กลับสู่หน้าหลัก

กิเลสอบรมจิตมานาน

โดยคุณ ไพ วัน อังคาร ที่ 23 พฤษภาคม 2543 15:30:59

  คัดลอกจากหนังสือ "จุดตาย" ของหลวงพ่อชา สุภัทโท
..............................................................................

สุขุม (ส.)  :  ผมอยากเรียนถามข้อในใจบางประการ
                   จึงขอโอกาสครับ
หลวงพ่อ   :  มนต์ซิ (นิมนต์ซิ)
ส.            :  ที่หลวงพ่อเคยเทศน์เรื่อง อาการของจิตที่
                  กิเลสมันอบรมไว้ ที่ท่านผู้รู้ดูอยู่ ผมเองอยาก
                  จะขอประทานโอกาส  ให้หลวงพ่ออธิบายให้
                  กระจ่างกว่านี้อีกสักหน่อย
หลวงพ่อ   :  อาการของจิตเหรอ
ส.            :  ที่กิเลสอบรม...ที่ท่านผู้รู้ดูอาการของจิตที่
                  กิเลสอบรมอยู่
หลวงพ่อ   :  ใช่
ส.            :  หมายความว่าจิตมันเคยชิน อย่างนั้นอยู่แล้ว
                   ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ   :  ใช่...ก็มันแถลบไถลไปอยู่ เช่นว่า..พูดง่ายๆ
                   อย่างพระสารีบุตร..กิเลสที่อบรมสมัยก่อนนั้น
                   ท่านเป็นลิง ท่านเคยเป็นลิงมา พระสารีบุตร
                   เมื่อทำความเพียรแล้วท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์
                   แต่ว่าลักษณะกิเลสที่มันอบรมนะ ยังมีอยู่ในใจ
                   ของท่าน อย่างท่านเป็นลิงบางทีท่านเห็นห้วย
                   เห็นต้นไม้อะไรต่างๆท่านจะข้ามไป บางทีก็นึก
                   ขึ้นในใจ กระโดดข้ามไปเหมือนลิงน่ะ นี่คือที่
                   มันอบรมไว้อยู่ในนั้น มันมีอยู่แต่ว่ามัน..มันไม่
                   จริงหรอกมันโดดไปเฉยๆ ทำอาการอากัปเหมือนลิง
                   มันนึกสนุกขึ้นมาก็เป็นอย่างนั้น แต่จิตจริงๆของท่าน
                   ไม่เป็นอย่างนั้น อันนี่เป็นอาการของจิตของท่าน
                   เพราะความชำนาญความเคยของกิเลสที่อบรมไว้
                   มันเป็น มันคล้ายๆกับคนๆหนึ่งบางคนชอบพูดเล่น
                   แต่ว่าใจไม่เล่นอย่างนั้นแต่ไอ้การมันพูด อยากจะพูด
                   เล่น พูดให้คนหัวเราะอะไร มันมีบางคนน่ะ แต่ตาม
                   เข้าไปความจริงน่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นอีก นี่เป็นอาการของจิต
                   เป็นอาการของกิเลสที่อบรมไว้ แต่ความจริงนะพระสารีบุตร
                   ท่านก็ถึงเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ไอ้ความคะนองทางจิต
                   ของเก่านะกรรมเก่าน่ะ...มันอยากจะวิ่งไป มันอยากจะโดด
                   อะไรเหมือนลิง มันก็เป็นขึ้นเป็นบางครั้ง แต่ว่าการเป็น
                   นั้นน่ะไม่มีอะไรอันนั้นเป็นอาการของจิตที่กิเลสทั้งหลาย
                   อบรมไว้ชำนาญในแต่ก่อนไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษ ไม่เห็นผิด
                   อะไรต่างๆไม่เป็นอะไรตรงนั้น อันนั้นที่ว่าอากัปกิริยาอัน
                   นั้นกิเลสได้อบรมไว้นาน...มันเป็น แต่จิตใจ..เจตนาก็ไม่เป็น
                   ไปตามนั้น ตามความจริงอันนี้ท่านเรียกว่า..วาสนา..นิสัยมัน
                   ฝึกมันได้ละมันได้ วาสนานั่นแหละมันละได้แต่พระพุทธเจ้า
                   องค์เดียวสาวกทั้งหลายมันละไม่ได้ นี่ก็เป็นอาการของจิตที่เล่น
                   ที่เคยเป็นสัตว์มา ที่เคยเป็นสุนัขมา ที่เคยเป็นอะไรมา มันยัง
                   แสดงขึ้นบางครั้งอยู่ อันนี้ว่าวาสนาที่อบรมมันยังละไม่ค่อยได้
                   แต่ไม่เป็นภัยอะไร คือมันยังมีอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ มันชำนาญ
                   มันเคย มันคล่องมาเป็นนิสัย อันนั้นยังมีอยู่
ส.         :    แต่ท่านมีความเห็นภายในเป็นอีกอย่าง
หลวงพ่อ :   หือ.....
