กลับสู่หน้าหลัก

ประวัติและการปฏิบัติ ของ คุณแม่ชีพิมพา  วงศาอุดม (2)

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 09:17:42

พรรษาที่ 3 - 10 
วัดหนองบัวทอง  นครเวียงจันทน์ 
ผีข่าอาละวาด


        ออกพรรษาที่ 2 แล้วข้ามไปเวียงจันทน์  
ไปขออยู่กับอาจารย์มหาถวัลย์  ที่วัดหนองบัวทอง  
ที่แถวนี้ชาวบ้านเล่าว่า  แต่เดิมเป็นที่เลี้ยงช้างของเจ้าอนุเวียงจันทน์ 
ดิฉันอยู่กุฎิเล็กๆ ฝาใบตาล  หลังคามุงหญ้าไม่มีประตู 
เวลานั่งสมาธิมีเสียงเหมือนใครเอามือมาลูบฝาเสียงดังโกรกกราก  
มือใหญ่เท่าใบตาล  เสร็จจากเอามือลูบแล้วก็ไปโยกกุฎิสลับกันไม่หยุดหย่อน  
ครั้นเราหันหน้าออกสู้  มันก็แอบไปข้างซ้ายบ้างขวาบ้าง  
มันรบกวนอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืน  
จนเราไม่กล้าล้มตัวลงนอนแม้แต่ครั้งเดียว  กลัวมันจะขึ้นคร่อมตัว
เป็นเวลาราว 4 - 5 เดือน  ได้แต่นั่งหลับตาพักผ่อนชั่วครู่ชั่วยาม 

        เวลาเดินจงกรมมีเสียงดังพรึบๆ  
เหมือนคนเอาฆ้อนตีดังรอบๆ ทางเดินจงกรม  
หยุดยืนแผ่เมตตาให้  เสียงยังดังไม่หยุด
สงสัยว่าเป็นเสียงอะไร  กำหนดเพ่งดูเห็นพวกข่าหลายคน
เป็นผู้ชายล้วนผู้หญิงไม่มี  นุ่งผ้าเตี่ยว 
(เป็นธรรมเนียมของพวกข่า  จะมีเสื้อใหญ่ หรูหราสักเท่าไรก็ตาม  
แต่นุ่งน้อย  มีผ้าเคียนรอบเอว  แล้วเหลือนั้นก็ห่อเอาแต่ของลับ 
แล้วก็เหยียดเป็นเกลียวสะบัดขึ้นมาทางหลังเหน็บไว้ข้างหลัง  
เรียกว่านุ่งเตี่ยว)
มีผ้าโพกหัว  นั่งกระโหย่งทุบดิน  
แผ่เมตตาให้ก็ไม่ยอมรับ  บอกว่าไม่รู้เรื่อง  
เขาโกรธว่ามาแย่งที่อยู่ของพวกเขา 
บางครั้งมีเสียงเหมือนควายวิ่งไล่กันมาตรงทางเดินจงกรม 
ราวกับจะวิ่งมาชนเรา  
เราต่อสู้ไม่หนีไม่หยุด  คงเดินต่อไป 
พอประจัญหน้ากันมีเสียงหยุดกึก  มีลมกระทบหน้า  
แต่ไม่มีอะไร  มีแต่เสียงเท่านั้นเป็นอยู่เช่นนี้หลายพรรษา
แต่ในพรรษาหลังๆ ค่อยเบาลง  ดิฉันจำพรรษาอยู่ที่นี่ราว 8 พรรษา 

นิมิตประหลาด

        วันหนึ่ง นั่งสมาธิเกิดนิมิตว่าเราขึ้นไปบนศาลาไม่ได้ขึ้นไปทางบันได 
จะไปอย่างไรไม่ทราบ  ปรากฎว่าโผล่ทะลุพื้นกระดานศาลาขึ้นไป  
กลางศาลานี้มีไม้เสากองซ้อนกันอยู่ 3 ต้น  เราขึ้นไปถูกกองไม้พอดี  
ไม้ท่อนหนึ่งเคลื่อนที่เฉออกมา  เราบอกให้คนช่วยจัดให้ใหม่ 
แต่เขาไม่สนใจ  เราเดินไปผลักปลายต้นเสาให้เสมอกัน  
ไม่ใช่ไม้เสาเสียแล้ว  กลายเป็นใบลานใหม่ๆ 
สายสนอง (สายร้อยหนังสือ)  เป็นด้ายสีแดง 
เราพิจารณาได้ความว่า หนังสือได้แก่กาย  สายได้แก่จิต
จิตกับกายอาศัยซึ่งกันและกัน 
ถ้าบวชแล้วต้องหมั่นดูกาย  เอาจิตอ่านกาย 
แต่ท่านอาจารย์หลวงพ่อของเรา  ท่านกรุณาแก้ (ตีความนิมิต - ปราโมทย์) ให้ว่า
จะเป็นผู้รู้จริง เห็นจริงในทางธรรม  จะไม่ถอยหลังกลับ 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 09:17:42

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 10:01:13
มารออ่านต่อค่ะ :-)
โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 10:01:13

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ โจโจ้ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 12:41:28
อ่านแล้วครับ อย่างรวดเร็ว อย่างตั้งใจมากๆ.... รออ่านต่อครับ ^_^
โดยคุณ โจโจ้ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 12:41:28

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ ฐิติมา วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 14:26:19
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ หนุ่ย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 15:38:51
สาธุค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ _/|\_
โดยคุณ หนุ่ย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 15:38:51

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 20:09:43
พรรษาที่ 10 
วัดป่าพระสถิตย์  จังหวัดหนองคาย
 

        ก่อนเข้าพรรษาประมาณ 6 เดือน 
แม่ชีมุกไปชวนให้มาจำพรรษาด้วยกันที่วัดป่าพระสถิตย์ 
มีแม่ชีอยู่ก่อนแล้ว 2 คน  รวมเป็น 3 คนทั้งดิฉัน 
วัดนี้ไม่มีพระ เณรก็ไม่มี พ่อขาวก็ไม่มี  แม่ชีบิณฑบาตเลี้ยงตัวเอง 
วันหนึ่ง มีคนบอกว่า  คนร้ายชื่อสง่ามาอาศัยอยู่ในป่าช้าใกล้วัดนั่นเอง 
มันร้ายกาจมาก  มีข่าวลือว่ามันข่มขืนผู้หญิงตายทุกราย 
ดิฉันกลัวมาก  รีบทำกิจวัตรให้เสร็จแต่ยังวัน 
ค่ำลงขึ้นกุฎิ  สวดมนต์มืดๆ  ไม่กล้าจุดเทียน 
คืนหนึ่งกำลังสวดมนต์  มันเดินมาหยุดข้างกุฎิ (จะใช่สง่าหรือไม่ก็ไม่ทราบ) 
ดิฉันนั่งตัวแข็งไม่กล้าขยับเขยื้อน  ไม่กล้าแม้จะหายใจ 
กลั้นไว้ๆ จนไม่ไหว  ค่อยๆ ผ่อนออกทีละน้อยๆ  แทบจะขาดใจตาย 
จึงอธิษฐานแล้วไม่นานเขาก็เลยหนีไปกุฎใหม่ 
เราก็กลั้นลมอยู่เบาๆ  กลัวเขาจะกลับมาอีก 
ลมก็ค่อยอ่อนลงไป  เลยสงบไปเลย  ถึง 6 โมงเช้าจึงถอนขึ้นมา 
ความกลัวของเราก็เบาบางลงไปมากกว่าแต่ก่อน 
ตื่นเช้าขึ้นมา  จึงทราบว่ามันเดินไปข้างกุฎิแม่ชีมุก 
แม่ชีมุกกำลังจุดเทียนไหว้พระ 
มันตะโกนบอกว่า  แม่ชีขอนอนแค่รุ่งเช้า 
แม่ชีมุกเลยเปิดหนีเข้าบ้าน 

        ดิฉันปรึกษากับแม่ชีพร (แก่มากแล้ว)  จะทำรั้วกั้น 
ได้ตกลงกันจะใช้ล้อมด้วยหนามเล็บเหยี่ยว 
ถ้ามันเข้ามาหนามจะเกี่ยวเสื้อผ้ามัน 
ระหว่างมันหยุดปลดเราจะวิ่งหนี 
ค่ำลง ดิฉันตั้งสัตย์อธิษฐานว่า 
ถ้าข้าพเจ้าจะมีบุญอยู่ในเพศนักบวชชี 
ขอคุณพระธรรม  พระสงฆ์ คุณบิดรมารดาครูบาอาจารย์  คุณศีลธรรม 
ให้ดลบันดาลจิตครูบาอาจารย์  จะหูหนวกตาบอดก็ช่าง 
จะเป็นสามเณรหรือชีปะขาวก็ได้ 
แต่ขอให้เป็นเพศพรหมจรรย์ด้วยกัน ให้มาในสถานที่นี้ภายใน 3 - 7 วัน 
จะนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ 
ถ้าเลยจากนี้ไปไม่มีใครมา 
ข้าพเจ้าจะสึก  เพราะบุญของข้าพเจ้าไม่มีเสียแล้ว 

        หลังจากตั้งสัตย์อธิษฐานไม่กี่วัน 
วันนั้นเวลาประมาณ 8 - 9 
ได้ยินเสียงดังตุกติกๆ เหมือนเสียงคนเดินมาจากทางวัด 
เราคิด  ช่างเถอะล้อมรั้วไว้แล้ว  ไม่ค่อยกลัวนัก แต่คอยระวังเฝ้าดูอยู่ 
มีพระองค์หนึ่งมาถาม  แม่ชี ถังตักน้ำมีไหม 
เราย่องๆ ไปที่ประตูรั้ว  มองเห็นไม่ชัด 
ถามว่า คนหรือพระ  บอกนะ ถ้าไม่บอกไม่ได้ถังน้ำนะ 
ท่านไม่ตอบ  มองไปมองมาเห็นไม่มีผม 
ถามอีก  พระหรือคน  เวลานี้กำลังมีเรื่องนะ  ถ้าไม่บอกไม่ได้ถังน้ำเด็ดขาด 
ท่านไม่ตอบ  มีกลิ่นผ้าเหลืองโชยมารู้ว่าเป็นพระ 
รีบไปเอาถังน้ำมาเปิดประตู ดีใจมากที่สุด 
นายสง่าหายไปไหนไม่ทราบ  ไม่กลัวแล้ว 
ต้มน้ำร้อน  เตรียมหมากพลูมาต้อนรับพระ 
พลางเล่าให้ท่านฟังว่า บักสง่ามาอยู่ที่ป่าช้า 
มันไปทำร้ายใครตายหมดทุกคน 
ดิฉันบวชใหม่ยังไม่อยากตาย 
จึงตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ครูบาอาจารย์มาอยู่จำพรรษาด้วย 
บุญดิฉันมีมาก  ดิฉันไม่สึกแล้ว  จะขอตายในพระศาสนา 

พระมาถึงวันเดียวกันมากเป็นอัศจรรย์ 

        อธิษฐานแล้วยังไม่ถึง 7 วัน เพียงแค่ 3 วัน 
ก็มีอาจารย์สุวัจน์ (หลวงปู่สุวัจน์ วัดเขาน้อย บุรีรัมย์ในปัจจุบัน) 
อาจารย์วัน อาจารย์สม อาจารย์สิงห์ทอง อาจารย์ประยูร อาจารย์เพ็ญ 
หลวงพ่อแวง หลวงพ่อลา อาจารย์คำมุ่ย 
มีพระมาวันเดียวกัน ชั่วโมงเดียวกันเกือบจะถึง 20 องค์  น่าอัศจรรย์มาก 
พระอาจารย์คำมุ่ยบอกว่า  เสร็จจากสวดมนต์ไหว้พระแล้ว 
คุยกับหลวงพ่อว่าพรุ่งนี้จะข้ามมาศรีเชียงใหม่ 
แต่อย่างไรไม่ทราบ  เกิดคิดถึงแม่  คิดถึงมาก 
คิดว่าคุณแม่จะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเป็นอะไรอยู่ไม่ได้มันร้อนใจ 
เลยข้ามเรือมาแต่มืดจากเวียงจันทน์นั้นแล้ว 
อาจารย์สุวัจน์ว่า ผมก็เหมือนกันอยู่ภูโน้น 
ชวนกันว่าพรุ่งนี้จะลงมาศรีเชียงใหม่  แล้วแยกกันไปจัดของ 
พอมารวมกันก็ชวนกันมาเลยจนมืดค่ำป่านนี้ 
เห็นจะเป็นด้วยคำอธิษฐานของคุณแม่กระมัง 
อาจารย์จำพรรษาอยู่ด้วยกัน  ทั้งพระทั้งเณรมีเกือบ 20 องค์ 
กลับเวียงจันทน์องค์เดียว แต่อาจารย์คำมุ่ย  เพราะโยมแม่ท่านป่วยก็เลยกลับ 

