อวิชชาในความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์
อวิชชา ความไม่รู้จริง, ความหลงอันเป็นเหตุไม่รู้จริง มี ๔ คือความไม่รู้อริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดแห่งทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ทางให้ถึงความดับทุกข์), อวิชชา ๘ คือ อวิชชา ๔ นั้น และเพิ่ม ๕. ไม่รู้อดีต ๖. ไม่รู้อนาคต ๗. ไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคต ๘. ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท
อวิชชาในทางปฏิบัติ
โดยสรุปความหมายที่เราได้ยินได้ฟังคุ้นหูกันดี ก็คือความไม่รู้นั้นเอง แต่ในทางปฏิบัติอวิชชาคือ อะไร รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า รูปร่างอย่างหยาบอวิชชา ก็คือโมหะ ความหลง มีลักษณะมึนๆ ซึมๆ ง่วงหงาวหาวนอน แต่อวิชชาที่ละเอียดกว่านั้นละ อวิชชาที่เป็นรากเง้าของกิเลสทั้งปวงหน้าตาเป็นอย่างไร?
ผมเองได้ยินได้ฟังจากพี่ปราโมทย์ มานานแล้ว ว่าในความว่างที่ว่าว่างนั้น จริงๆ ยังมีอวิชชาอยู่เป็นด่านสุดท้าย ต้องเห็นแจ้งในความมีอยู่ของอวิชชา และละวางเป็นอันดับสุดท้ายจึงจะเป็นความว่างที่แท้จริง
ได้อ่านธรรมของหลวงตามหาบัวในขั้นสุดท้ายที่ท่านกล่าวว่า โลกทั้งโลก ว่างเปล่า เหลือเพียงจุดเดียวที่ท่านไม่ได้มองคือที่ที่ท่านยืนอยู่ พอมองเห็น จุดนี้ก็เป็นอันว่าจบกัน
ได้ฟังเรื่องนี้แล้วก็งงเป็นกำลังว่า เจ้าหน้าตาของอวิชชามันเป็นอย่างไรหนอ? ของจริงมันเป็นอย่างไรหนอ? เก็บความสงสัยมาตลอด เพราะคิดว่า เราควรปฏิบัติให้กิเลสเบาบางกว่านี้ แล้วคงเห็นเอง
เมื่อไม่นานมานี้ ก็เลยเริ่มจับที่ตัวสังขาร หรือความคิด อันเป็นผลสืบ เนื่องมาจากอวิชชา เอาตัวความคิดมาพิจารณา ศึกษาปฏิบัติ และก็เขียนเป็น เรื่องราวให้ได้อ่านกัน เกี่ยวกับสังขารและเจตนา
วิชชาและอวิชชา
มาคราวนี้ขอขยับมากล่าวถึงตัวอวิชชาเลยทีเดียว ว่าจริงๆ แล้วอวิชชาไม่ได้ วิเศษวิโสอะไร อวิชชาก็คือกิเลสตัวหนึ่ง เหมือนความโลภและความโกรธ เพียงแต่ว่ามันเป็นกิเลสอย่างละเอียด ที่เราสามารถสังเกตเห็นมันได้จาก ปฏิกิริยาของมันก็คือความจงใจนั้นเอง เราใช้สังขารเป็นเครื่องชี้วัด (indicator) ความมีอยู่ของอวิชชาและก็เหมือนกิเลสตัวอื่นๆ ที่มันจะ ถูกละไปได้ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน หรือที่เราเรียกกันว่าการดูจิต
ความรู้ตัวทั่วพร้อมในสติปัฏฐาน นั่นแหละคือวิชชา และไม่มีช่องว่างใดๆ ที่อยู่ระหว่างวิชชาและอวิชชา คือมีเพียงสองอย่างนี้ เท่านั้น คือรู้กับไม่รู้ ไม่มีอะไรอยู่ระหว่างมัน แค่รู้ก็จบ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ดังนั้นปัญหาก็คือ สิ่งที่เราคิดว่ารู้ จริงๆ แล้วมันรู้จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงความคิดปรุงแต่ง เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรากำหนดจิตเจริญสติ รู้ จริงๆ อันนี้สังเกตุ ได้จากอาการที่เรียกว่าสักแต่ว่า อาการที่เรียกว่า เช่นนั้นเอง อาการที่จิตเห็นจิต แล้วสักแต่ว่าเห็น อาการที่ความคิดดับไป ความจงใจหายไป และเป็นความจงใจที่หายไปพร้อมๆ กับการที่จิตเห็นจิต
เมื่อเห็นความจริงของโลกสักครั้ง ก็ย่อมจะรู้ได้เองว่า อวิชชา หรือความไม่รู้โลกตามที่เป็นจริงนั้นเป็นเป็นอย่างไร โลกยังคงเป็นโลกเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลียนไปคือจิตที่มองโลก ในลักษณะที่เปลียนไป สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องหมายบงชี้ได้อย่างดีว่า เราเดินมาถูกทางแล้ว
จริงๆ แล้วมีหลายเรื่องที่มาร้องอ๋อ ทีหลังว่ามันเป็นอย่างนี้เอง เช่นเรื่องของจิต เราอยู่กับมันมานาน คุ้นเคยกับมันมานาน แต่ก็ไม่รู้ว่า ที่เขาเรียกว่า จิต เรียกว่า อวิชชาในตำรานั้น ของจริงมัน ปรากฏตัวให้ เห็นอยู่แล้วตลอดเวลา แต่เราไม่รู้ ไม่เคยมองเห็น เหมือนเส้นผมบังภูเขา เหมือนหญ้าปากคอก อย่างไรอย่างนั้น
สุดท้ายขอออกตัวสักนิดครับ ว่าที่เขียนนี้ไม่ใช่ว่าจะหมดสิ้นกิเลส แล้ว กิเลสยังมีอยู่เยอะครับ อาศัยที่ว่าบางครั้งเราปฏิบัติได้ดีๆ ก็เก็บความทรงจำ มาใคร่ครวญ เปรียบเทียบดูว่า สิ่งที่เขียนไว้ ในปริยัติธรรมนั้น ในทางปฏิบัติมันเป็นอย่างไรกันแน่ครับ
|
|