ส.         :    แต่ความรู้สึกภายในของท่านเป็นอีกอย่างหนึ่ง
หลวงพ่อ :   ใช่! เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ส.         :    ครับ
หลวงพ่อ :   แต่มันไม่เป็นไปตามกระทำอย่างนั้น
ส.         :    ครับ
หลวงพ่อ :   มันเป็นสองชั้น มันคล้ายๆอย่างเราจะพูดกับเด็กอย่างนี้
                  เราเป็นผู้ใหญ่เราจะพูดกับเด็ก เราก็พูดแบบหนีง
                  จะพูดกับผู้ใหญ่เราก็พูดแบบหนึ่ง คือเรารู้เรื่องทั้งเด็ก
                  ทั้งผู้ใหญ๋
ส.         :   ครับ
หลวงพ่อ :   อย่างนี้ อันนี้เปรียบเป็นอย่างนั้น อืม...พูดอย่างใจอย่าง
                  พูดง่ายซะ! พูดอย่างใจอย่าง
ส.         :   ครับ
หลวงพ่อ :    อืม....จะไม่มีอะไร จะเป็นกิเลสหรือก็ไม่
                  ไม่เป็นกิเลสเป็นบาป หรือก็ไม่ อันนั้นท่านก็ว่า
                  อากัปกิริยาของจิตที่อุปกิเลสทั้งหลายอบรมมานาน
                  อันนั้นเป็นอาการของจิต ไม่มีเจตนาจำนง มั่นหมาย
                  ว่าให้มันเป็นอย่างนั้น อืมไม่มีอะไร
ส.         :    ความรัก ความชังของคนเรานี่ ก็เป็นอาการ
                  ที่เคยอบรมไว้หรือครับ
หลวงพ่อ :    ใช่ เป็น เป็น แต่ว่าอาการของความรัก ความชัง
                  ก็เป็นกิเลสอบรม มันมีอุปทานหรือเปล่านะ
ส.         :    ถ้าไม่มีอุปทานล่ะครับ
หลวงพ่อ :    นั่นล่ะเป็นอากัปกิริยาเฉยๆ
ส.         :    ซึ่งเคยอบรมไว้
หลวงพ่อ :    นั่น ! อบรมไว้เท่านั้นแหละ มี..ถ้ามีอุปทาน
                  แล้วไม่ใช่ ความหมายมั่นมีภพมีชาติต่อไปอีก
                  อาการนั้นไม่มีอุปทานอะไร แต่ว่ามันเป็นอย่าง
                  อุปทานไม่มี มันเป็นอาการของกิริยาของจิตมัน
                  เป็นของทีกิเลสอบรมไว้
ส.         :    การปฎิบัติของเราก็ตัดตัวอุปทานก่อน ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ :   ใช่
ส.         :    ที่เหลือก็เป็นอาการโดยปรกติ
หลวงพ่อ :   เป็นอาการโดยปรกติให้มันเป็นปรกติแล้วเราก็รู้จัก
ส.         :    ครับ
หลวงพ่อ :   เรามีอุปทานหรือเปล่า เราก็รู้จัก..ของเราให้รู้จักตัว
                 อุปทาน ถ้ามีอุปทานแล้วมันเป็นภพชาติแน่นอน
                 วางให้มันได้ อืม....