        ท่านอาจารย์สุวัจน์ เป็นสมภารอบรมสั่งสอน 
ด้านข้อวัตรปฏิบัติของท่าน 
เคร่งครัดในด้านพระธรรมวินัยอย่างเข้มงวดกวดขัน 
ผู้มีศีล 5 ไม่ให้ใช้ผู้มีศีล 8  ผู้มีศีล 8 ไม่ให้ใช้ผู้มีศีล 10 
ผู้มีศีล 10 ไม่ให้ใช้ผู้มีศีล 227 
ก่อนออกพรรษา 7 วัน  อาจารย์สุวัจน์ถามว่า อะไรมาเป็นกระดูก 
อาจารย์ให้เวลาคิดจนถึงวันสุดท้ายของพรรษา 
ดิฉันกลุ้มใจมาก  เราอยู่ด้วยกัน 3 คน  ต่างคนต่างคิดไม่พูดคุยกัน 
ฉันจังหันแล้วไปเดินจงกรมบ้าง นั่งภาวนาบ้าง คิดอยู่แต่เรื่องเดียว 
อีก 4 วันจะถึงวันตอบปัญหา 
ปรากฎในนิมิตมีขวดกับขันน้ำ (ล้างอย่างดีสะอาดหมดจด) 
และผ้ากรองน้ำ 3 ผืน  ผืนแรกค่อนข้างบาง  ผืนที่ 2 หนาเล็กน้อย ผืนที่ 3 หนามาก 
ครั้งแรกใช้ผ้าบางกรองน้ำใส่ขวดแล้วเทออกใส่ขัน 
ครั้งที่ 2 กรองน้ำด้วยผ้าหนาเล็กน้อย  น้ำไหลลงช้าๆ 
ครั้งที่ 3 ใช้ผ้าหนามากนานๆ น้ำจะหยดลงสักหยดหนึ่ง 
น้ำที่กรองได้ใสสะอาดบริสุทธิ์ 
เรานั่งเพ่ง  พอได้น้ำเต็มขวดรีบปิดฝาทันที 
ไม่นานลมมาจากไหนไม่ทราบ  มีลมแผล็บเดียวไฟก็อุ่นขึ้น 
ลมพัดไปมา  ไฟก็เผาน้ำงวดเข้าๆ จนเป็นยางเส้นเล็กเส้นใหญ่ 
เรากำหนดรู้ว่า 
นี่คือ ดิน ซึ่งเปลี่ยนสภาพจากน้ำ  เพราะอำนาจของลมกับไฟ 
กำหนดดูดินที่มาเป็น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (กรรมฐาน) นั้นเป็นดินหยาบ 
ดินอย่างกลางเป็นเนื้อ ตับ ปอด ม้าม ฯลฯ 
กำหนดอีกรู้ว่า  ดินละเอียดมาเป็นกระดูก
 

จะถูก หรือผิดไม่ทราบยังไม่แน่ใจ  เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน 
จิตสอบกันไปสอบกันมา 
จิตดวงหนึ่งผุดขึ้นมาว่า 
เชิญเถอะถ้าไม่เชื่อเจ้าของ(จิตตนเอง - ปราโมทย์) 
ลองไปศึกษากับอาจารย์ร้อยองค์พันองค์ก็เชิญ 

แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่มั่นใจเจ้าของ 
จิตอีกดวงหนึ่งบอกว่า  ถ้าไม่เชื่อเจ้าของ 
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็อยู่กับคนอื่นละซี 

เราสงสัยอีกว่า  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะอยู่กับเราได้อย่างไร 
เราเป็นหญิงอยู่กับเราไม่ได้  ต้องอยู่กับพระจึงจะถูก 
จิตดวงหนึ่ง ว่าอย่างนั้น  อีกดวงหนึ่งว่าอย่างนี้  ไม่สิ้นสงสัย 

        ถึงวันพระ  ท่านอาจารย์ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์แล้ว 
เราไม่ได้ฟังคำเทศน์ของอาจารย์เลย มัวแต่สอบจิตเจ้าของ 
ถ้าอาจารย์ถามอย่างนั้น  เราจะตอบอย่างนี้ 
อาจารย์เทศน์จบลง ท่านนั่งยิ้มมองดูอยู่ไม่ถามอะไร 

ท่านพูดว่า จะสงสัยอะไร  อันนั้นเป็นหนทางเดินเหมือนเดินจงกรม 
ได้ยินไหม  เขาลือว่าอาจารย์เดินจงกรมแล้วแบกทางเดินจงกรมไปด้วย
 

จิตบอก อาจารย์เทศน์สอนเราเพราะเราสงสัย 
จึงตอบอาจารย์ว่า จิตดิฉันไม่เดินตามทาง เข้ารกเข้าป่าเหยียบแต่ขวากหนาม 
แล้วมารักษาแผลเก่าแผลใหม่ไม่รู้จักจบจักสิ้น  เหมือนคนตาบอดเข้าป่า
 

ท่านตอบว่า  เราบวชเข้ามาทำไมล่ะ  ก็บวชมารักษาแผลละซี 

ดิฉันตามองไม่เห็น  เดินบุกป่าบุกดงจะทำอย่างไรท่านอาจารย์ 
ท่านตอบว่า เวลาเราเดินป่าก็เป็นอย่างนั้น  มีขวากหนาม 
เมื่อเดินออกจากป่ามาตามทุ่งไม่ค่อยรักษาแผลหรอก
 

        เรารู้ว่า ป่าคือกิเลสที่ไปหลงยึดถือทำให้เกิดอารมณ์ดี อารมณ์ชั่ว 
ใครยกย่องสรรเสริญก็ยินดีแช่มชื่นเบิกบาน 
ครั้นถูกติฉินนินทาจิตก็เศร้าหมองขุ่นมัว 
นี่แหละแผลของจิตเป็นอย่างนี้ 

(คุณแม่น้อย ท่านสนิทและเคารพนับถือหลวงปู่สุวัจน์มาตั้งแต่ครั้งนั้น 
ผมไปกราบท่านครั้งสุดท้ายเมื่อ 20 พฤษภาคมนี้ 
ท่านจึงเชียร์ให้ผมไปบวชอยู่กับหลวงปู่สุวัจน์ 
แต่ผมก็ยังไม่ได้รับปากท่าน ยังแบ่งรับแบ่งสู้อยู่ - ปราโมทย์) 

เราเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกว่า 
จิตเราเป็นอย่างนี้ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ จะเป็นนักบวชได้หรือ 
ทำไมจิตเราไม่เหมือนจิตพระจิตเณร 
จิตของท่านคงสบาย เยือกเย็น  ไม่รับทั้งอารมณ์ดีอารมณ์ชั่ว 
ส่วนจิตเราไม่ให้มันยึดมันก็ยึด  ไม่ให้มันรับ มันก็รับ 
เราเฝ้าสังเกตจิตอยู่เสมอ  ระมัดระวังห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง 
คอยแต่จะจับอารมณ์ดีอารมณ์ชั่วอยู่เรื่อยไป 
มีความสงสัยอยู่ตลอดเวลา 
(คุณแม่ได้รู้เห็นถึงความเป็นอนัตตาของจิต แต่ตอนนั้นท่านไม่เข้าใจ 
ท่านนึกว่าจิตของท่านไม่ดีจึงเที่ยวรับอารมณ์ ห้ามก็ไม่ฟัง - ปราโมทย์) 

เวลาออกพรรษาแล้วก็มี อาจารย์มหาถวัลย์มาหา 
ว่าจะข้ามเวียงจันทน์  เราก็เลยข้ามเวียงจันทน์ไปอยู่ด้วยอาจารย์อ่อนศรีอีก 
อาจารย์มหาถวัลย์ก็ไปอยู่วัดหนองบัวทอง 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 20:09:43

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 20:10:47
พรรษาที่ 12 
วัดป่าบ้านนาคุณน้อย  นครเวียงจันทน์
 

        จวนเข้าพรรษา  แม่ชีคำผุยลูกศิษย์รุ่นแรกของอาจารย์อ่อนศรี 
ขอตัวดิฉันไปอยู่ด้วย เพราะท่านนิมิตเกี่ยวกับดิฉัน 
แต่ท่านไม่ได้เล่าเรื่องนิมิตให้ฟัง 
วัดคุณแม่คำผุยอยู่ในชนบทห่างไกลจากนครเวียงจันทน์พอสมควร 
ท่านอยู่ตามลำพัง 3 คนแม่ลูก  มีตัวท่าน ลูกสาว  และน้องสาว 
ชาวบ้านเคารพนับถือท่านมากปรนนิบัติดูแลเหมือนพระองค์หนึ่ง 
คุณแม่เอาใจใส่แนะนำสั่งสอนดิฉันทุกอย่าง 
ตั้งแต่การกินอยู่หลับนอน การพูด การเดิน 
การคุย ตลอดถึงการคิด การภาวนา อบรมให้มีสติอยู่เสมอ 

ท้าทายมัจจุราช 

        คุณแม่ทดสอบดิฉันหลายครั้ง  บางครั้งสอบได้บางครั้งสอบตก 
แต่ละครั้งน่ากลัว ต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงจึงรอดตัวไปได้ 
เช่น ครั้งหนึ่ง ท่านบอกว่า คุณลูก ตรงนั้นมีเห็ดมาก 
ท่านชี้ไปในที่หนึ่งซึ่งมีควายอยู่เป็นฝูง  ทั้งตัวผู้แลตัวเมีย 
บางตัวกำลังรุ่นหนุ่ม  บางตัวหนุ่มเต็มที่  มีหนอกเต็มคอ  เขาโง้งแหลมหวาดเสียว 
ดิฉันกลัวมาก  แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง ยอมตายเดินเข้าไปในที่นั้น 
ครั้งแรกควายจ้องมองดู  ดิฉันใจเต้นตึ๊กๆ 
ต่อมามันก้มหัว กระดิกหาง 
เห็ดไม่มี  เพียงแต่ท่านต้องการจะทดลองดิฉันดูเท่านั้น 
ครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี 

        ครั้งที่สองเรื่องควายอีกนั่นแหละ 
คุณแม่พาไปหาไม้ฟืน  กลับวัดเวลาตะวันอ่อนๆ 
เป็นเวลาเดียวกับเวลาที่ควายจะกลับบ้าน 
ควายประมาณ 20 ตัวกำลังเล็มหญ้าอยู่ข้างทาง 
ดิฉันแบกฟืนเดินตามหลังคุณแม่มา 
ควายเหล่านั้นเดินเรียงแถวหน้ากระดานมาติดๆ ข้างหลังดิฉัน 
ศีรษะชิดกันเป็นแพ  ดิฉันกลัวอยากวิ่งออกหน้าแต่ไม่กล้า 
ควายทุกตัวยกหางขึ้นเสมอเหมือนกันหมด 
คุณแม่เดินช้าๆ เอาปลายเท้าเขี่ยดินไปตามทาง 
ควายเดินโอบเข้ามา  ตาจ้องมองตาไม่กระพริบ 
คุณแม่พูดว่ามองอะไร  ไม่เคยเห็นชีหรือ  โง่จริง 
ควายลดหางแยกกันไปกินหญ้าตามเดิม 

        ครั้งนี้สำคัญที่ดิฉันแพ้อย่างละอาย  ไม่มีปัญญาจะต่อสู้ 
คือคุณแม่ชวนดิฉันเข้าไปในป่า  ไปทางดงเสือผ่าน 
ท่านบอกคอยอยู่ที่นี่แหละ  ที่นี่มีเห็ดเยอะ 
แล้วท่านเดินออกจากป่าไปเพียง 4 - 5 ก้าวเท่านั้น 
ดิฉันหาท่านไม่เห็นเสียแล้ว  ดิฉันตะโกนร้องหาท่านลั่น 
ได้ยินเสียงกู่ตอบมาแต่ไกล  ประมาณ 1 กิโลเมตร 
ดิฉันกลัวเสือมาก  คุมสติไม่อยู่  ทำอะไรไม่ถูก 
มีแต่ความกลัวอย่างเดียว วิ่งตามคุณแม่ไป  แต่หาท่านไม่พบ 
ไม่นานดิฉันเห็นท่านกลับมา 
ดิฉันรีบวิ่งกลับมาเก็บเห็ดตามเดิมก่อนที่ท่านจะมาถึง 

        ในระหว่างพรรษานั้น  ท่านก็พาไปทดสอบตามป่าช้า 
เรากลัวควาย  เรากลัวเสือ ท่านก็พาไปที่เสือ 
จนให้เรานี้ชำนาญหมดทุกอย่าง 
ค่ำมาแล้ว  ท่านก็สอบจิตของเราอีก 
อย่างนั้นเรื่อยไปให้เรานี้เกิดปัญญาขึ้นทีละเล็กทีละน้อย  ไปจนตลอดคืน 
หาอุบายแก้ปัญหาของท่านอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป 
ไม่ให้นิ่งเฉยๆ  ให้ค้นคิดอยู่อย่างนั้น 

มีครั้งหนึ่งท่านถามว่า  ลูกได้เรื่องพระเวสสันดรไหม 
เราก็ตอบว่ายังไม่ได้  ท่านก็ว่าคุณลูกได้หมด คุณลูกโกหกแม่ 
เราก็ว่าไม่ได้จริงๆ 
ท่านว่าเราได้หมดอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป 
แต่เราก็ไม่รู้จริงๆ ท่านก็ไ่ม่ยอม 
เพราะว่าท่านอยากจะให้เรามีสติปัญญาค้นคิดอยู่ในเรื่องการให้ทาน 
ให้เรารู้ว่าทานชนิดไหนเป็น "ทานบารมี" 
ทานชนิดไหนเป็น "ทานอุปบารมี" 
ทานชนิดไหนเป็น "ทานปรมัตถบารมี" 
ท่านให้รู้ให้เห็นในด้านจิตใจของตัวเองให้ละเอียดถี่ถ้วน 
ในการทำทานให้เรารู้  เพื่อจะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย 
ท่านก็ให้เรารู้ในด้านจิตของเราเอง 

        ในการรักษาศีล  ท่านก็ให้ว่า  ศีลอยู่ที่ไหน ศีลเป็นอย่างไร 
เราคิดอย่างไร  พูดอย่างไร ทำอย่างไร  ศีลของเราจึงบริสุทธิ์ผุดผ่องดี 
ให้เรามีสติตรวจดูจิตของตนเองอยู่เสมอ  ไม่ให้มันคิดมันพูดไปทางที่ไม่ดี 
ศีลของเราจะเศร้าหมองขุ่นมัวหรือศีลขาดก็ได้ 
ในการคิดการพูด  และการทำอย่างไม่มีสติใช้ไม่ได้ 
ถึงจะคิดจะพูดจะทำลงไปมันผิดพลาด  เรียกว่า ขาดสติ 

