กลับสู่หน้าหลัก

รู้ อย่างเดียว จะเกิดปัญญาได้อย่างไร

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 10:26:53

เพื่อนบางท่านสงสัยว่า ที่ผมแนะนำให้ รู้ รู้ รู้ เพียงเท่านี้ 
จะทำให้เกิดปัญญาพ้นทุกข์ได้อย่างไร 
และสงสัยว่า ถ้าไม่ รู้ รู้ รู้ จะไม่เกิดปัญญาพ้นทุกข์ทีเดียวหรือ 

บางท่านแม้จะสงสัย ก็ยังพากเพียรปฏิบัติ พยายามหัด รู้
แม้จะผิดแล้วผิดอีก ท้อแล้วท้ออีก ก็ไม่เลิกละความพยายาม 
จนเดี๋ยวนี้ก็เข้าร่องเข้ารอยอยู่หลายท่าน 
คือเข้าใจแล้วว่า รู้ เป็นอย่างไร 
และ รู้ มีประโยชน์อย่างไร 
เพื่อนกลุ่มนี้ มีรากฐานมั่นคงในการปฏิบัติ 
เห็นประโยชน์ของธรรมตั้งแต่ปัจจุบัน 
และเกิดความเข้าใจในธรรมแตกฉานลึกซึ้งกว้างขวางออกไปเป็นลำดับ 
ธรรมที่เคยคิดว่าเข้าใจแล้ว ก็กลับเข้าใจใหม่ในอีกแง่มุมหนึ่ง 
ซึ่งน่าดื่มด่ำในรสธรรม อันประจักษ์แก่จิตใจตนเองยิ่งนัก

บางท่านมาฟังๆ ดูแล้ว เห็นว่า รู้ เป็นสิ่งเหลือวิสัย หรือไม่น่าเชื่อถือ 
จึงถอนตัวไปแสวงหาทางที่ดีกว่านี้อีก ก็มีเหมือนกัน 

กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่ยังสงสัย แต่มีศรัทธา แล้วทำ 
กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่ไม่เชื่อ ไม่มีศรัทธา แล้วไม่ทำ 
สองกลุ่มนี้ไม่น่าอัศจรรย์อะไรนัก เพราะเป็นเหตุผลธรรมดาๆ นี่เอง
ยังมีที่น่าอัศจรรย์กว่านั้นอีก คือเป็นประเภทมีศรัทธา(ในตัวบุคคล)
แต่ยังมีข้อสงสัย จึงไม่ทำ จนกว่าจะหายสงสัยเสียก่อน
แล้วถูกความสงสัยปิดกั้นเอาไว้เป็นปีๆ 
จุดที่สงสัยก็คือ 
รู้ รู้ รู้ เพียงเท่านี้ จะทำให้เกิดปัญญาพ้นทุกข์ได้อย่างไร

เพื่อนที่เป็นนักสงสัยนี้ จะเพียรถามผมอยู่เสมอ ว่า รู้ เป็นอย่างไร 
ที่เขาทำอยู่นั้น เป็น รู้ ที่ถูกต้องหรือยัง 
พอจุดใดที่ดำเนินจิตถูกต้องและผมบอกว่าถูกแล้ว 
เพื่อนท่านนั้นก็จะหยุด รู้ 
แล้วใช้ความคิดและความจำ พยายามจะจดจำสภาพ รู้ ให้ได้ 
ซึ่งทำอย่างไรก็สังเกตไม่ได้ เพราะ รู้ ดับไปแล้ว 
เหลือแต่ คิดและจำ

ครั้นผมแนะนำให้เฝ้ารู้ความเกิดดับของอารมณ์ 
เพื่อว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง จะสามารถสังเกตได้ว่า 
อันใดเป็นจิตผู้รู้ อันใดเป็นอารมณ์ 
และจะรู้ว่า รู้ เป็นอย่างไร กับ หลง เป็นอย่างไร 
แต่เพื่อนประเภทหลังนี้จะไม่ยอมเฝ้ารู้ความเกิดดับของอารมณ์ 
เพราะยังคิดไม่ตกว่า รู้ เป็นอย่างไร 
พยายามจะคิดให้ตกเสียก่อน จะให้เข้าใจ รู้ เสียก่อน 
จึงจะเริ่มลงมือปฏิบัติ 
ทั้งที่ รู้ นั้น คิดเท่าไรก็ไม่รู้
เพราะมันเป็นธรรมชาติที่นอกเหนือประสบการณ์เดิมๆ นั่นเอง 

***************************************

วันนี้มีบทสนทนาทาง ICQ มาให้อ่านกัน เพื่อประกอบเรื่องนี้
ขออนุญาตเจ้าตัวด้วยนะครับ
ที่ยกบทสนทนานี้มา เพราะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากของนักแสวงหา
ที่แสวงหาอย่างไรก็ไม่เข้าใจ พอหยุดแสวงหา แล้วมา รู้ เอา จึงเข้าใจ