ส.         :    ทางที่สำคัญที่สุด คือเราไม่ต้องบังคับมัน
                 มันอยากจะไหวตัวก็ไหว แต่เราไม่ทำตาม
หลวงพ่อ :   ใช่เราต้องรู้
ส.         :    เรารู้เท่าทันมัน
หลวงพ่อ :   ใช่...เรารู้เท่าทันมัน
ส.         :    การปฏิบัติถึงที่สุดแล้วมันจะไหวตัวไหมครับ
                  หรือมันจะไหวอยู่อย่างนี้ แต่เราก็รู้เท่าทันมัน
หลวงพ่อ :   ไม่...ไม่ไหว
ส.         :    ไม่ไหวหรือครับ
หลวงพ่อ :    ไม่ไหว ใช้มันก็ได้ ไม่ใช้มันก็ได้ แต่มันไม่ไหว
                  ใช้โดยทางที่ถูกต้อง ไม่มี..ไม่มีอะไรเข้าไปพัวพัน
                   ในตรงนั้น อืม..อย่างที่ว่าไอ้อาการของความรัก
                   ทำไมเราเคยรักคน มันเป็นอย่างไง อาการมันน่ะ
  ส.        :     ครับ
หลวงพ่อ :    เนี่ย ไม่รู้จักแล้ว ทีนี้อาการของความรัก
                   มันเกิดขึ้นมาเราก็รู้จัก แต่ไม่มีอุปาทาน
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    นี่ให้เข้าใจอย่างนี้ง่ายๆ
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    รักอยู่ แต่ว่าอาการของความรักมันเป็นอย่างงี้
                   เท่านั้น ไม่มีอุปาทาน เป็นอาการมัน กิเลสอบรมมา
                   ที่เราเคยมาแล้ว เราละมันแล้ว นี่มันเป็นซะอย่างนี้
                   ที่ว่า...เสียงมันไพเราะ
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    ไอ้ที่เรียกว่ามันไพเราะ มันไม่หายของมันหรอก
                   แต่เราก็ต้องรู้ว่ามันไพเราะ แต่ไพเราะนั่นรู้ขนาดนี้
                   เรียกไม่มีอุปทาน แต่อาการไพเราะเรารู้จัก เพราะมัน
                   เคยอบรมเรามาแล้วนานเนี่ย ไอ้ความรัก ความโกรธ
                   ความเกลียดเนี่ย อะไรที่ความรักเกิดขึ้นมา อุปทาน
                   หรือเปล่า ความเกลียด เกิดขึ้นมา อุปทานหรือเปล่า
                   เราก็พูดถึงเลยล่ะ อันนี้เราจะรู้จักตัดสินเอาเองของเรา
                   หรอกอันนี้
ส.        :      ครับ
หลวงพ่อ :    ดูเราก็รู้จัก มันเกิดขึ้นมาปุ๊บ เราก็รู้จักแล้ว ไม่มีอะไร
ส.        :      ครับ
หลวงพ่อ :    พระเราอยู่ไปไม่มีอะไร ไม่ต้องค้นมัน อืม..ไม่ต้องค้นมัน
                   ไม่ต้องสางมันอีก มีอารมณ์มากระทบ ควรพิจารณาก็
                   พิจารณา มีก็พิจารณา ไม่มีก็ไม่พิจารณา อยู่..อยู่เฉยๆ
                   อยู่ด้วยความรู้สึก มีอะไรเป็นเหตุให้พิจารณาก็พิจารณาซะ
                   แล้วก็เลิกมันไป อยู่ไปอยู่ธรรมดาเรานั่นแหละพูดง่ายๆ
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    มันจะอยู่เหมือนธรรมดาเรา พอแต่เหตุเกิดขึ้นรู้จัก
                   ถ้ามันรู้จักเหตุก็ตามมาถึงผล บางทีรู้ผลก่อนตามไปหาเหตุ
                   มันจะเข้ามาทางปลายก็ได้ เข้ามาทางต้นก็ได้ มาทางเหตุ
                   ก่อนก็รู้จัก อืม...มาทางผลก่อนเราก็รู้จักแน่ะ...แต่เราอย่า
                   เข้าใจว่าเราเป็นโน้นเป็นนี้นะ
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    อาการที่เข้าใจนั่นก็ไม่มีอุปทาน รู้ว่ามันมี แต่มันมี
                   ไม่มีอุปทาน...วาง...