        ท่านสอนเราหมดทุกอย่าง 
แต่เราเองมันไม่มีสติปัญญาจะค้นหาต้นสายปลายเหตุของกิเลสตัณหา 
ก็เพราะว่าจิตของเรามันก็ยังเพลิดเพลินอยู่ 
ยังออกๆ เข้าๆ อยู่อย่างนั้นเรื่อยไป 
ยังอยู่เป็นปกติไม่ได้เลย วอกซ้ายแวกขวาอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป 
มันจึงไม่รู้ไม่เห็นต้นสายปลายเหตุว่ามันเกิดขึ้นมาอย่างไร 
มันเกิดขึ้นเพราะเหตุอะไรเราก็ไม่รู้กันทั้งนั้น 
เพราะว่าจิตของเราไม่อยู่กับหลัก 
มันวิ่งไปทางอดีตวิ่งไปทางอนาคต  ถ้าวิ่งไปทางอดีต 
ถ้าเจอของดีที่น่ารัก มันก็ไปรักไปชอบเรื่อยไปไม่เข้ามาหาหลักเลย 
ก็ติดข้องอยู่กับความดีใจแล้วก็แล้วไป 
ถ้าไปเจอสิ่งที่ไม่ดีมาก็หน้าตาเศร้าหมองขุ่นมัว 
หงอยเหงาเศร้าโศกเดือดร้อนวุ่นวาย  ส่งส่ายอยู่อย่างนั้น 
มันก็ไม่เกิดปัญญาขึ้นมาเลย  เพราะว่าจิตของเราไม่อยู่ในปัจจุบัน 
มีแต่เพลิดเพลินไปตามเรื่องเหล่านั้นอยู่เสมอ  มันจึงไม่เห็นอะไรสักอย่าง 
เพราะว่าจิตของเรามันไม่นิ่งอยู่ในหลัก  มันเป็นอย่างนั้นเรื่อย 

เราก็เอามาพิจารณาว่า  เรานี้ทำไมไม่มีสติปัญญาอย่างนี้ 
เราก็คิดว่าบุญวาสนาบารมีของเรานี้น้อยหนักหนากระมังจึงไม่รู้ไม่เห็นอะไร 
คิดแล้วก็น้อยใจ  บางครั้งเป็นอย่างนั้นก็มี 
แต่ไม่อยากจะสึก  คิดไปคิดมาอยู่อย่างนั้น 

        คุณแม่มีเมตตาต่อดิฉันอย่างเปรียบมิได้ 
ซึ่งดิฉันได้จารึกพระคุณของท่านไว้ในดวงใจ 
และอีกผู้หนึ่งซึ่งดิฉันจะลืมพระคุณของท่านเสียไม่ได้เช่นกัน 
ท่านผู้นั้นคือคุณย่าวัดโนนนิเวศ 
แต่วิธีการของท่านทั้งสองแตกต่างกัน 
คุณย่าไม่เคยอบรมข้อวัตรปฎิบัติแก่ดิฉันแม้แต่น้อย 
มีแต่ดุด่า  ดูหมิ่นเหยียดหยามจนดิฉันมองหน้าท่านไม่ติด 
เพราะความกลัวและละอายจึงหนีไปเดินจงกรมภาวนาอยู่คนเดียว 
วันไหนฝนตกก็แอบมานั่งบังฝนอยู่ริมชายคา 
บำเพ็ญภาวนาทั้งกลางวันกลางคืน 
เกิดปัญญาแก้ไขความคับแค้นใจได้ 
ด้วยเหตุนี้  ดิฉันจึงถือว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณผู้หนึ่ง 

        จะขอเล่าเรื่องคุณย่าสักเล็กน้อย 
คุณย่าเป็นคนเสียงดัง  ท่านดุดิฉันแต่ละครั้งได้ยินไปทั่วถึงบนวัด 
ดิฉันเป็นคนขี้อาย  ดิฉันแอบไปร้องไห้วันละหลายๆ หน 
ต่อมาเมื่อพิจารณา เกิดปัญญาถามว่า 
แม่ชีผู้นี้หรือจะไปนิพพาน  คิดตอบว่า  ไม่ใช่  นี่เป็นตัวอย่างทางไม่ดี 
ถ้าเจ้าเหมือนเขาเจ้าจะไปนรก 
ทำไมเขาบวชมานานจึงทำอย่างนี้ได้  นี่ละเรื่องของโลก 
โลภะ โทสะ โมหะ  มันอิจฉาริษยาคนอื่นอยู่ร่ำไป 
สนทนากันเหมือนมีจิตอยู่สองดวงถามตอบกัน 
ผู้จะไปสวรรค์นิพพานเป็นอย่างไรทำตัวเหมือนผ้าขี้ริ้วเช็ดเท้า 
ใครจะเช็ดอะไร มันก็ไม่ว่า 
ถ้าอย่างนั้นเขาด่าว่าเรา  เราก็เฉยๆ เสียงออกมาเป็นแต่ลมออกมา 
ถ้าไม่รับเอาก็เป็นเรื่องของเขา เราต้องอดกลั้นขันติ 
เอ้า ทำไมร้องไห้ละ  น้ำตามันพุ่งออกมานี่ 
นี่น้ำตากิเลสต่างหากที่มันติดยึดถือว่าตัวดี  มันก็ร้องไห้ละซี 
ว่าเขากดขี่ข่มเหง  แท้จริงเขาไม่ได้ ทำอะไรให้  เขาพูดเฉยๆ 
ตั้งแต่นั้นมาจิตเราสบายและรวมได้ง่ายนั่งที่ไหนก็รวมที่นั่น 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 20:10:47

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:19:11
พรรษาที่ 13 - 14 
ภูหินคันนา  นครเวียงจันทน์
 

        เรากลับจากบ้านนาคุณน้อยแล้ว  พ่อคำมุ่ยมาขอไปอยู่วัดหนองบัวทอง 
พรรษานี้ อาจารย์มหาถวัลย์ไม่อยู่  ท่านไปสร้างวัดใหม่ที่ปากเซ 
อาจารย์คำมุ่ยรองเจ้าอาวาสชวนไปอยู่ภูหินคันนา  ถ้าอยู่ได้จะอยู่สัก 2 ปี 
มีแม่ชี 2 คน คือ ดิฉันกับพี่สาว 
อาจารย์ 1 องค์ เณร 1 องค์ ปะขาวเฒ่า 1 คน  รวมเป็น 5 

ไม่นานมีพระวัดบ้านไปไล่ให้หนี  ไม่ให้อยู่ขู่เข็ญอาจารย์อยู่บนโน้น 
ครูบาเณรก็มาเรียกว่า 
คุณแม่  เขาจะมาจับท่านอาจารย์เราไปแล้ว ให้คุณแม่ขึ้นเดี๋ยวนี้เร็วๆ 

เราก็รีบขึ้นไป  เราไปยังไม่ถึง  ได้ยินเสียงพระวัดบ้านโกรธอาจารย์อยู่แล้ว 
เราก็ไปถึง  มองดูหน้าพระวัดบ้านมี 7 องค์ 
เราก็เอาน้ำต้มรากไม้ไปต้อนรับอย่างดีว่า 
ครูบามาเยี่ยมเยียนก็ไม่มีน้ำอ้อยน้ำตาลอันใดจะต้อนรับ 
เพราะว่าดิฉันอยากจะทดลองอยู่ป่าว่ามันจะเป็นอย่างไร 
จะอยู่ได้ไหม อดอยากทุกข์ยากขนาดไหน 
ดิฉันนี้ก็ว่าจะอดทนเอา  ลองดูก่อน ถึงจะกลัวผีกลัวเสือกลัวช้างอะไร 
ทุกข์อย่างอยู่ในป่านี้ดิฉันจะขอทดลองดูก่อนว่าจะอยู่ได้ไหม 

เขาก็พูดขึ้นด้วยกันทั้ง 7 องค์ว่าไม่ให้อยู่ เขาขู่อาจารย์ 
เราไปเตรียมของลงด้วยกันเดี๋ยวนี้  ถ้าอยู่ไปมันก็แผ่ (ออกไปอีก) 

เราก็ตอบว่า  ถ้าดิฉันนี้ไม่ให้แผ่  มันก็แผ่ไม่ได้เลย 
เพราะว่าดิฉันเป็นคนที่จะแผ่  ถ้าดิฉันไม่แผ่  มันก็แผ่ไม่ได้เด็ดขาด 
เพราะว่าบางแห่งจะยังอยู่ในดินแดนเวียงจันทน์นี้ไม่ได้แล้ว 
ดิฉันเองเป็นผู้ดูแล ความรับผิดชอบทุกอย่างในด้านดินแดนเวียงจันทน์นี้รู้ไหม 
ท่านอาจารย์ 7 องค์ นี้ยังไม่รู้กระมัง 
ผู้เป็นเจ้าคณะแขวง คณะเมือง ก็พูดขึ้นว่า  อาตมาเป็นห่วงมาก  มาอยู่ป่าอย่างนี้ 
เพราะว่ามันได้ยินมาแล้วว่าพ่อขาวตีหัวอาจารย์แตก  อาตมาก็เป็นห่วงมาก 
เรายกมือขึ้นด้วยความเคารพอย่างอ่อนน้อมจริงๆ 
แล้วว่าดิฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมากนะคะ 
ท่านเป็นผู้มีเมตตาต่อลูกเต้า ศิษย์โยม 
ขอให้ช่วยดูรักษาชื่อเสียงของลูกเต้าศิษย์โยมไว้ 
อาจารย์กับหลวงพ่อทะเลาะกันอยู่ 
ได้ยินเสียงเราพูดกันอยู่กับผู้ใหญ่ก็เลยหยุดทันที 

พอบ่าย 3 โมงแล้ว  เราเลยนิมนต์ให้ลงไปเลย 
สงสารหลวงพ่อองค์แก่กลัวจะหกล้มหกลุก 
เราก็พูดไปอย่างนั้น พระวัดบ้านท่านก็เลยไป 
น่าอัศจรรย์จริงๆ พอดีก้าวออกไปจากศาลาพอพ้นแค่นั้น 
ฝนก็ตกลงมาเหมือนเทน้ำออกจากถังใหญ่ๆ เลย 
เมฆก็ไม่มีสักก้อนเดียว ฟ้าสว่างไปหมด ไม่มีเมฆฝน ทำไมตกอย่างนี้ 
เราก็คิดว่า คงเป็นเทพารักษ์ช่วยกระมัง จึงเป็นอย่างนี้ 
ไม่ใช่ว่ามืดฟ้ามัวฝนเลยฟ้าก็ขาวสว่างอยู่นี่นา พระที่มาไล่ก็เปียกหมด 
แต่ก็มีร่มกางอยู่ก็ไม่กันได้เลย เหมือนตกน้ำหมดทั้งตัวเลย 
เขามาเล่าให้ฟังว่า ไปถึงวัดสั่นงกๆ เลย น่าสงสารจริงๆ 

        ต่อนั้นมาไม่นานเท่าไร  ก็มีผู้ร้าย 8 คน ขึ้นรถมาพักด้วย 
มันไปปล้นเขามา  ฆ่าเจ้าของบ้านเขาตายคนหนึ่งแล้วขึ้นมาพักอยู่ด้วย 
เขาขอข้าวกินแล้วก็ขึ้นไปพักด้วยอาจารย์บนโน้น 
ดิฉันขึ้นไปจังหัน  อาจารย์บอกว่าเขาไปค้านางทองคำมา (ค้าฝิ่น) 
อาจารย์บอกเป็นนัยซึ่งรู้กันเฉพาะพวกเรา 
ดิฉันก็เข้าใจ  จึงให้ศีลให้พรว่าไปดีนะ  ไปให้ตลอดปลอดภัย 
ไปให้ถึงพ่อแม่ถึงลูกถึงเมีย 
ทุกคนยกมือขึ้น  นอกจากหัวหน้าคนเดียว  มันถลึงตาใส่เรา 
ตกกลางคืนราว 4 นาฬิกา  คนร้ายหนีไป 
แต่ดิฉันยังไม่หายกลัว  กลัวมันจะกลับมาอีกกลัวจนตามืดตามัว 
เดินไปไหนหกล้มหกลุก 
ได้ปรึกษากับพี่สาวว่า  จะกลับหรือ 
จะอยู่จนค่ำมืดยังคิดไม่ตกมองหาใครที่จะพึ่งก็ไม่มี 
ยิ่งมืดก็ยิ่งกลัว  นั่งอยู่ในถ้ำคนเดียว 
คิดว่าถ้าคนร้ายรายใหม่ขึ้นมามันร้ายกาจกว่าเดิมจะทำอย่างไร 

        ยิ่งคิดก็ยิ่งวิตก  หมดที่พึ่งเข้าจริงๆ 
จิตดวงหนึ่งบอกว่าออกไปตายเสีย  ออกไปทางสามแยกโน่น 
ข้อย(จิต - ปราโมทย์)จะพาเจ้า(คุณแม่น้อย - ปราโมทย์)ไปตาย 
ตายแล้วจะได้ไม่ต้องกลัว  ตอบตกลงว่าไปก็ไป 
ทางสามแยกนั้นแยกหนึ่งเป็นทางมาแต่บ้าน 
แยกหนึ่งออกจากภุ  แยกหนึ่งขึ้นมาจากห้วยมาบรรจบกัน 
เสือมาคนมาก็เจอกันที่นั้น 
คิดว่านั่งตายอยู่นี่ไม่ต้องหนีไปไหน  ยอมตายวันนี้ 

นั่งลงบนก้อนหินเล็กๆ ภาวนาพุทโธๆ จิตรวมลงๆ ไม่ค่อยปรุงค่อยแต่ง 
ลมละเอียด เข้าๆ ได้มีเสียงหัวเราะเยาะ 
บวชมานาน 10 กว่าปียังไม่ถึงไตรสรณคมน์ 
จิตเราสะดุ้งเฮือกเต็มแรง 
เราบวชแล้วทำไมยังไม่ถึงไตรสรณคมน์ 
แต่ชาวบ้านนิมนต์พระไปก็ขึ้นพระไตรสรณคมน์ 
เขาว่าเขาถึงพระไตรสรณคมน์ 

