคุณครับ
_/\_
โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 3 พฤษภาคม 2543 07:31:24

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน พุธ ที่ 3 พฤษภาคม 2543 07:34:12
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 3 พฤษภาคม 2543 08:53:26
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ กระต่าย วัน พุธ ที่ 3 พฤษภาคม 2543 09:12:57
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ จ้อม วัน พุธ ที่ 3 พฤษภาคม 2543 16:41:08
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ Lee วัน พุธ ที่ 3 พฤษภาคม 2543 23:01:50
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ Lostboy วัน ศุกร์ ที่ 5 พฤษภาคม 2543 00:14:08
สาธุครับ เป็นธรรมที่ถึงใจจริงๆ
ทั้งยังทำให้เห็นภาพรวมของการปฏิบัติ
ขอบคุณพี่ปราโมทย์มากครับ ที่นำธรรมะดีๆ มาฝากพวกเราเช่นเคย
โดยคุณ Lostboy วัน ศุกร์ ที่ 5 พฤษภาคม 2543 00:14:08

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 8 พฤษภาคม 2543 08:10:51
เพิ่งกลับมาจากการไปเยี่ยมท่านครับ
ออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ ไปนอนอุดรคืนหนึ่ง
พอเช้าวันเสาร์รีบเข้าไปกราบหลวงตาที่บ้านตาด
จากนั้นจึงไปกราบคุณแม่น้อยที่หินหมากเป้ง
ปรากฏว่าท่านเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลเมื่อวันศุกร์นี้เอง
หลังจากไปอยู่โรงพยาบาลท่าบ่อมีร่วม 4 เดือนเพราะลำไส้อุดตันต้องผ่าตัด

ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนที่อาการกำเริบมากนั้น
จิตท่านตัดความรับรู้ในสิ่งอื่นทั้งหมด มีสติสัมปชัญญะอยู่กับลมหายใจเท่านั้น
รอดูว่า ลมหายใจเข้าแล้วจะออกได้ไหม ไม่ออกก็ตายไป
หายใจออกแล้วจะหายใจเข้าไหม ไม่เข้าก็ตาย
จิตท่านเข้าถึงความเป็นกลาง คือใจ หมดความแส่ส่ายใดๆ ทั้งปวง
ไม่เกาะเกี่ยวกับอารมณ์ใดๆ อันจะก่อให้เกิดภพชาติต่อไปอีก
ท่านกล่าวยิ้มๆ ว่า แม่ตายไปก็พอได้เหมือนกัน แล้วปราโมทย์ว่ายังไงล่ะ

ก็เลยกราบเรียนท่านว่า แม่ไปก่อนเถอะครับ แล้วผมจะตามไปทีหลัง

ช่วงนี้ท่านยังไม่หายจากอาพาธ
คือฉันอาหารไม่ได้ จะอาเจียนและถ่ายออกหมด
ฉันได้แต่ข้าวคลุกกับเมล็ดงานิดหน่อยเท่านั้น
แต่ธรรมะที่ท่านแสดงยังเด็ดขาดหมดจดผ่องใสเหมือนเดิม
ผมขอให้ท่านช่วยสอนเด็กที่ตามผมไปด้วย
ท่านหันขวับมาแล้วสอนทันทีว่า
ชอบฟุ้งซ่าน ใช้การคิดๆ เอา ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ไม่ได้
ท่านบอกให้ผมหาแส้ไว้สักอันหนึ่ง เอาไว้เฆี่ยนเวลาจิตเด็กคนนี้หนีเที่ยว
เล่นเอาผมกับภรรยาต้องนั่งหัวเราะ
ที่ท่านเฉาะเอาตรงศีรษะเด็กที่พาไปด้วยแบบไม่คลาดเคลื่อนเลย
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 8 พฤษภาคม 2543 08:10:51

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ นิดนึง วัน จันทร์ ที่ 8 พฤษภาคม 2543 09:07:42
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ แมน วัน จันทร์ ที่ 8 พฤษภาคม 2543 10:41:56
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 9 พฤษภาคม 2543 16:10:50
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ tuli วัน อังคาร ที่ 9 พฤษภาคม 2543 20:05:26
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ Acura วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 09:37:17
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ นุดี วัน เสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2543 13:54:34
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤษภาคม 2543 17:59:32
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com