ประไพ
พี่รู้มั้ย ไพยังไม่เชื่อเลย 
ว่าการแค่ตามรู้ มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ จะทำให้เกิดปัญญาได้ 

แต่ก่อน พอไม่เชื่อก็เที่ยวค้นตามหาวิธีไปเรื่อยๆ 
แต่ตอนนี้มันรู้สึกว่า
เฮ้อ..หยุดซักที ปัญญาเกิดไม่เกิด ก็ช่างมัน
เอาให้มีสติสัมปชัญญะไปก่อน
อย่างอื่นว่ากันทีหลัง (เริ่มเหนื่อยกับการค้นหาแล้ว)

ปราโมทย์
ถ้าเมื่อใดเห็นว่าการแสวงหา เป็นการสร้างภาระให้จิต 
และการมีภาระของจิต เป็นทุกข์ 
ก็ควรหยุดแสวงหา ความรู้(ที่จริงคือความทุกข์) ใส่ตัวเสียที 
เพียงแค่ รู้ เริ่มต้นนิดหน่อย จิตยังสงบ สบาย นุ่มนวลเลย 
เพราะจิตแต่เดิมมันดีอยู่แล้ว 
แต่มันต้องทุกข์ต้องแบกภาระ ก็เพราะเที่ยวหางานมาใส่จิตเอง 
หัวใจของมันอยู่ตรงนี้แหละ คือทุกข์เพราะอยาก ไม่อยากก็ไม่ทุกข์

ประไพ
ไพมีโรคบ้าอยู่อย่าง (เพิ่งรู้ตัว) 
ชอบคิดว่าจิตพระอริยะเจ้าควรจะเป็นยังไง
แล้วก็คอยกำหนดให้จิตตัวเองเป็นเหมือนที่คิด 
แล้วทั้งหมดก็กลายเป็นหาเรื่องให้จิตทำทั้งนั้น 
ไม่อยู่กับความจริง ที่เป็นอยู่   ใช่มั้ยจ๊ะพี่

ปราโมทย์
เออแน่ะ เริ่มฉลาดแล้ว เรื่องอะไรอยู่ดีๆ ไปหาทุกข์ใส่ตัว

อริยสัจจ์ เป็นธรรมที่ครอบคลุมธรรมทั้งหมดทางพระพุทธศาสนา
การที่เรามีสติสัมปชัญญะ รู้จิตใจตนเองไปนั้น 
จะทำให้รู้ว่า อยากก็ทุกข์ ไม่อยาก รู้เฉยๆ ไม่ทุกข์ 
นี่คือทางที่จะเข้าใจอริยสัจจ์อย่างถึงจิตถึงใจ

ประไพ
:-) จริงนะพี่ อยากก็ทุกข์ ไม่อยากก็ไม่ทุกข์ 
ทำไมง่ายๆแค่เนียะ มัน(คือตัวไพ)มองข้ามไปข้ามมาอยู่นั่นแหละ
แต่บางที มันเห็นตัวอยาก แต่มันไม่ยอมละ น่ะสิพี่

ปราโมทย์
เห็นอยากแล้ว แต่ถ้ายังไม่เห็นทุกข์พอ 
จิตก็ยังไม่ยอมรับความจริง จึงยังพยายามดิ้นต่อไปน่ะ 
มันคิดว่าดิ้นไปแล้วจะดี ไม่รู้ว่ายิ่งดิ้นยิ่งยุ่ง 
แค่ปล่อยวางก็สบายแล้ว

ประไพ
อ๋อ..ไพรู้ละ เวลาที่เรารู้ตัวบ่อยๆ มีสติสัมปชัญญะมากขึ้นเรื่อยๆ
มันก็จะเป็นกำลัง ทำให้เราละพวกความอยากทั้งหลายได้

ใช่มั้ยล่ะพี่

ปราโมทย์
อันนั้นก็ส่วนหนึ่งล่ะ แต่ทำสำคัญคือ 
มันทำให้เราถอดแว่นตาดำของกิเลสออกจากใจเสียก่อน
เพื่อจะมองทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นได้ตรงตามความจริง 
ไม่ใช่มองในแง่มุมที่กิเลสพอใจจะให้เรามอง

อีกอย่างหนึ่ง จิตจะเริ่มรู้จักสภาพที่พ้นทุกข์ 
อันเนื่องจากการรู้ตัว ปราศจากตัณหา
เดิมเรารู้เฉพาะความสุขที่เกิดจากกิเลสตัณหาเท่านั้น 
ไม่เคยรู้จักสุขที่ประณีต พ้นจากความปรุงแต่ง


เมื่อไม่มีความรู้ตัว ไพจะไม่รู้จักจิตที่พ้นจากอารมณ์ 
ก็จะไม่รู้จักสภาพธรรมอีกชนิดหนึ่ง 
คือธรรมที่เหนือความปรุงแต่ง อันเป็นธรรมพ้นทุกข์ 
เราก็คุ้นกับอารมณ์เก่าๆ อยู่นั่นเอง 
ไม่สามารถหนีจากประสบการณ์เก่าแก่ ที่บงการด้วยกิเลสตัณหาได้ 
ต่อเมื่อ รู้
มันจะทำให้เราเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ที่พ้นจากความปรุงแต่ง


