ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 05:30:21 |
พี่นุชเป็นคนพิมพ์อยู่วันกว่าๆ ครับตุลย์ ถ้าพี่เองเดือนหน้าจึงจะได้อ่าน
ขอส่งท้ายเรื่องของคุณแม่น้อย ด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่มีในหนังสือนะครับ คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่พวกเราที่จะไปกราบท่านบ้าง
ข้อแนะนำในการไปกราบคุณแม่น้อย และเรื่องบางเรื่อง
คุณแม่น้อยเป็นผู้มีความเมตตามาก ใครไปหาท่าน จะคนเก่าหรือคนใหม่ ท่านก็ให้ความเมตตาเสมอกันทั้งนั้น ถ้าเข้าไปหาท่านพร้อมกันหลายๆ คน ท่านมักจะเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟังเรื่อยๆ ไป แล้วแต่ธรรมอันใด ซึ่งก็มักจะเป็นกิเลส หรือธรรมของคนใดคนหนึ่งที่เกิดไปกระทบจิตท่านเข้า ท่านก็จะแสดงธรรมโปรด หรือแก้ไขในเรื่องนั้นให้ ผู้ฟังต้องคอยสะกัดเอาเนื้อธรรมเอาเอง ว่าส่วนใดเหมาะกับตน แต่ถ้าต้องการให้มั่นใจ เราจะถามท่านเป็นการเฉพาะบุคคลก็ได้
ข้อจำกัดคือท่านพูดภาษาอีสาน หรือพูดคำภาคกลางด้วยสำเนียงของคนอีสานแท้ๆ คนภาคอื่นฟังลำบากหน่อย ถ้าไม่คุ้นเคย
ผมไปหาท่านบ่อยๆ ก็เลยได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ที่ท่านไม่ยอมเขียนลงหนังสือประวัติมาหลายเรื่อง บางเรื่องสมควรเล่าในที่นี้ ก็จะขอเล่าเพิ่มเติม
ผมเคยถามท่านว่า คุณแม่เคยพบหลวงปู่มั่นบ้างไหม ท่านตอบว่า ไม่เคยพบ เพราะแม่คนเป็นคนไม่มีความรู้และกลัวครูบาอาจารย์ที่สุด แต่หลวงปู่มั่นท่านรู้จักแม่เองด้วยญาณเองท่าน ตอนนั้นแม่อยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ที่หนองผือนาใน พรรณานิคม สกลนคร มีพระจากหนองผือมาเยี่ยมท่านเสมอๆ บอกว่าหลวงปู่มั่นให้มาเยี่ยมสนทนาธรรมกับ แม่น้อยเวียงจันทน์ ท่านก็เลยทราบว่า หลวงปู่มั่นรู้จักท่านดี
ท่านเล่าอีกว่าหลวงปู่มั่นและครูบาอาจารย์พระป่านั้น ท่านมีญาณ ลูกศิษย์จะไปทำอะไรที่ไน แม้นป่าเขาไม่มีใครรู้เห็น ท่านก็ตามไปรู้เห็นสอดส่องควบคุมได้เสมอ ผมถามว่า แล้วแม่ใช้ญาณบ้างไหม ท่านตอบว่า แม่สนใจแต่การทำตัวเองให้พ้นทุกข์ ถึงจะมีก็ไม่สนใจเรื่องอย่างนี้หรอก แล้วท่านก็เล่าเรื่องเมื่อท่านอยู่บนเขาแห่งหนึ่ง ท่านรู้เห็น ได้ยินเหตุการณ์ในวัดซึ่งห่างออกไปหลายกิโลเมตรได้ตลอด
เรื่องที่ท่านเล่าบางเรื่องก็น่าเอ็นดูดี โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่เทสก์ ท่านเล่าว่าบางคราวท่านเข้าไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่จะเล่าแบบขำๆ ว่าคนนั้นคนนี้มานิมนต์ให้หลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่ร้อยปี แล้วท่านก็จะสรุปว่า คนที่มาขอท่านนั้น เขายังไม่รู้จักความแก่ ไม่รู้หรอกว่าคนแก่นั้น ทุกข์อย่างไร แค่นั่งเฉยๆ ก็เหนื่อยแล้ว พวกเรา ที่ชอบนิมนต์ครูบาอาจารย์ให้อยู่นานๆ ทราบไว้ด้วยนะครับ แล้วอย่าไปฝืนสังขารท่านเลย