ส.         :     รู้อยู่ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ :    ใช่รู้อยู่ อืม..รู้อยู่ ไม่มีอุปทาน มันต้องรู้ซิ ให้มันรู้ซิ
                   อืม...สมาธิคือความตั้งใจมั่น มันก็มั่นของมันอยู่
                   มันเห็นชัด มันไม่เคลื่อนที่ออกจากที่นั้น เมื่อมีเท่าไร
                   มองดูแล้วก็ไม่มีอุปทาน มองดูเมื่อไรเกิดมาแล้วก็
                  อุปทานหมด ไม่มี แต่ลักษณะอันนั้นมันมีอยู่ แต่
                  อุปทานมันไม่มี
ส.        :     ครับ
หลวงพ่อ :    มันจะคล้ายๆว่าผู้กระทำมีอยู่ อือ..ผู้กระทำมีอยู่
                  อย่างเราทำบุญซะ พูดง่ายๆซะ เราเมตตา เราทำบุญ
                  มันก็มี แต่อุปทานมั่นหมายเราจะเป็นภพเป็นชาติดีชั่ว
                  นั่นเราไม่เอา มันไม่มี แต่ว่าการกระทำความดีนั้น่น่ะ
                  แต่ว่าเราทำอยู่ แต่ว่าเราไม่ยึดในความดีนั้น
ส.        :     ไม่ได้หวังอะไร
หลวงพ่อ :    ไม่ได้หวังอะไร เออ..ไม่ได้หวังอะไร ไม่ได้หวังอะไร
                   อย่างผมทำกับท่านนี่ก็พูดให้ดี ทำให้ดีๆกับท่าน
                   ถ้าคนเรามันก็ต้องมีความหวังอะไรนี่เพื่อตอบแทนอันนี้
                   ผมไม่ได้ว่านี่ ทำดี ดีไป พูดดีๆไป ไม่มีอะไรหวังจะตอบแทน
                   ถ้ามีหวังอะไรจะตอบแทนเป็นทุกข์ เป็นอุปทาน ให้มัน
                   เป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    มันเป็นอย่างนี้เรื่อยๆไป มันสังเกตุง่ายๆหรอก
                   อันเนี่ยมันขึ้นอยู่กับเรา เรื่องของเรา ความเป็นจริง
                   มันตัดสินง่ายกว่าเรื่องของคนอื่น เข้าใจไหม
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    เรื่องคนอื่นที่อม...อมคำพูดมาให้เรานี่ อิโหน่ อิเหน่
                  ให้เราฟัง ให้เราเชื่อ ไม่รู้จักเพราะไม่ใช่ตัวเรา
                   ถ้าตัวเราเองนี้มันโอ๊ย...มันง่ายที่สุดแหละ มันเป็นยังไง
                   มันโกหก โกหกคนอื่น โกหกเจ้าของ มันรู้จักรู้เรื่อง
                   ของมัน...ง่าย ให้มันอยู่อย่างนั้นก็พอแล้ว
                   พอได้หนทางแล้ว
ส.         :     ครับ
หลวงพ่อ :    ให้เราอยู่ไปโดยลักษณะแบบนั้น
ส.         :     ในอปัณณกปฏิปทาที่ว่าด้วยชาคริยานุโยค
หลวงพ่อ :     อืม...