จิตที่ไม่รู้ตัว มันก็เหมือนปลาที่เคยอยู่แต่ในน้ำ 
เวลานึกถึงบก(นิพพาน) ก็คิดแต่ว่า 
บนบกมีคลื่นแยะไหม มีสาหร่ายแยะไหม มีตมแยะไหม
อันนี้เพราะเรารู้จักธรรมด้านเดียว คือธรรมด้านปรุงแต่ง 
แต่ถ้า รู้ ก็จะรู้จักอีกด้านหนึ่ง


ประไพ
โหพี่  นี่แหละๆ เผงเลย  มองในแง่มุมที่กิเลสอยากให้มอง 
ฮู้ย..ทำไมพี่ถอดแว่นตาดำออกให้ไพช้าจัง:-)  
(แต่ก็ยังดีที่ยังถอดได้ ใช่มั้ยล่ะพี่)
ใช่เลยๆ..คุ้นเคยกับอารมณ์เก่าๆ
โหพี่..คราวนี้อธิบายแล้วไพเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง 
ไม่สงสัยแล้วล่ะพี่ ว่าทำไมแค่รู้ตัวจะเกิดปัญญาได้:-)

อ๋อยพี่ อยากร้องไห้จัง ทำไมมันโง่มานานอย่างงี้ก็ไม่รู้

ปราโมทย์
ก่อนหน้านี้ไพไม่ยอมลืมตาตื่นขึ้นน่ะ
ไพรู้แต่ของเก่า พี่บอกของใหม่ยังไงก็ไม่เข้าใจ 
แต่ตอนนี้ จิตใจเบื่อหน่ายที่จะแสวงหา หันมาทำสติสัมปชัญญะ
จึงพอจะเริ่มรู้แล้วว่า 
จิตรู้ ที่ถูกปรุงแต่งน้อยๆ หรือไม่ถูกปรุงแต่งนั้น มันเป็นอย่างไร 
มันเป็นการเปิดโลกทัศน์อีกด้านหนึ่งของธรรม 
จำเป็นที่ไพจะต้องเปิดด้วยตนเอง 
ที่ผ่านมาไพไม่ยอมดู จะเอาแต่คิดน่ะ 
ยังไงก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พี่พูดหรอก


**************************************

เรื่องนี้คงไม่ต้องสรุปนะครับ
แต่ถ้าจะสรุป ก็คงสรุปได้แบบท่านเว่ยหล่าง หรือท่านฮวงโปว่า
ลืมตาตื่นขึ้น พุทธะ(จิต) ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 10:26:53

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ นิพ วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 13:14:49
สาธุ _/I\_ เป็นกระทู้ที่ชี้แนะแนวทางแก่ผู้ด้อยปฎิบัติอย่างผมจริงๆครับ
อ่านแล้วชื่นใจจริงๆครับ
โดยคุณ นิพ วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 13:14:49

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ หนึ่ง วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 13:45:21
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ พัลวัน วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 14:48:45
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 15:15:04
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ นิดนึง วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 15:58:39
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 16:25:44
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ โจโจ้ วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 16:44:38
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ Lee วัน ศุกร์ ที่ 12 พฤษภาคม 2543 22:24:35
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ ธีรชัย วัน เสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2543 07:38:54
ขอบพระคุณครับ _/\_
โดยคุณ ธีรชัย วัน เสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2543 07:38:54

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ dolphin วัน เสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2543 07:40:02
สาธุค่ะ ^_^
โดยคุณ dolphin วัน เสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2543 07:40:02

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2543 12:12:03
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ นุดี วัน เสาร์ ที่ 13 พฤษภาคม 2543 13:49:40
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ พริกหยวก วัน อาทิตย์ ที่ 14 พฤษภาคม 2543 20:39:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ กอบ วัน อาทิตย์ ที่ 14 พฤษภาคม 2543 21:09:01
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ หนุ่ย วัน จันทร์ ที่ 15 พฤษภาคม 2543 08:24:38
สาธุค่ะ ขอบพระคุณค่ะ _/|\_
โดยคุณ หนุ่ย วัน จันทร์ ที่ 15 พฤษภาคม 2543 08:24:38

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน อังคาร ที่ 16 พฤษภาคม 2543 09:27:59
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ aek123 วัน พุธ ที่ 17 พฤษภาคม 2543 16:01:09
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ จ้อม วัน พฤหัสบดี ที่ 18 พฤษภาคม 2543 12:18:31
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ ไมค์ วัน ศุกร์ ที่ 19 พฤษภาคม 2543 13:06:17
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ ต๊าน วัน อาทิตย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2543 12:49:33
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ naruntorn วัน อาทิตย์ ที่ 21 พฤษภาคม 2543 21:51:03
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ Acura วัน ศุกร์ ที่ 26 พฤษภาคม 2543 10:35:51
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com