คุณแม่เป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ร่าเริงเป็นนิจ มีความอดทนอดกลั้นเป็นเลิศ และท่านไม่เคยพูดให้ร้ายใครเลย ผมไปกราบท่านครั้งหลังสุดนี้ ยังถูกท่านปรามเอาหลายที เป็นเรื่องกิเลสของผมล้วนๆ สมควรเล่าเพื่อประจานตนเอง
ระหว่างที่คุยกับท่านอยู่นั้น มีพระอาจารย์จากเพชรบูรณ์องค์หนึ่งมาเยี่ยมท่าน เป็นพระหนุ่มๆ ภาวนายังไม่เป็นหรอกครับ แต่เปิดสอนกรรมฐานลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นพวก ตชด.บ้าง กลุ่มอื่นๆ บ้าง มาถึงก็บอกว่า ได้ข่าวว่าโยมไม่สบาย ปลงๆ เสียเถอะนะร่างกายไม่ใช่ของเรา ผมฟังแล้วขำขึ้นมาทันที แต่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ คุณแม่ก็กราบขอบคุณที่ท่านแนะนำสั่งสอน หลังจากนั้นท่านก็อบรมธรรมะคุณแม่ไปเรื่อยๆ ด้วยจิตที่หลงๆ คุณแม่ก็นั่งพับเพียบฟังเป็นอย่างดี ผมก็นั่งปลงอนิจจัง ว่าคนเรานี้หนอ ไม่รู้จักหาประโยชน์ใส่ตัว มาพบของดีแล้ว กลับเอาความคิดและความจำของตนมาทุ่มใส่ท่าน พอคิดอย่างนี้คุณแม่ก็ชายตามามองนิดๆ แล้วกล่าวอย่างกลมกลืนไปกับพระท่านว่า "นักปฏิบัตินั้น ให้รู้กิเลสตนเอง อย่าไปสนใจกิเลสคนอื่น"
ในใจของผมนึกเร่งให้พระท่านกลับไปเสียเร็วๆ เพราะคุณแม่น้อยเพิ่งหกล้ม เท้าแพลงบวมเขียวทีเดียว พระมาคุยอยู่ ท่านก็นั่งพับเพียบทั้งที่เท้าเจ็บ คุณแม่ก็บอกว่า เท้าแม่เจ็บพอทนได้ ไม่เป็นไรหรอก
พอ 11 โมงเศษ ผมก็กราบเรียนพระท่านว่า คุณแม่น้อยควรจะต้องฉันอาหาร เพราะท่านไม่สบายคราวนี้ ฉันอาหารได้คราวละนิดเดียว เมื่อเช้าเพิ่งฉันข้าวคลุกงาไปสองสามคำเท่านั้น เพราะลำไส้ท่านไม่ค่อยรับอาหาร ต้องให้อาหารคราวละนิดหน่อย ที่พูดอย่างนี้ ก็เพื่อจะไล่ท่านนั่นเอง ท่านกลับบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องฉันก็ได้ นักปฏิบัติอดข้าวไม่เป็นไรเพราะอยู่กับการภาวนาแล้ว ผมก็ชักจะร้อนใจ เพราะคุณแม่ทั้งอายุมาก ทั้งอาพาธ คุณแม่กลับเป็นฝ่ายรีบหันมาปลอบผมทันที ว่า "อย่าห่วงเลย แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ฉันก็ได้ เพราะแม่ก็เคยอดข้าวคราวละ 7 วันมาบ่อยแล้ว" กลายเป็นคุณแม่ต้องคอยปลอบใจผมเสียอีก
อยู่ใกล้ท่านมีแต่ความอบอุ่นใจและได้ความรู้ แต่เรื่องหลายเรื่อง ไม่เหมาะที่จะเล่าให้ใครฟัง เพราะท่านห้ามเล่า เอาไว้ท่านสิ้นไปก่อน จึงจะเล่านะครับ (ถ้ามีโอกาส)
เรื่องของท่าน ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ ต่อจากนี้ก็ตัวใครตัวคนนั้นก็แล้วกัน |
|
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 05:30:21 |