จิตหนึ่งอธิบายว่าชาวบ้านเขาถือพระไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งเฉยๆ 
จิตเขายังไม่ถึงพระไตรสรณคมน์ 
ถ้าจิตเข้าถึงจริงๆ แล้วต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม 
เชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว  แล้วไม่กลัวอะไรทั้งหมด 
ถ้าใครได้กระทำกรรมอะไรไว้ จะหนีขึ้นไปบนปราสาท 7 ชั้นก็หนีไม่พ้น
กรรมจะไปบันดาลจิตเจ้าของให้อยากลงมารับกรรมตามที่ตนได้กระทำไว้
คนเชื่ออย่างนี้จึงเชื่อว่า เป็นผู้ถึงไตรสรณคมน์ อย่างแท้จริง
รู้สึกว่าจิตเบิกบานอิ่มเอิบไปด้วยปิติจนพูดไม่ถูก จิตเราก็ตื่นเต็มที่
ศึกษากันเรื่องพระไตรสรณคมน์จนตะวันโผล่ขึ้นจวน 7 นาฬิกาจึงรีบมาทำจังหัน
ระหว่างทำจังหันอยู่นั้น จิตยังศึกษากันอยู่ในเรื่องพระไตรสรณคมน์ยังไม่จบสิ้น
เรื่องพระไตรสรณคมน์สูงที่สุด ละเอียดลออที่สุด
เลยอยู่ได้ไม่กลัวอะไรทั้งหมด ใจใหญ่ที่สุด
(เดิมทีผมก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับแม่น้อยเท่าไรนัก
เพียงได้แต่ไปกราบท่าน ในวันที่ไปถึง และวันที่จะกลับจากวัดหินหมากเป้งเท่านั้น
จนเมื่อปลายปี 2538 ขณะที่ไปนั่งฟังท่านเล่าเรื่องของท่าน
และผมจะคอยแหย่ให้แม่ร่าเริงเบิกบาน ท่านก็ยิ้มไปยิ้มมา
แล้วจู่ๆ ท่านก็หยุดกึก มองหน้าผม กล่าวว่า
ลูกถึงพระไตรสรณคมน์แล้วนี่ ผมก็รับว่าใช่
ท่านจึงมอบต้นฉบับหนังสือที่ท่านเขียนขึ้นให้ผมแปลให้
อันเป็นที่มาของหนังสือ ทางพ้นทุกข์ ในที่สุด
ครูบาอาจารย์ในสายหลวงปู่มั่น ท่านนิยมใช้คำว่า
ถึงพระไตรสรณคมน์ นี้โดยทั่วกัน - ปราโมทย์)
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:19:11

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:20:28
พบเสือสง่าครั้งที่ 3 

        ครั้งแรกพบที่อุดรฯ ก่อนบวช  ครั้งที่ 2 ที่วัดป่าพระสถิตย์ 
นี่เป็นครั้งที่ 3  มันขึ้นไปกับเพื่อนๆ  ยังหนุ่มอายุไม่ถึง 50 ปี 
เสือสง่าแก่แล้ว  ผมขาว 
คนหนุ่มถามว่าแม่ชีมีกี่คน เราบอกว่ามี 2 คนกับพี่สาวแก่แล้ว 
พอดีพี่สาวเดินมา  มันหัวเราะฮ่าๆ ยังไม่แก่  กำลังดี 
วันนี้เราจะนอนที่นี่  เราจะสนุกกันใหญ่วันนี้ 

ดิฉันนั่งคิด  เราคงจะทำกรรมกับคนพวกนี้มา เขาจึงตามขึ้นมา 
ชาติก่อนเราคงทำชั่วมากจริงๆ 
เอาละ  ถ้าเป็นเช่นนั้นชาตินี้เราจะขอใช้เวรกรรมเสียให้หมดสิ้น  
อย่าได้มีเวรมีภัยสืบต่อไปเลย  คิดแล้วจึงพูดขึ้นแต่โดยดีว่า 
คุณน้า ถ้าจะพักที่นี่  เชิญขึ้นไปข้างบนกุฎิอาจารย์มีทุกอย่าง 
มันหันขวับมาตวาดว่า  มีงไม่ต้องพูด กูอยากอยู่ที่ไหนกูก็จะอยู่ 
มันควงมีดเดินไปเดินมาแทงโน่นแทงนี่ทำอาการฮึดฮัดขัดเคือง 

ดิฉันนั่งกินหมาก ในใจนึกว่าวันนี้คงเป็นวันตายของเรา  เขามาตามเราแล้ว 
เอาเถิดตายก็ตาย ตั้งสติให้ดีนะมันเดินไปทำท่าทีอย่างนี้ๆ 
มันกลับมามันจะข่มคอเราลงเอามีดแทงพรวด 
เราจะตั้งสติอย่างไร  จะเอาอะไรเป็นหลักของจิต 
จิตบอกว่าจะระลึกถึงพุทโธ  ตั้งสติอยู่กับลมหายใจ 
ถ้ามันแทงลงไป  เราตั้งสติกำหนดลม  ลมเข้าไม่ได้มันก็ตาย 

จิตถาม  มันจะไม่ร้องหรือ  ไม่ครางหรือ ไม่ดิ้นหรือ สอบกันไปสอบกันมา 
จิตอีกดวงตอบว่า  รับรองได้  มีสติอยู่กับลมเข้าลมออก  เลยไม่เกี่ยวข้องกับกาย 

เวลานั้นเย็นลงมากแล้ว  ลองพูดกับเขาอีกครั้งว่า 
คุณน้า ถ้าไม่กลับก็เชิญขึ้นไปหาอาจารย์ข้างบน 
ถ้าจะกลับก็เชิญกลับไปได้แล้วเพราะคุณพ่อคนนี้(เสือสง่า)เหมือนคุณพ่อฉันจริงๆ 
ดิฉันเป็นห่วงมาก  ท่านแก่แล้ว  ตาก็ไม่ดี 
เดินค่ำๆ มืดๆ กลัวจะหกล้มหกลุก  จะลำบากแก่คุณน้า 
มันโกรธมาก  พูดกระชากๆ ว่า 
ไม่ใช่หน้าที่ของมึง  กูอยากไปกูก็ไป 
มันขว้างมีดฟันดินดังปังเกรี้ยวกราดขึ้นทันที 
คว้ามีดราวกับจะเดินเข้ามาหาเรา 
จิตบอกตั้งสติให้ดี เราสอบจิต  สติแน่นอยู่กับลม 
ชั่วครู่คนแก่ซึ่งนั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มแรกก้าวเข้ามา ไม่เคยพูดเลย 
พูดขึ้นว่า  กลับ  พูดคำเดียวเท่านั้น 
เพื่อนตอบว่า ไป  กลับก็กลับ 
พอมันเดินคล้อยหลังลับตาไป 
ดิฉันตั้งสัตย์ขอให้มันไปพ้นที่นี่ให้ไกลที่สุดอย่าได้อยู่ในเขตนี้เลย 

ตอนค่ำมันไปหยุดผิงไฟอยู่ในหมู่บ้าน 
ชาวบ้านแอบได้ยินมันพูดอย่างโกรธเคืองว่า 
ทำเรื่องแบบนี้มาจนหัวขาวแล้ว  ไม่เคยพลาด 
คราวนี้ทำไมเป็นอย่างนี้  เจตนาจริงๆ ตั้งใจจะไปทำร้ายมัน 
ทำไมใจอ่อนยวบๆ ดึงไม่ขึ้น  แปลกจริงๆ 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:20:28

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:23:01
งูใหญ่กลับใจ ผงกหัวคำนับ 

        ปะขาวเฒ่าบอกว่า  ในถ้ำข้างบนมีงูใหญ่  ระวังอย่าขึ้นไป 
คืนหนึ่งเดือนหงาย  ดิฉันนั่งอยู่ในมุ้งกลดบนร้านเตี้ยๆ 
ได้ยินเสียงข้างบนดังอึกทึกสั่นสะเทือนลงมาถึงข้างล่าง 
แผ่นดินไหวเหมือนภูเขาจะพังทลายลงมา 
เสียงดังใกล้เข้ามาๆ  ลมพัดแรงขึ้นๆ 
ลมตีมุ้งกระพือเข้าหน้าตลอดเวลาไม่ขาดระยะ 
อยากลืมตาขึ้นดู  แต่จิตห้ามไว้ไม่ให้ลืมตา 

พอมัน(งู)มาถึงตีนภูเขา  มันตกใจ  จิตมันคิดว่า 
อะไรนะขาวๆ ยาวๆ ดูเหมือนกะท่อนไม้ (กลดของคุณแม่น้อย - ปราโมทย์) 
มันอะไรกันแน่นะ 
ปรากฎว่าเรารู้จิตของมัน 
มันคิดอยากจะลองเอาหางไปเกี่ยวดูว่าจะมีอะไรอยู่ใน(กลด - ปราโมทย์)นั้น 
มันคิดอย่างนั้น 

จิตดวงหนึ่งบอกว่า  งูนะงูมันจะเอาหางมารัดเจ้านะ ตั้งสติให้ดี  ตั้งสติไว้ที่ลม 
งูจะรัดเจ้าแน่นเข้าๆ  จนกระดูกหักหมด  แล้วมันจะกลืนเจ้าเข้าไป 
ตั้งสติไว้ให้ดี  อย่าเผลอ มีสติแน่นอยู่กับลม  ลมละเอียดเข้าๆ 
มาพิจารณาดูว่า เราเข้าไปอยู่ในท้องงู 
เรายังไม่ตาย สติยังมีอยู่  ไม่รู้สึกเจ็บปวด 
เมื่องูกลืนเราเข้าไปอยู่ในท้องแล้ว  มันไปไม่ได้  เราตายงูก็ตายไปด้วย 
แต่จิตของเราออกไปแล้ว  จิตไม่ตาย  นี่ เป็นเรื่องของกายเป็นอาหารงู 

จิตดวงหนึ่งถามว่า  จิตออกไปแล้วไปอยู่ที่ไหน 
จิตดวงหนึ่งตอบว่าไปตามหน้าที่ที่ทำมา  ทำขีดไหนก็ไปตามขีดนั้น 
ขณะนั้นปรากฎว่าจิตงูอ่อนลง  มันก้มหัวลงผงก 3 ครั้ง 
แล้วเบนหักออกแล้วไปตามห้วย 
จิตตามดู  เห็นงูใหญ่มากสีเทา  หัวมันโตเท่าอ่างดินสำหรับใส่น้ำ 
มองตามมันเลื้อยไป  ลมพัดมุ้งพรึ่บๆ 

จิตหนึ่งบอกว่าอย่าลืมตาๆ  เราคิดดูงูคงจะใหญ่จริงๆ 
เพราะเวลามันเลื้อยไปได้ยินเสียงต้นไม้ใหญ่หักเป็นระยะๆ นานราว 2 - 3 ชั่วโมง 
จิตเรารวมลงมานั่งอยู่ตลอดคืน  มันก็กลัวเหมือนกัน  แต่ไม่กลัวมาก 

        ต่อมาอีกราว 1 เดือน  พระจันทร์เต็มดวง 
ดิฉันไปเดินจงกรมอยู่ที่ริมป่ายอดห้วยเล็กๆ ต่อจากห้วยใหญ่ๆ มีลานหินสะอาดน่าเดิน 
ทีแรกคิดกลัวเสือคอยฟังแต่เสียงเสือ คิดว่าถ้าเสือมาจะหนีขึ้นกุฎิ 
ระหว่างเดินอยู่ได้ยินเสียงเสือร้องมาแต่ไกล 
แต่ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไรเลยไม่กลัว 
คงเดินจงกรมอยู่ตามปกติ  เสือร้องใกล้เข้ามาๆ 
ได้กลิ่นเหม็นสาบฉุนกึก  ห่างไม่เกิน 4 - 5 วา 
จิตบอกว่าเสือนะ  เสือใหญ่มาแล้ว  เดี๋ยวนี้มันหมอบลงแล้ว 
มันจ้องมองดูอยู่อย่าประมาท  ควรหลีกไป 
จึงหยุดเดินจงกรม เลี่ยงไปขึ้นกุฎิแล้วก็ไม่มีอะไร  เรื่องก็หายไป 

เมื่อถึงคราวที่สุดแล้ว  ยอมสละชีวิตเพื่อตาย  ย่อมได้สิ่งที่ไม่ตายขึ้นมา 

ความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ 

        ภูหินคันนานี้เป็นที่เหมาะสำหรับนักปฎิบัติ 
เพราะนอกจากเป็นสถานที่วิเวกปราศจากผู้คนแล้ว 
ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่ให้ความเพลิดเพลินและน่าหวาดเสียวสะพรึงกลัว 
เช่น นกนานาชนิด  กระต่าย  เสือร้าย  คนร้าย  และผี 
แต่ผีที่นี่เป็นผีสัมมาทิฎฐิ  ไม่ร้ายกาจ  ไม่เหมือนผีที่วัดหนองบัวทอง 
นอกจากว่าใครประพฤติตัวไม่ดีจะต้องถูกสั่งสอนบ้างพอให้เข็ดหลาบ 
เช่น ชาวบ้านขึ้นไปทะเลาะกันจะต้องเจ็บป่วยลงมา 
แม่ชีก็เหมือนกันต้องมีอินทรีย์สังวรทุกเมื่อ 
จะพูดจะเล่นหัวเราเยาะเย้ยถากถางกันไม่ได้ 

        ก่อนขึ้นไปอยู่ภูหินคันนา  เราตกลงกันไว้ว่า 
ถ้าขัดข้องสิ่งใดเราจะไม่ขอใคร  จะยอมอดทุกอย่าง 
เช่น ถ้าไม่มีข้าวสาร อด 9 - 10 วัน อยู่ได้ไม่เป็นไร 
ถ้าอดถึง 15 วัน หากอยู่ได้ก็อยู่  แต่ไม่ยอมไปขอใครเด็ดขาด 
ทั้งๆ ที่ชาวบ้านได้ปวารณาไว้อย่างแข็งขัน 
และเราก็ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ 
เพราะเรายอมสละแล้วทั้งภายนอก ภายใน 
ตลอดเวลาที่เราอยู่ภูหินคันนา นาน 2 ปี  ไม่เคยขัดข้องสิ่งใด 
สมมุติว่าวันนี้ขาดสิ่งของสิ่งนี้  รุ่งขึ้นก็ได้สิ่งนั้นมาทุกอย่าง  ชาวบ้านเอาขึ้นไปบังสกุล 
บางวันเราไปตัดไม้อยู่ฟากภูเขาข้างโน้น 
กลับมามี ข้าวสาร ปลาร้า เกลือ หมากพลู วางอยู่บนชะง่อนหิน  เอาใบไม้ปิดไว้ 
ออกพรรษาแล้ว มีแม่ชีจากที่ต่างๆ ขึ้นไปเยี่ยม 
บางครั้งมีมาก 20 - 30 คน  แต่ไม่เคยอด 
มีแม่ชีมากหรือแม่ชีน้อยก็พอเลี้ยงได้ไม่ขาดตกบกพร่องเป็นที่น่าอัศจรรย์จริงๆ 