ส.         :      หมายถึงเป็นผู้มีสติอยู่ตลอดเวลาใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ :     ใช่..อันนั้นคือสูตรมัน
ส.         :      ครับ
หลวงพ่อ :     ถ้ามีสูตรแล้ว มันเป็นแล้ว มันเป็นเหตุนี่
ส.         :      ครับ
หลวงพ่อ :     อันนั้นคือพูดเหตุมัน เมื่อมันส่งไปถึงผลแล้ว
                   มันก็ ผลกับเหตุมันเป็นคนละอย่างคือเรียกว่า
                   อปัณณกปฏิปทาคือข้อ(ปฏิบัติไม่ผิด 3 อย่าง)
                   อินทรีย์ สังวร สำรวม อินทรีย์หกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
                   ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลา (เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น
                   ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ)...
                   อันนี้ ไม่ต้องพูดมากถึงขนาดนั้น มันมีสติ
                   มันรู้จักอยู่แล้วล่ะ มันสำรวมอยู่แล้ว มันมีอยู่แล้ว
                   อปัณณกปฏิปทาข้อปฏิบัติไม่ผิดอันนี้มันเป็นสูตรของมัน
                   เพื่อให้สังวร สำรวม ตา หู ฯลฯ ไม่ได้ยินดียินร้าย
                   เท่านั้นนะ ทั้งหมดไม่ได้ยินดียินร้าย แต่มันได้ยินอยู่
                   รู้อยู่ แต่ว่ามันไม่ยินดียินร้าย คือไม่มีอุปทานนั่นเอง
ส.        :      ครับ
หลวงพ่อ :     การบริโภคอาหารแต่พอควร ไม่มาก ไม่น้อย
                   อันนี้มันก็ยิ่ง ยิ่งของมันนี่ มันรู้จักประมาณกายประมาณ
                   ท้องของมัน ชาคริยานุโยค ประกอบด้วยความเพียรอย่างนี้
                   ไอ้ความเพียรนั่นมันก็เรียกว่าสม่ำเสมอ มันสม่ำเสมอของมัน
                   อยู่อย่างนั้น ลืมตาขึ้นล่ะ  ลืมตาขึ้นรู้ตัวเมื่อใด
              มันมีความเพียรอยู่อย่างนั้นน่ะ ไอ้ความเพียร
              ไม่ใช่ไปเดิน..เดินเพียร ไม่ใช่ไปนอนเพียร
              ไม่ใช่ไปนั่งเพียร  รู้เพียร
ส.          :      รู้เพียร
หลวงพ่อ :      รู้เพียร มันรู้เพียร ยังงั้นเดินก็ไม่ว่า นั่งก็ไม่ว่า อะไรก็ไม่ว่า
                     มันรู้เพียร เป็นความเพียรทางจิต ไม่ใช่ความเพียรทางอื่น
                     เป็นความเพียรทางจิต ถ้าจิตมันตื่นอยู่ มันรู้อยู่ มันจะรู้สึกทั้งนั้นน่ะ
ส.         :       การปฏิบัติธรรมของเราทั้งหมด อันที่จริงก็อยู่ในอปัณณกปฏิปทา
หลวงพ่อ :       ใช่ ยอดมันรวมกันในนั้นน่ะ ไม่ผิด ว่ายังงั้นนะ
ส.          :      ครับ
หลวงพ่อ :       ปฏิบัติแล้วไม่ผิด อยู่ในรอบมันปฏิบัติไม่ผิด แต่เราทำให้
                     มันละเอียดน่ะ มันละเอียดขนาดที่ว่าสัญญาอนิจจา
ส.          :      ครับ
หลวงพ่อ :      แต่ว่าเราไม่หลงนะ ไม่หลง เรารู้ว่าไอ้สัญญาเราไม่เที่ยง
                    อย่างนี้บางทีเรียกคนนั้นทำคนนี้เรียกคนนี้ไปถูกคนนั้น
                    พูดอันนี้ไปถูกอันนั้น สัญญาอนิจจา
ส.          :     ครับ
หลวงพ่อ :      จัดเป็นคนหลงไม่ได้ เราตั้งใจแต่มันพูดไม่ถูก
                    แต่ว่าเราไม่หลง มันเคลื่อนไหว มันไม่เที่ยงตามสัญญา
                    เฉยๆ ว่ามันเป็นอย่างนั้น เราก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่
                    มันเป็นอย่างนี้ เราก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่
                    รู้ไปตามเรื่องของมันอยู่...เป็น
ส.          :     กราบขอบพระคุณครับ
หลวงพ่อ :     อยากอยู่ แต่ความรู้สึกอยากอยู่ เรื่องกาม
                   แต่องค์กำเนิดไม่รู้สึก ฮึ ๆ ๆ นะ อืม..องค์กำเนิดไม่กำเริบ
ส.          :    ครับ
หลวงพ่อ :    แต่ความอยากมันมีอาการอยู่ แต่ว่าหมดอุปทาน
                   แต่เราก็รู้จักอยู่ว่า มันอยาก อยากคือรู้จักอาการมัน...