        เราทำความเพียรอย่างยิ่งยวดทั้งกลางวันกลางคืน 
นอนบ้างเพียงเล็กน้อย  ไม่เกี่ยวข้องกับชาวบ้าน 
แม้กับพี่สาวก็ไม่พูดคุยกัน  ต่างคนต่างอยู่ 
การภาวนาก็ได้ผลดีเป็นที่น่าอัศจรรย์ 
สามารถเข้าใจภาษานกได้ ใจกล้าแกร่งไม่กลัวอะไร 
แม้กับผีก็องก๋อยก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนเหมือนเรา 
ปกติผีก็องก๋อยมักไปด้วยกันเป็นแพ 20 - 30 ตัว 
ส่งเสียงร้อง ก็องก๋อย ก็องก๋อย ๆ ๆ ๆ 
โบราณว่าถ้ามันร้องก็องก๋อย  มันมักจะมาทำร้ายให้ตาย 
(เรื่องผีกองกอยนี้ คุณแม่น้อยเคยเล่าให้ผมฟังว่า 
ตัวมันเล็กขนาดเด็ก เท้าของมันเล็กๆ สัก 3 นิ้วเท่านั้น - ปราโมทย์) 

        เราจับเรื่องผีมาพิจารณาอีก  อะไรเป็นผี 
ตอบว่า  ก็คนละซี 
ถามว่า  คนเป็นผีได้อย่างไร 
ตอบว่า  ไม่เห็นหรือ  เขาแบกปืนเข้าป่าทุกวัน 
ก็คนจำพวกนั้นละซี  ไม่มีศีลมีธรรม  ตายไปก็กลายเป็นผี 

ถามว่า  เขาร้องทำไม 
ตอบว่า  เขาม่วน (เขาสนุก) นะซี  เหมือนกับคนนั่นแหละ 
คนออกจากบ้านก็ร้องรำทำเพลงสนุกสนาน 
นี่เขาออกไปหากิน  เขาก็ร้องรำทำเพลงขับกล่อมกันไป 
เพลิดเพลินสนุกเฮฮาหรือเศร้าโศกเสียใจ 
ก็จิตดวงเดียวของมนุษย์นี่แหละ 
ที่เขาไปเกิดเป็นผีก็องก๋อยหรือเป็นเสือนั้น  เพราะเขาได้ทำบาปไว้ 
เขาจึงไปเกิดในคตินั้นๆ 
แต่จิตดวงเดียวของมนุษย์นี้ไปครองเข้า 
จึงเป็นไปตามคติของตน  ตนจะไปกลัวกันทำไม 
จิตไม่มีกลัว  แต่เราไปหลงถือกันจึงกลัวกัน 

        อยู่มาวันหนึ่ง  อาจารย์บอกให้ดิฉันไปตัดไม้มาให้มากๆ 
(อาจารย์ เป็นคำเรียกหาพระที่มีอาวุโสหน่อย 
ถ้าอ่อนอาวุโสจะเรียกว่าครูบา 
อาจารย์ ไม่ได้หมายความว่า เป็นครูบาอาจารย์ของเราจริงๆ 
และที่พระต้องให้ชีตัดไม้ให้ ก็เพราะเป็นพระ ตัดต้นไม้เองไม่ได้ - ปราโมทย์) 
ดิฉันคิดว่าท่านจะปลูกกุฎิใหม่ให้เณร 
ดิฉันกับพี่สาวช่วยกันไปตัดไม้มากองไว้ 
แล้วมานั่งพักเหนื่อยดูว่าอาจารย์จะมาทำอะไร 
เห็นท่านล้อมรั้วกุฎิหนาทึบล้อมรอบไม่มีประตูเข้าออก 
ท่านเล่าให้ฟังว่า  วันก่อนเสือลงมากินน้ำ  แล้วขึ้นมาที่กุฎิ 
ท่านเคยคิดมาก่อนแล้วว่า  ไม่วันใดก็วันหนึ่งเสือขึ้นมา 
ท่านจึงเตรียมระฆังกับมีดพร้าไว้ 
คิดว่าถ้าเสือขึ้นมาจะเคาะระฆังให้เสือตกใจหนีไป 
แต่พอเสือมาจริงๆ  ท่านจะยื่นมือไปจับมีดพร้าก็ยื่นไม่ออก 
มือไม้แข็งกระด้างไปหมด 
จนกระทั่งเสียงเสือร้องไกลออกไป  จึงค่อยหายสั่น 

ดิฉันถามว่าอาจารย์ล้อมปิดหมดอย่างนี้  อาจารย์จะเข้าออกทางไหน 
ท่านบอกว่า  จะเว้นช่องไว้เฉพาะตัวคลานรอดเข้าไปได้ 
ดิฉันบอกว่า  อาจารย์มัวแต่ก้มลงรอดเข้าไป  เสือคงคาบอาจารย์ไปกินก่อนแล้ว 

อาจารย์ถามว่า  ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร 
ดิฉันบอกว่า  อาจารย์กลัวเสือ  สวดมนต์เสร็จอาจารย์รีบเดินมาจากศาลา 
ถ้าอาจารย์ทำประตูไว้  พออาจารย์มาถึงรีบผลุบเข้าไปเลย 
ทางประตูขัดกลอนเข้าในเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ 
เร็วกว่าก้มลงคลาน เสียเวลาเปล่าๆ 
อาจารย์เห็นด้วย  รับว่าจริงของคุณแม่ 
อาตมากลัวมาก  จึงได้ทำอะไรโง่ๆ ทำนองนั้น 
อาจารย์ได้อุบายจากลูกศิษย์  ศิษย์ที่ดีย่อมมีประโยชน์อย่างนี้ 

        ต่อมาดิฉันไปอยู่กับอาจารย์องค์อื่น 
วันหนึ่งมีเทศน์มหาชาติ  คนมาทำบุญเต็มศาลา 
หลังจากอาจารย์เทศน์จบ 
ดิฉันขอโอกาสให้ท่านมานั่งใกล้ๆ  เพื่อศึกษาให้สิ้นความสงสัย 

ท่านถามว่า  คุณแม่สงสัยอะไร 
ดิฉันเรียนท่านว่า  จิตดิฉันเมื่อกระทบอิฎฐารมณ์  มีความพอใจยินดี 
ถ้ากระทบอนิฎฐารมณ์  จิตดิฉันพองขึ้นด้วยความโทสะ โมหะ 
มีแต่ความโกรธ ความชัง พองขึ้นมาเหมือนอึ่ง 
หักห้ามด้วยความอดกลั้นขันติ 
แต่จิตก็เศร้าหมองขุ่นมัวอยู่กับเรื่องนั้นไม่สงบลงได้ 
ดิฉันเป็นอย่างนี้จะใช้ได้หรือ  เป็นนักบวชแล้ว 

อาจารย์ถามว่า คุณแม่คิดว่าจิตพระจิตเณรเป็นอย่างไร 
ดิฉันคิดว่า  จิตท่านไม่หวั่นไหว  วางเฉยได้หมด ทั้งดีและชั่ว 
จิตท่านเยือกเย็นที่สุด 

อาจารย์ตอบว่า  ถ้าเป็นพระอิฐพระปูนได้เหมือนคุณแม่คิด 
จิตพระปุถุชนก็เหมือนจิตคุณแม่ 

ฮึม เป็นพระแล้วยังรับอารมณ์ต่างๆ อยู่หรือ  เราสิ้นสงสัย จิตสว่างจ้า 
ทีแรกคิดเป็นแต่เรางมคนเดียว  เราไม่รู้จักอะไร  จะแก้กิเลสตัณหาอย่างไรก็ไม่รู้ 
งมงายอยู่ 20 พรรษา  งมผิดงมถูก  พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า 
มีความสงสัยแต่ไม่กล้าเข้าหาครูบาอาจารย์ 
เพราะความกลัวไม่กล้าถาม  ไม่กล้าคิด 
เมื่ออยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์  ใช้สติบังคับจิตอย่างเต็มที่ 
กลัวว่าถ้าคิดผิด  ท่านจะสั่งให้สึก  ดิฉันไม่อยากสึก กลัวอย่างที่สุด 

        ครั้งหนึ่ง อาจารย์มหาถวัลย์ป่วยทางจิต  เขาเรียกว่าวิปัสสนู 
อาจารย์คำมุ่ยร้องไห้ไปหาดิฉัน  บอกให้ช่วยอาจารย์ด้วย 
ดิฉันจนใจ  จะช่วยได้อย่างไรอาจารย์เป็นถึงมหา 
ดิฉันเป็นหญิงจะเอาความรู้ที่ไหนไปแก้ไขท่าน 
อาจารย์คำมุ่ยรบเร้าหนักเข้าจึงตัดสินใจลองดูบ้าง 
เวลาขณะนั้นมืดแล้ว  จุดไฟเดินไป 
พออาจารย์เห็นท่านรู้ได้ทันที  พูดว่า 
โน่น คำมุ่ย คุณแม่พิมพามาแล้ว  จะมาแก้วิปัสสนู ให้ผม  จุดไฟมาโน่นแนะ 
ดิฉันขึ้นไปกราบท่าน  มองตาใสแจ๋วน่ากลัว  จะมาแก้วิปัสสนูหรือแก้ๆ 
ดิฉันตอบไปว่า  ไม่ใช่ดิฉันจะมาแก้ท่านอาจารย์ 
ดิฉันอกจะแตกอยู่แล้ว  รอท่านอาจารย์ให้หายป่วยก็ไม่หาย 
ไม่มีใครจะแก้ไขจิตให้ดิฉันได้ จิตของดิฉันขัดข้องที่สุด 
ขอโอกาสท่านอาจารย์อย่าเพิ่งพูดนะ  จิตดิฉันจะเตลิด 
ถ้าดิฉันระลึกได้ดิฉันจะพูดเอง  ขอโอกาสให้ดิฉันควบคุมสติเสียก่อน 

ท่านนั่งนิ่งหลับตา  ดิฉันเห็นว่าท่านฟังอยู่จึงพูดว่า 
ดิฉันพิจารณาดูเห็นว่า  ถ้าเราเผลอสติ  จิตก็ลอยไปตามลม 
เหมือนขว้างนุ่นลงไปในแม่น้ำโขง  แล้วแต่ลมจะพัดไป 
ติดที่ไหนข้องที่ไหนก็อยู่ที่นั่น  จิตผู้ไม่มีสติเป็นอย่างนั้น 
ส่วนผู้มีสติสมาธิมั่นคง  จิตก็มั่นคงเหนียวแน่น  เหมือนเอาก้อนหินขว้างลงไปแม่น้ำโขง 
น้ำจะลึกสักเท่าไรก็สามารถหยั่งถึงดินได้  ใช่ไหมท่านอาจารย์ 
ท่านตอบว่าถูกแล้ว  ถ้าไม่เป็นของปลอม 

        ตื่นเช้า  ท่านมีจดหมายมาว่า 
อาตมาเป็นวิปัสสนูจริงๆ  คุณแม่รอก่อน  จะพิจารณาไปอีกสัก 3 วัน 
ถ้าไม่ตรงอย่างคุณแม่ว่าจะบอกอีก 
อาจารย์คำมุ่ยเล่าว่า  ตั้งแต่คุณแม่ไปพูดอย่างนั้นแล้ว 
อาจารย์สงบลงไปไม่วิ่งหนีออกจากวัดเหมือนแต่ก่อน 
อาตมาได้นอนหลับสบายทั้งคืน 

ดิฉันเป็นห่วงอาจารย์มากได้ตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ครูบาอาจารย์ในประเทศไทย 
จะอยู่ไกลแสนไกล  ก็ขอให้ร้อนใจมาช่วยให้อาจารย์คงอยู่ในศาสนาต่อไป 
หลังจากนั้นมีอาจารย์จากที่ต่างๆ ไปแน่นศาลาทุกวัน 
แต่ท่านอาจารย์ยังไม่หาย  คงเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครแก้ได้ 
ดิฉันคับใจมาก  บางครั้งมีครูบาอาจารย์มาเต็มศาลา 
ท่านขึ้นไปบนศาลา ไม่ครองจีวร  ไปถึงก็นอนลงเลย  ไม่กราบไม่ไหว้ 

        สติสัมปชัญญะท่านยังบริบูรณ์อยู่  ท่านทราบทุกอย่าง 
อาจารย์องค์ไหนเป็นอย่างไร จะแก้ไขท่านได้หรือไม่ 
ดิฉันพอเรียนถามท่านว่า  จะไปหาอาจารย์องค์นั้นเอาไหม 
ท่านว่า เออ พออยู่กัน 

องค์นี้เอาไหม 
ท่านว่า เออ ค้ำกัน 

คิดจะไปหาอาจารย์อ่อนศรีที่ท่าบ่อ  ท่านห้ามอย่ามา 
องค์นั้นเป็นไฟ มันลุกพรึบใส่กัน 

คิดจะไปหาอาจารย์ฝั้น 
คุณแม่จะไปถึงหรือ ท่านอยู่ที่ไหนไม่ทราบ 
จะไปถามเอา  จะไปให้ถึง 
ท่านนิ่งไม่พูด  เอาหรือไม่เอาถามทุกองค์ที่รู้จัก 