                   มัน...มันไม่เอาจริงจัง นี่...ไม่เอาจริงจัง
ส.          :    เพราะมันเห็นว่าไม่มีค่า
หลวงพ่อ :     ใช่ เรื่องของมันอย่างงั้น มันมีอยู่อย่างงั้น ทีนี้ก็
                   อะไรที่มันเหือดแห้ง มันก็เป็นไปเองของมัน แม้ตลอด
                   ความฝัน แม้ตลอดอสุจิ แม้ตลอดอะไรมัน...มันเป็นไป
                   ตามสภาพของมันเลย ไม่ต้องไปบังคับอะไรมัน
ส.          :    ครับ
หลวงพ่อ :    แต่ว่าเมื่อเรานึกๆ บางทีมันนึก คือความอยาก
                  คือมันเคยอยากมาแต่ก่อนอาการนั่น มันเกิดขึ้นมาเท่านั้น
                  แต่อุปทาน ไม่มีอุปทานอย่างงี้ มันต้องเกิดกับเจ้าของมัน
                  จึงรู้จักจริงจัง อันนี้ แน่นอน ไม่ทุถข์ ไม่ทุกข์กับสิ่งทั้งหลาย
                  เหล่านี้ ก็คงจะเป็นอย่างงั้น มันมีอยู่ในจิตของเรา
                  เราคอยสังเกตุจิตของเรามันสบายกว่าคนอื่น เออ...
                  ค่อยๆ รู้มัน อย่าให้ว่ามันไประงับ...ระงับตรงโน้น
                  คือโลภ ระงับที่ความเห็นชอบมันนี่แหละ
ส.          :    ครับ
หลวงพ่อ :   อืม....อย่าไปหมายมั่นมันตรงโน้นตรงนี้เลย

                      ............จบ............
โดยคุณ ไพ วัน อังคาร ที่ 23 พฤษภาคม 2543 15:30:59

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 23 พฤษภาคม 2543 15:56:59
สาธุ สาธุ สาธุ
และขอบคุณ ไพ ที่อุตส่าห์พิมพ์ธรรมะมาให้อ่านกัน
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 23 พฤษภาคม 2543 15:56:59

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 23 พฤษภาคม 2543 16:12:32
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ หนุ่ย วัน อังคาร ที่ 23 พฤษภาคม 2543 17:28:42
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ dolphin วัน พุธ ที่ 24 พฤษภาคม 2543 07:36:41
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ธาตุธรรม วัน พุธ ที่ 24 พฤษภาคม 2543 07:37:36
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ กระต่าย วัน พุธ ที่ 24 พฤษภาคม 2543 10:30:35
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน พฤหัสบดี ที่ 25 พฤษภาคม 2543 09:40:25
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ นิดนึง วัน พุธ ที่ 31 พฤษภาคม 2543 22:48:47
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ listener วัน จันทร์ ที่ 5 มิถุนายน 2543 19:42:17
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com