ท่านอาจารย์เทสก์ล่ะเป็นอย่างไร 
อาจารย์ท่านถามว่า  ท่านอาจารย์(หลวงปู่เทสก์ - ปราโมทย์) อยู่ไหนล่ะ 
ตอบไปว่า อยู่ภูเก็ตโน้น 
ท่านว่า  ทำไมถึงไกลแท้  ทำไมถึงจะมาได้ล่ะ 
เราก็บอกว่า  ก็นั่นละซีท่านอาจารย์  ท่านจะช่วยแก้ได้ไหม 
ท่านตอบว่า  ได้ ถ้าท่าน(หลวงปู่เทสก์ - ปราโมทย์) มา 

        ไม่นานได้ข่าวว่าท่านอาจารย์เทสก์มาอีสานแล้ว 
ได้ให้อาจารย์อ่อนศรีไปนิมนต์  กำชับว่าขอให้นิมนต์มาให้ได้ 
ไม่นาน เพียง 30 นาทีก็ยังดี  ขอแต่ให้ท่านมาให้เห็นอาจารย์องค์นี้ 

รุ่งเช้า  อาจารย์อ่อนศรีพาท่านอาจารย์เทสก์ข้ามโขงไป 
ท่านอาจารย์ไปหาอาจารย์มหาถวัลย์ ประเดี๋ยวเดียว 
อาจารย์มหาถวัลย์เดินหน้าชื่นลงมา 
ดิฉันดีใจมากที่สุด  จิตใจเบิกบานโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก 
ตอนเย็น  ชาวบ้านมาประชุมพร้อมกัน 

ท่านอาจารย์เทสก์ถามว่า แม่ชีภาวนาเป็นอย่างไร 
เวลานั้นดิฉันกำลังพิจารณาขันธ์5  อยู่หนักอกยุ่งไปหมด เห็นแต่ทุกข์ 
ตอบว่าไม่เห็นอะไร เห็นแต่ทุกข์ 

ท่านตอบว่า  บวชมาจะให้เห็นอะไร  ก็ให้เห็นทุกข์ล่ะซี  เรื่องบวชก็มีแค่นี้ 

หลายปีต่อมา  ท่านข้ามไปเวียงจันทน์อีก 
ท่านชวนว่า  แม่ชีไปภูเก็ตกับข้อยไหม 
ไม่ไปหรอกท่านอาจารย์  มันไกล ไปไม่ได้ 

ตอนหลังเมื่อท่านเป็นเจ้าคุณแล้ว  ท่านชวนอีก 
ตอบท่านว่า  ท่านอาจารย์ได้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณแล้ว 
ดิฉันขี้เกียจรับแขกเจ้าแขกนาย 
เจ้านายขึ้นไปแต่ละครั้ง 11 นาฬิกาแล้ว  ยังไม่ได้รับประทานอาหาร 
ไม่เอาแล้ว  ดิฉันจะไปอยู่ตามดง หาผักหาหญ้ากินตามประสาชาวบ้านนอก  สบายดี 

ท่านว่า  ข้อยก็คิดเหมือนเจ้า  อยากปลีกตัวออกอยู่เสมอ 
จะพยายามหลีกไปหาป่าอยู่เหมือนกัน 
ธรรมะและอุบายมิใช่จะมีได้แต่ผู้ชายหรือ 
นักบวชหญิงและฆราวาสก็มีได้เหมือนกัน 
ผู้ที่เมตตาปรารถนาหวังดีต่อบิดา มารดาจะเป็นเด็กอยู่ก็มีได้เหมือนกัน 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:23:01

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:24:38
ขึ้นภูลังกา 

        ต่อมาพี่สาวมาเยี่ยมที่วัดหนองบัวทอง 
แล้วชวนลงไปที่ภูลังกา  จังหวัดนครพนม 
ก็เลยตามเขาไปอยู่วัดโนนคะนึง 10 วัน 
ก็มีพวกวิปัสสนามาศึกษาธรรมะตั้งแต่เช้าถึงค่ำ  มากันเยอะ 
ตอนกลางคืนเขามากันเยอะตั้งหลายวัน 
เราไม่ได้พักผ่อนจนหัวใจสั่น 
เขาเห็นเราเป็นอย่างนั้นแล้ว  เขาก็เอามายามาให้ทาน  ก็พอสงบลงไปได้หน่อย 
เขาว่าถ้าหยูกยาอยู่ร้าน จะเอารักษาคุณแม่ให้หาย 

แล้วคนก็มามากเข้าทุกที  เราก็ทนไม่ไหว 
จึงหาวิธีหลีกไปบ้านนาวัว  ไปพักอยู่วัดร้างก็ค่อยยังชั่วหน่อย 
คนเยอะก็เหมือนกัน  แต่เขาไม่มีความรู้ 
เขาก็มาเรียนไหว้พระสวดมนต์  หัดนั่งสมาธิ  ภาวนา  เดินจงกรมก็ค่อยยังชั่ว 
เพราะว่าเขาไม่มีความรู้ แต่เขามีศรัทธาความเชื่อมั่น 
เราบอกเขาอย่างไรเขาก็ทำตามหมดทุกอย่าง 
อยู่ที่นั่นได้ครึ่งเดือน  เขาก็มาชวนขึ้นไปภูลังกา 
บางคนก็พูดว่า  ท่านไม่รับแม่ชี  ไม่พูดกับแม่ชีเลย 
เราก็มาคิดว่า  รับหรือไม่รับ  พูดหรือไม่พูด  แล้วแต่บุญเรา 
เป็นแต่เพียงว่าให้เราได้กราบท่านแล้ว ก็จะลงมา 
มีแม่ชี 2 คน ขึ้นไปที่ภูลังกา 
ภูลังกาสูงมาก  ขึ้นไปถึง มองลงมาเห็นควายเท่าหมูน้อย 
บางทีมีเมฆไหลอยู่ใต้ภูโน่น 
เราขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนั้นตั้ง 9 ลูก  มาถึงภูลูกที่ 8 
เรามาถึงก่อนเพื่อน มารอท่าเพื่อนอยู่ที่นั้น 
ก็มองไปเห็นถ้ำใหญ่  เราก็คิดว่าเป็นถ้ำอาจารย์ เราก็ดีใจว่าจะถึงแล้ว 
ก็เลยเห็นพ่อขาวมามองดูเรา  แล้วก็ไปจับไม้กวาดมากวาด 
เอาเสื่อมาปูไป  เอากรอกน้ำใส่มาวางไว้  แล้วก็ดูเราอีก 
พอพี่สาวมาถึงก่อน  เราก็เลยพูดถามพี่ว่า นี่หรือถ้ำอาจารย์ 
พี่สาวตอบว่าไม่ใช่  พี่สาวนั่งลง  ยกมือขึ้นแล้ว สาธุ ๆ 
พี่สาวบอกว่าเข้าไปอีกนานเลย  เข้าไปข้างหน้าโน้น 
พวกเราเดินถึงที่นั้นก็เลยไม่มีถ้ำ  มองไปที่ไหนก็มีแต่หน้าผาไปหมด 
เราหิวน้ำ นั่งพักก็ไปหาน้ำกินน้ำก็มีตามหลุมหินเล็กๆ มีแต่ใบไม้ 
เราก็ไปหามากิน พอกินแล้วก็มีกำลังมากขึ้น 

ถ้ามีศรัทธาให้ขึ้นไปหาท่านอีก 

เราก็ตอบว่า มีสิ 
เราได้ยินท่านสั่งอย่างนั้นก็ดีใจใหญ่  เราก็ขึ้นไปอีก 
พอขึ้นไปถึง  มองไปที่ไหนก็ปรากฎว่ามีพระนั่งสมาธิเป็นย่านๆ 
เราก็ดีใจมากว่าพระมารับเรา 
พอไปถึงอาจารย์  ต้มน้ำร้อนจีบหมากไปถวายท่าน 
ท่านก็พูดขึ้นมาว่า 
อยู่ได้ไหม  พวกอาตมาจะขึ้นไปทำความเพียรด่านใหญ่หมดทุกองค์ 
จิตของเราคิดว่าอยู่ได้  แต่สละชีวิตมานี้ 
เพื่อจะฟังเทศน์ของท่านอาจารย์แล้ว  คงจะไม่ได้ฟังละหนอ 
เราเพียงคิดเฉยๆ ไม่ได้พูด 
ท่านพูด หรืออย่างไรล่ะ 

เราก็ตอบท่านว่าดิฉันสละชีวิตมานี้ก็ว่าอยากจะฟังเทศน์ท่านอาจารย์ 
เขาลือไปว่าท่านอาจารย์ไม่รับแม่ชี  ไม่พูดกับแม่ชี 
ดิฉันคิดว่าจะไม่รับไม่พูดกับดิฉันก็ช่าง ว่าแต่ได้กราบได้ไหว้แล้วก็เอา 

ท่านตอบว่า  ตาของอาตมาไม่บอด  จะรับทำไม จะพูดทำไม 
น้ำมันยิ่งอด  ไม่มีน้ำจะล้างถ้ำ 
ท่านเลยไม่ขึ้นไป  ท่านเลยเทศน์ให้ฟัง 
เรานั่งฟังเทศน์ จิตเราก็สงบลง 
จิตก็คิดขึ้นว่า  อยากจะอยู่ด้วยกับท่านอาจารย์  ถ้าท่านบอกว่าไปตาย ที่ไหนเราก็จะไป 

ท่านเลยเทศน์ขึ้นมาว่า  อาตมามาอยู่ภูลังกานี้  หาถ้ำไม่มีเลย 
ถ้ำที่อยู่เดี๋ยวนี้ที่เรามานั่งสมาธิทุกวันนี้  แต่ก่อนไม่มีถ้ำ  เป็นหน้าผาไปหมด 
จน 3 ปีแล้ว มีพ่อขาวไปบอกว่ามีถ้ำตรงที่อาจารย์ไปนั่งสมาธิอยู่ที่นั่นทุกวัน 
ท่านตอบพ่อขาวว่า อย่ามาโกหกอาตมาเลย  มีแต่หน้าผาไม่มีถ้ำ 
พ่อขาวพูด  นิมนต์ท่านอาจารย์ซิ 
พรุ่งนี้ ตื่นเช้าขึ้นมาท่านอาจารย์ไปดูเห็นเป็นความจริง 
มีไหเงิน 3 ไห เขามอบให้ท่าน  แล้วแต่ท่านจะเอาไปทำอะไรก็ช่าง 
ท่านก็ไม่เอา  ท่านบอกให้ฟังหมดทุกอย่าง  ท่านให้อยู่ตีนภูมีต้นยาง 3 ต้น 
ท่านจะรับรองหมดทุกอย่าง 
ว่าแต่คุณแม่จะอยู่ด้วยอาตมา  ถ้าว่าขึ้นไปไม่ไหว  อาตมาจะลงไปเอง 
ว่าแต่ตกลงใจจะอยู่หรือ 

เราก็พูดว่ากับเพื่อนว่าอยู่ไหม 
เพื่อนเขาไม่อยู่ มันไกลอาจารย์ไป  อยู่ไม่ได้หรอก  เรากลับดีกว่า 
เราก็ลาอาจารย์ไปอยู่วัดร้างเก่า 
เขาก็พาเราไปดูป่าตามเลียบภูลังกา  มีแต่ป่าดงดิบ  เสือกินควายอยู่แทบทุกวัน 
เราก็ย้ายไปอยู่ที่นั่น  มีญาติโยมไปปฏิบัติด้วย 10 กว่าคน 
ต่อมาก็มากขึ้นทุกที 

มีผู้ชายคนหนึ่งว่าจะแบ่งที่ดินให้เป็นวัด 
ผมจะสร้างให้เป็นวัดให้คุณแม่อยู่นี่ 
ผมจะรับรองทุกอย่างว่าแต่คุณแม่อยู่ไหม 
เราก็ตอบเขาว่าอยู่ไม่ได้  เพราะมีครูบาอาจารย์จะปกครอง 
ครูบาอาจารย์เราสั่งสอนอย่างนั้น 
เขาก็อ้อนวอนอยู่อย่างนั้น  เราก็ไม่อยู่เลย 
เราอยู่ก็ได้รับความสงบดีเยือกเย็นเพราะว่ามีแต่คนทำ  ไม่มีคนรู้ 
เราไปบิณฑบาตมาฉันแล้วก็นั่งสมาธิ เดินจงกรม อยู่อย่างนั้นเดือนกว่า 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:24:38

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:25:50
ประเทศลาวเกิดปฏิวัติ  มาอยู่วัดหินหมากเป้ง 

        เนื่องจากเกิดความไม่สงบขึ้นภายในประเทศลาว  ตอนกองแลปฏิวัติ 
ดิฉันจึงหนีมาอยู่กับหลานชายทางห้วยเม็ด 
ซึ่งเป็นอาจารย์อยู่ที่วัดหินหมากเป้ง  หนองคาย 
ต่อมาหลานชายสึก ร้างไม่มีพระอยู่ 
ดิฉันจึงกลับถ้ำผาบทกับอาจารย์สวด 
อยู่ได้ 5 ปี ก็ทราบข่าวว่า ท่านอาจารย์ ท่านพ่อพระนิโรธรังสี(หลวงปู่เทสก์ - ปราโมทย์) 
มาอยู่วัดหินหมากเป้ง 
ดีใจรีบมาหาท่าน  เพื่อศึกษาในอรรถในธรรม 
ดิฉันกลัวท่านมาก  กลัวท่านจะถามเรื่องปฏิบัติภาวนา 
ทั้งๆ ที่ได้ขะมักเขม้นอย่างเต็มที่ตลอดมา 
ดิฉันพูดไม่เป็น ไม่กล้าตอบท่าน 
ถ้าอาจารย์(พระภิกษุ - ปราโมทย์)องค์ไหน ถามว่า  แม่ชีภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง 
จิตคิดอยากกราบแล้วรีบหนีเลย 
ถ้าองค์ไหนถามว่า แม่ชีคิดอย่างไร 
ดิฉันก็ตอบว่า  ดิฉันไม่เคยได้ศึกษาเล่าเรียนอ่านหนังสือไม่ออก  เขียนไม่ได้ 
สามารถพูดและเข้าใจภาษาท้องถิ่น 
ดิฉันจึงกลัวปริยัตินัก กลัวว่าท่านอาจารย์ใช้คำแปลกๆ 
ดิฉันฟังไม่เข้าใจและตอบไม่ได้  จึงมักหลีกเลี่ยงไม่เข้าหาอาจารย์ 

        ต่อมาทางเวียงจันทน์มารับกลับไปอยู่ได้ 2 ปี 
ประเทศลาวกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 
ดิฉันกลับมาพบกับท่านพ่อที่วัดหินหมากเป้ง 

ท่านพ่อเทศน์ว่า  โลกกว้างไม่มีที่สิ้นสุด 
แต่ธรรมะนี้ปฏิบัติไปๆ มีที่สิ้นสุด
 
ดิฉันจับหัวข้ออันนี้มาพิจารณาอยู่ตั้งนานหลายปี 
พิจารณาว่าโลกคืออะไร  โลกอยู่ที่ไหน  ธรรมอยู่ที่ไหน 
ท่านว่าอะไรๆ อยู่กับตัวเราทั้งหมด 
จิตเราก็ตันตื้อพิจารณาวนเข้าหาตัว 
อะไรคือคน  พิจารณาไปๆ คนไม่มี มีแต่สมมุติ 
สมมุติเอาธาตุ 4 เป็นคน 
รู้ขึ้นมาอย่างนี้  พิจารณาธาตุ 4  เห็นดินแตกสลายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก 
น้ำซึมซาบออกทุกขุมขน  น้ำมูก น้ำหู น้ำตา สารพัดน้ำทั้งหลาย 
ไหลออกไม่หยุดหย่อนแตกสลายอยู่ตลอดเวลา 
พิจารณาธาตุไฟเป็นอย่างไร  แสงอาทิตย์นั้นเรียกว่า ธาตุไฟ 
ความอบอุ่นภายนอกภายในมันเนื่องกัน  นี่เรียกว่า ธาตุไฟ 
ธาตุลม เป็นอย่างไร 
คนเจ็บเป็นอย่างไร  คนตายเป็นอย่างไร 
เราก็พิจารณาในเรื่องธาตุ  อ้อ  ลมพัดดินไป อัดรูลม  มันจึงเจ็บที่นั่นที่นี่ 

ต่อมาพิจารณาเรื่องขันธ์ 5  รู้ว่าธาตุ 4 ขันธ์ 5 มันเกี่ยวเนื่องกัน 
ถ้าจิตหลงวนเวียนอยู่ในขันธ์ 5 
เป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน  ยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตน 
เมื่อเกิดตัวตนขึ้นแล้ว  เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ติดตามมาตามหน้าที่ของมัน 

พิจารณาอยู่หลายปี  เกิดความรู้แจ้งในอริยสัจจ์ 4  แต่จะแจ้งจริงเพียงไรยังไม่ทราบ 
จึงนำความรู้ไปกราบเรียน 

ท่านพ่อบอกว่า  ถูกแล้ว  ให้เขียนไว้ 
ดิฉันเขียนหนังสือไม่เป็น แต่เมื่อลองพยายามเขียนดูก็พอเขียนได้ 
เขียนแล้วส่งขึ้นไปให้ท่านพ่อตรวจ 
ท่านอธิบายแก้ไขให้ความสงสัยค่อยหมดไปทีละน้อยๆ 
ดิฉันเป็นคนโง่ ไม่รู้อะไร 
ฟังท่านพ่อเทศน์แล้ว ก็เก็บเอามาคิดพิจารณากลับเข้ากลับออก 
บางเรื่องพิจารณาอยู่ตั้งหลายปีกว่าจะรู้ได้ 

เมื่อรู้แล้วเขียนบันทึกไว้  เพื่อขอศึกษากับท่านพ่อตามโอกาส 
ต่อมา ท่านพ่อสั่งให้ดิฉันเขียนเป็นประวัติ 
ดิฉันมาวิตกหนักอกหนักใจไม่อยากจะเขียน 
เพราะกลัวคนทั้งหลายจะไม่เข้าใจ  ไม่เชื่อว่าดิฉันพูดคำสัตย์คำจริง 
แล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น 
ดิฉันจึงรั้งรออยู่นาน 

ครั้นมาคิดถึงพระคุณของท่านพ่อที่ให้ที่อยู่อาศัย 
เสื้อผ้า  เครื่องนุ่งห่ม  อาหารการกิน 
เจ็บไข้ได้ป่วย  ท่านก็อนุเคราะห์ให้ได้รับการพยาบาลรักษาเป็นอย่างดี 
ไม่เคยเดือดร้อนเพราะสิ่งใด  ทุกอย่างสำเร็จด้วยบารมีของท่านพ่อ 
พระคุณของท่านท่วมท้นสุดจะพรรณา  ควรหรือจะทำเฉยเมยไม่นำพาต่อคำพูดของท่าน 
เรามิกลายเป็นคนอกตัญญูไปหรือ 
พอคิดได้ดังนี้  ดิฉันรีบรวบรวมเรื่องราวเท่าที่จะพอจำได้มาเล่าสู่กันฟัง 
หากขาดตกบกพร่องผิดพลาดโปรดอภัยด้วย 
หากกุศลผลบุญอันใดพึงบังเกิดมี 
ขอน้อมถวายแด่ท่านพ่อ  เพื่อเป็นการบูชาพระคุณท่านเพียงสถานเดียว 

*********************************** 
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:25:50

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:28:48
ประวัติของคุณแม่น้อยที่ท่านเรียบเรียงถวายหลวงปู่เทสก์
จบลงเพียงเท่านี้แล้วครับ
เราจะเห็นได้ว่า ท่านเป็นนักต่อสู้ เป็นแบบฉบับอันดี
ไม่เฉพาะสำหรับผู้หญิงนักปฏิบัติ
แต่เป็นแบบฉบับสำหรับนักปฏิบัติรุ่นหลังทุกเพศ ทุกฐานะทีเดียว
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 21:28:48

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 22:24:16
สาธุ สาธุ สาธุ ขอบพระคุณคุณอามากค่ะ
โดยคุณ กระต่าย วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 22:24:16

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ดังตฤณ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 23:25:31
ฮ่ะๆ ทำไมพิมพ์เร็วจัง
ใช้ ocr หรือเปล่าครับนี่
โดยคุณ ดังตฤณ วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 23:25:31

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ Lostboy วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 23:34:34
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอบคุณพี่ปราโมทย์มากครับ ที่นำมาให้พวกผมได้อ่านกัน

อ่านแล้วเหมือนได้สัมผัสโลกของนักภาวนาของจริง รู้สึกยินดีตามคุณแม่ชีน้อยและนักรบนักภาวนาท่านอื่น ที่มีชีวิตที่หมดจดงดงาม อยู่ในโลกของนักภาวนา
จนผมเกิดฉันทะ อยากที่จะมีชีวิตเช่นนั้นบ้าง

ผมอ่านประวัติของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาพอสมควร แต่ก็ไม่เคยได้อ่านประวัติที่เล่าละเอียดลึกลงไปถึงอาการของจิต และการคลี่คลายปัญหาด้วยปัญญาของจิต ดังเช่นประวัติของคุณแม่ชีน้อย
ผมว่าหากใครตั้งใจอ่าน และส่งใจตาม ก็อาจจะได้อะไรดีๆเพิ่มขึ้นมาอีกมากเลยทีเดียว

ขอกราบคุณแม่ชีน้อย ในฐานะที่ประวัติการปฏิบัติภาวนาอันโชกโชนของท่าน คลี่คลายมาเป็นศรัทธาและสัมมาทิฐิให้แก่คนรุ่นหลัง
ขอกราบขอบพระคุณพี่ปราโมทย์ที่นำธรรมของท่านมาให้พวกผมได้อ่านกันครับ
โดยคุณ Lostboy วัน เสาร์ ที่ 27 พฤษภาคม 2543 23:34:34

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 05:30:21
พี่นุชเป็นคนพิมพ์อยู่วันกว่าๆ ครับตุลย์ ถ้าพี่เองเดือนหน้าจึงจะได้อ่าน

ขอส่งท้ายเรื่องของคุณแม่น้อย ด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ไม่มีในหนังสือนะครับ
คิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่พวกเราที่จะไปกราบท่านบ้าง

ข้อแนะนำในการไปกราบคุณแม่น้อย และเรื่องบางเรื่อง

คุณแม่น้อยเป็นผู้มีความเมตตามาก 
ใครไปหาท่าน จะคนเก่าหรือคนใหม่ 
ท่านก็ให้ความเมตตาเสมอกันทั้งนั้น
ถ้าเข้าไปหาท่านพร้อมกันหลายๆ คน
ท่านมักจะเล่าอะไรต่ออะไรให้ฟังเรื่อยๆ ไป
แล้วแต่ธรรมอันใด ซึ่งก็มักจะเป็นกิเลส 
หรือธรรมของคนใดคนหนึ่งที่เกิดไปกระทบจิตท่านเข้า
ท่านก็จะแสดงธรรมโปรด หรือแก้ไขในเรื่องนั้นให้
ผู้ฟังต้องคอยสะกัดเอาเนื้อธรรมเอาเอง ว่าส่วนใดเหมาะกับตน
แต่ถ้าต้องการให้มั่นใจ เราจะถามท่านเป็นการเฉพาะบุคคลก็ได้

ข้อจำกัดคือท่านพูดภาษาอีสาน 
หรือพูดคำภาคกลางด้วยสำเนียงของคนอีสานแท้ๆ
คนภาคอื่นฟังลำบากหน่อย ถ้าไม่คุ้นเคย

ผมไปหาท่านบ่อยๆ ก็เลยได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย 
ที่ท่านไม่ยอมเขียนลงหนังสือประวัติมาหลายเรื่อง
บางเรื่องสมควรเล่าในที่นี้ ก็จะขอเล่าเพิ่มเติม

ผมเคยถามท่านว่า คุณแม่เคยพบหลวงปู่มั่นบ้างไหม
ท่านตอบว่า ไม่เคยพบ
เพราะแม่คนเป็นคนไม่มีความรู้และกลัวครูบาอาจารย์ที่สุด
แต่หลวงปู่มั่นท่านรู้จักแม่เองด้วยญาณเองท่าน
ตอนนั้นแม่อยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี
หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ที่หนองผือนาใน พรรณานิคม สกลนคร
มีพระจากหนองผือมาเยี่ยมท่านเสมอๆ
บอกว่าหลวงปู่มั่นให้มาเยี่ยมสนทนาธรรมกับ แม่น้อยเวียงจันทน์
ท่านก็เลยทราบว่า หลวงปู่มั่นรู้จักท่านดี

ท่านเล่าอีกว่าหลวงปู่มั่นและครูบาอาจารย์พระป่านั้น ท่านมีญาณ
ลูกศิษย์จะไปทำอะไรที่ไน แม้นป่าเขาไม่มีใครรู้เห็น
ท่านก็ตามไปรู้เห็นสอดส่องควบคุมได้เสมอ
ผมถามว่า แล้วแม่ใช้ญาณบ้างไหม
ท่านตอบว่า แม่สนใจแต่การทำตัวเองให้พ้นทุกข์ 
ถึงจะมีก็ไม่สนใจเรื่องอย่างนี้หรอก
แล้วท่านก็เล่าเรื่องเมื่อท่านอยู่บนเขาแห่งหนึ่ง
ท่านรู้เห็น ได้ยินเหตุการณ์ในวัดซึ่งห่างออกไปหลายกิโลเมตรได้ตลอด

เรื่องที่ท่านเล่าบางเรื่องก็น่าเอ็นดูดี โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับหลวงปู่เทสก์
ท่านเล่าว่าบางคราวท่านเข้าไปกราบหลวงปู่
หลวงปู่จะเล่าแบบขำๆ ว่าคนนั้นคนนี้มานิมนต์ให้หลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่ร้อยปี
แล้วท่านก็จะสรุปว่า คนที่มาขอท่านนั้น เขายังไม่รู้จักความแก่
ไม่รู้หรอกว่าคนแก่นั้น ทุกข์อย่างไร แค่นั่งเฉยๆ ก็เหนื่อยแล้ว
พวกเรา ที่ชอบนิมนต์ครูบาอาจารย์ให้อยู่นานๆ 
ทราบไว้ด้วยนะครับ แล้วอย่าไปฝืนสังขารท่านเลย

คุณแม่เป็นคนที่มีอารมณ์ขัน ร่าเริงเป็นนิจ มีความอดทนอดกลั้นเป็นเลิศ
และท่านไม่เคยพูดให้ร้ายใครเลย
ผมไปกราบท่านครั้งหลังสุดนี้ ยังถูกท่านปรามเอาหลายที
เป็นเรื่องกิเลสของผมล้วนๆ สมควรเล่าเพื่อประจานตนเอง

ระหว่างที่คุยกับท่านอยู่นั้น มีพระอาจารย์จากเพชรบูรณ์องค์หนึ่งมาเยี่ยมท่าน
เป็นพระหนุ่มๆ ภาวนายังไม่เป็นหรอกครับ
แต่เปิดสอนกรรมฐานลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นพวก ตชด.บ้าง กลุ่มอื่นๆ บ้าง
มาถึงก็บอกว่า ได้ข่าวว่าโยมไม่สบาย ปลงๆ เสียเถอะนะร่างกายไม่ใช่ของเรา
ผมฟังแล้วขำขึ้นมาทันที แต่ทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้
คุณแม่ก็กราบขอบคุณที่ท่านแนะนำสั่งสอน
หลังจากนั้นท่านก็อบรมธรรมะคุณแม่ไปเรื่อยๆ ด้วยจิตที่หลงๆ
คุณแม่ก็นั่งพับเพียบฟังเป็นอย่างดี
ผมก็นั่งปลงอนิจจัง ว่าคนเรานี้หนอ ไม่รู้จักหาประโยชน์ใส่ตัว
มาพบของดีแล้ว กลับเอาความคิดและความจำของตนมาทุ่มใส่ท่าน
พอคิดอย่างนี้คุณแม่ก็ชายตามามองนิดๆ แล้วกล่าวอย่างกลมกลืนไปกับพระท่านว่า
"นักปฏิบัตินั้น ให้รู้กิเลสตนเอง อย่าไปสนใจกิเลสคนอื่น"

ในใจของผมนึกเร่งให้พระท่านกลับไปเสียเร็วๆ
เพราะคุณแม่น้อยเพิ่งหกล้ม เท้าแพลงบวมเขียวทีเดียว
พระมาคุยอยู่ ท่านก็นั่งพับเพียบทั้งที่เท้าเจ็บ
คุณแม่ก็บอกว่า เท้าแม่เจ็บพอทนได้ ไม่เป็นไรหรอก

พอ 11 โมงเศษ ผมก็กราบเรียนพระท่านว่า คุณแม่น้อยควรจะต้องฉันอาหาร
เพราะท่านไม่สบายคราวนี้ ฉันอาหารได้คราวละนิดเดียว
เมื่อเช้าเพิ่งฉันข้าวคลุกงาไปสองสามคำเท่านั้น
เพราะลำไส้ท่านไม่ค่อยรับอาหาร ต้องให้อาหารคราวละนิดหน่อย
ที่พูดอย่างนี้ ก็เพื่อจะไล่ท่านนั่นเอง
ท่านกลับบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องฉันก็ได้
นักปฏิบัติอดข้าวไม่เป็นไรเพราะอยู่กับการภาวนาแล้ว
ผมก็ชักจะร้อนใจ เพราะคุณแม่ทั้งอายุมาก ทั้งอาพาธ
คุณแม่กลับเป็นฝ่ายรีบหันมาปลอบผมทันที
ว่า "อย่าห่วงเลย แม่ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ฉันก็ได้ 
เพราะแม่ก็เคยอดข้าวคราวละ 7 วันมาบ่อยแล้ว"
กลายเป็นคุณแม่ต้องคอยปลอบใจผมเสียอีก

อยู่ใกล้ท่านมีแต่ความอบอุ่นใจและได้ความรู้
แต่เรื่องหลายเรื่อง ไม่เหมาะที่จะเล่าให้ใครฟัง เพราะท่านห้ามเล่า
เอาไว้ท่านสิ้นไปก่อน จึงจะเล่านะครับ (ถ้ามีโอกาส)

เรื่องของท่าน ขอจบลงเพียงเท่านี้ครับ
ต่อจากนี้ก็ตัวใครตัวคนนั้นก็แล้วกัน
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 05:30:21

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ ธีรชัย วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 19:18:10
ขอบพระคุณครับ
_/\_
โดยคุณ ธีรชัย วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 19:18:10

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ โจโจ้ วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 22:13:19
_/ \_ขอบพระคุณมากๆครับ
โดยคุณ โจโจ้ วัน อาทิตย์ ที่ 28 พฤษภาคม 2543 22:13:19

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 09:09:28
_/I\_ ขอบพระคุณครับ ยอดเยี่ยมจริงๆ ที่จริงถ้าผมว่างและสะดวกกว่านี้ก็อยากจะไป
กราบท่านเหมือนกันครับ เอาเป็นว่าท่านที่มีโอกาสได้ไปกราบท่าน(คุณพี่ทั้งหลาย)
ขอความกรุณาเอาธรรมที่ได้มาซึ่งสามารถเปิดเผยได้มาเล่าชี้แนะแก่ผู้ด้อยโอกาส
อย่างผมบ้างนะครับ :-)
โดยคุณ นิพ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 09:09:28

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 09:53:09
ที่จริงการเดินทางไปกราบท่านนั้น
ไม่จำเป็นต้องขึ้นเครื่องบินไปแบบดุณดังตฤณและคณะก็ได้ครับ
โดยรวมทีมกันสัก 10 คน เช่ารถตู้ไปกัน ออกคืนวันศุกร์ กลับคืนวันเสาร์
หรือจะกลับคืนวันอาทิตย์มาถึงกรุงเทพเช้าวันจันทร์ก็ได้
ถ้าจะค้าง ก็ค้างที่วัดหินหมากเป้งนั่นแหละ
โดยก่อนไปก็เขียนจดหมายขออนุญาตท่านเจ้าอาวาสเสียก่อน(ถ้าจะค้าง)
ค่ารถวันละ 1500 บาท ค่าน้ำมันต่างหาก
เฉลี่ยกันแล้วก็ไม่มากครับ สะดวกและประหยัดกว่าวิธีอื่นๆ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 09:53:09

ความเห็นที่ 21 โดยคุณ ต๊าน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 11:20:17
ขอบพระคุณค่ะอา_/|\_
มีเพิ่มเติมอีกนิดนะคะ เพิ่งถามอาเมื่อไม่นานนี้เอง
พอดีว่าการไปครั้งนี้พอดีต๊านว่างอยู่ค่ะ เป็นเด็กว่างงาน
โชคดีค่ะพ่อบอกว่า ไหนๆจะไปแล้วนะ ไปให้คุ้มค่าเครื่องบินหน่อย ไม่ใช่เหมือนไปเที่ยวอย่างนี้
แหม๋มีback upดีขนาดนี้ไหนเลยจะปฏิเสธ ก็เลยว่าจะค้างอยู่ซัก7-10วันค่ะ
มีใครจะร่วมทางด้วยมั๊ยเอ่ย
ก่อนไปค้างนะคะ คงต้องเขียนจดหมายไปเรียนท่านเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้งก่อน
ถ้าใครจะไปค้าง ช่วยแจ้งชื่อมาทางต๊านด้วยแล้วกันนะคะ
tantanp@hotmail.com จะได้เขียนรวมกันไปทีเดียว
คิดว่าจะส่งไปภายในวันพุธเช้าเพราะจดหมายคงใช้เวลาเดินทางไปถึงประมาณ2-3วันค่ะ

ที่อยู่        : นมัสการ ท่านเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง  ตำบลพระพุทธบาท
              อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย (รหัสไปรษณีย์อาจำไม่ได้)
              อันนี้เป็นหน้าที่ต๊านเองค่ะ พอดีวันนี้จะไปไปรษณีย์อยู่แล้วค่ะ
              บอกท่านว่าเป็นใคร จะขอไปปฏิบัติที่วัดกี่คน ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน
              เป็นเวลากี่วัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่ ทำนองนี้แหละ

การแต่งตัว : สำหรับหญิงแต่งแบบเขาสวนหลวงค่ะ
            : สำหรับชาย แต่งกายสุภาพ ไม่ต้องแต่งขาวดำก็ได้
              แต่อย่าแต่งแบบไปเที่ยวปิกนิคก็แล้วกัน บางคนเดาะกางเกงขาสั้น
              อันนั้นก็มากไปหน่อยครับ(อาฝากบอกมาค่ะ)

พอไปถึงวัดก็ไปรายงานตัวที่ศาลาของพวกอุบาสิกา อยู่ข้างห้องน้ำรวม
เขาจะแนะนำเองให้ไปรายงานตัวกับพระ เราก็ต้องบอกก่อนว่าเราเขียนจดหมายขออนุญาตมาแล้ว
จากนั้นเขาจะจัดกุฏิให้อยู่ สบาย ไม่น่ากลัวเท่าเขาสวนหลวงครับ

อาแนะนำอีกว่า : เอารถไปมีข้อดีอีกอย่าง คือแวะวัดป่าได้หลายแห่งครับ
ทางอีสานนั้นมีวัดครูบาอาจารย์มากมายที่น่าไป แวะไปได้เรื่อยๆ ตลอดทางเลยครับ


โดยคุณ ต๊าน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 11:20:17

ความเห็นที่ 22 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 11:31:18
สาธุ!! สาธุ!! สาธุ!!
โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 11:31:18

ความเห็นที่ 23 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 12:48:53
ความจริงการเดินทางไปวัดหินหมากเป้งทำได้หลายทางครับ

วิธีแรกที่ง่ายที่สุด คือนั่งรถทัวร์ไปลงที่ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
มีรถทัวร์ 2 สายคือ "บารมีทัวร์" กับ "407 พัฒนา" ไปขึ้นที่หมอชิต2
แล้วต่อรถสองแถวที่ตลาดศรีเชียงใหม่ เพื่อเข้าวัดหินหมากเป้ง
ขาเข้าวัดจะนั่งรวมกับชาวบ้านไปก็ได้ ค่ารถราว 10 บาท(ประมาณเอา)
ถ้าจ้างเหมาก็ประมาณ 100 บาท
แต่ขากลับจากวัดลำบากหน่อย ควรจ้างเหมาโดยสั่งให้รถไปรับตามเวลาที่กำหนด
ความจริงรถประจำทางสายหนองคาย - สังคม ก็มี
แต่รอกันนานมากครับ
วิธีนี้เหมาะกับการไปน้อยคน ประหยัดงบประมาณ และไม่จำกัดเวลาอยู่วัด

วิธีที่ 2 เช่ารถตู้ไป ถ้าไปกันมากคนและน้อยวันก็คุ้มครับ

วิธีที่ 3 นั่งรถไฟไปลงที่หนองคาย
ความยุ่งยากอยู่ที่การหารถจากหนองคายไปศรีเชียงใหม่
เพราะที่สถานีรถไฟหนองคายมีแต่รถสกายแลป (3 ล้อติดเครื่องมอเตอร์ไซค์)

วิธีที่ 4 ขึ้นเครื่องไปลงอุดร แล้วหารถไปวัด

การจะไปวัดหินหมากเป้ง ควรเตรียมอาหารกลางวันและเย็น(ถ้าจะทาน)ไปเอง
เพราะที่วัดมีให้เฉพาะอาหารเช้า
และถ้าคุ้นกับวัดป่าบ้างแล้ว ก็สามารถขยับต่อไปยังวัดป่าที่เป็นป่ามากขึ้น
ซึ่งมีอยู่แถวนั้น รวมทั้งวัดที่ขึ้นไปทางสังคม จนถึงจังหวัดเลย
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 12:48:53

ความเห็นที่ 24 โดยคุณ ต๊าน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 12:52:49
ยาวมากเลยพิมพ์ไปอ่านแล้วค่ะ
ปวดตา แล้วจะมารายงานนะคะ

โดยคุณ ต๊าน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 12:52:49

ความเห็นที่ 25 โดยคุณ ต๊าน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 12:55:02
อ้าวเพิ่งมาreloadดูค่ะ ขอบพระคุณอามากค่ะ
โดยคุณ ต๊าน วัน จันทร์ ที่ 29 พฤษภาคม 2543 12:55:02

ความเห็นที่ 26 โดยคุณ โจโจ้ วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 09:19:35
ขอบพระคุณมากๆครับ
โดยคุณ โจโจ้ วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 09:19:35

ความเห็นที่ 27 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 09:29:03
สาธุ.... ขอบคุณครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 09:29:03

ความเห็นที่ 28 โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 13:04:47
สาธุ ขอบพระคุณมากครับ
_/|\_
โดยคุณ ศุภสิทธิ์ วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 13:04:47

ความเห็นที่ 29 โดยคุณ นุดี วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 19:05:32
สาธุ ขอบพระคุณมากๆค่ะ
_/|\_
โดยคุณ นุดี วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 19:05:32

ความเห็นที่ 30 โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 22:16:55
ขอบพระคุณมากค่ะ พี่ปราโมทย์ สำหรับคำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังจะเดินทางไปกราบคุณแม่น้อยในครั้งนี้ 
และขอบคุณพี่นุชที่กรุณาพิมพ์ประวัติและการปฏิบัติของคุณแม่น้อยมาให้อ่านกันด้วยค่ะ
_/|\_
โดยคุณ มะเหมี่ยว วัน อังคาร ที่ 30 พฤษภาคม 2543 22:16:55

ความเห็นที่ 31 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 31 พฤษภาคม 2543 08:32:54
นโม วิมุตตานํ นโม วิมุตติยา_/|\_
นโม วิมุตตานํ นโม วิมุตติยา_/|\_
นโม วิมุตตานํ นโม วิมุตติยา_/|\_
โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 31 พฤษภาคม 2543 08:32:54

ความเห็นที่ 32 โดยคุณ ต๊าน วัน พุธ ที่ 31 พฤษภาคม 2543 08:57:18
ตอนนี้ที่นั่นอากาศเป็นยังไงบ้างคะ
โดยคุณ ต๊าน วัน พุธ ที่ 31 พฤษภาคม 2543 08:57:18

ความเห็นที่ 33 โดยคุณ นกเอี้ยง วัน ศุกร์ ที่ 2 มิถุนายน 2543 08:27:32
^-^ _/|\_
โดยคุณ นกเอี้ยง วัน ศุกร์ ที่ 2 มิถุนายน 2543 08:27:32

ความเห็นที่ 34 โดยคุณ จ้อม วัน จันทร์ ที่ 5 มิถุนายน 2543 10:41:01
ขอบพระคุณมากครับคุณอาที่นำประวัติผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติมาให้ได้อ่านครับ
โดยคุณ จ้อม วัน จันทร์ ที่ 5 มิถุนายน 2543 10:41:01

ความเห็นที่ 35 โดยคุณ listener วัน จันทร์ ที่ 5 มิถุนายน 2543 12:06:35
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 36 โดยคุณ listener วัน พฤหัสบดี ที่ 8 มิถุนายน 2543 12:07:56
สาธุ สาธุ สาธุ
ได้เห็น ธรรม ของท่านผ่านรู้ และตัวอย่างการปฏิบัติ ของทุกท่านที่ปรากฏในวิมุติ นี้ แล้ว ปิติ ชุ่มชื่น เป็นที่สุด
เสมือนได้ฝัน ว่าได้ไปยังวิมานชั้น ดุสิต เหมือน ยาจก ได้ ไปยังท้องพระคลังหลวง
แต่ก็ยังให้ต้องเจียมตนยิ่งนัก ขอค่อยๆอ่าน ค่อยๆสาธุการ ไปทีละกระทู้ ให้สมกับความละเอียดของธรรม
โดยคุณ listener วัน พฤหัสบดี ที่ 8 มิถุนายน 2543 12:07:56

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com