ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ไพ วัน เสาร์ ที่ 10 มิถุนายน 2543 22:07:01 |
อุบาสิกา ดิฉันนึกถึงบทสวดมนต์แปลที่ว่ามีหนังหุ้มอยู่ เป็นที่สุดรอบเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันเหมือนกระดาษ ที่ห่อหุ้มของขวัญให้ดูสวย หุ้มเอาไว้ไม่ให้เห็นของ ที่น่าเกลียด
พระอาจารย์ การพิจารณาอย่างนี้มันเป็นเรื่องปล่อยวางคือ มันไม่เข้าไปยึดไปถือถึงเรื่องอุปาทานขันธ์ จิตใจปลอดโปร่ง จิตใจก็เบา มันไม่หนัก อันนี้เป็นวิหารธรรมเครื่องอยู่ของผู้รู้ทั้งหลาย ถ้าผู้ใดมาพิจารณาอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้แล้ว ก็ได้ชื่อว่าทำทุกข์ให้บรรเทาเบาบางลง โดยลำดับ ถึงหากจะยังไม่พ้นจากทุกข์ก็ตาม อยากทราบว่าเท่าที่ดำเนินมาเป็นลำดับ จนเกิดความมั่นใจและเชื่อแน่วแน่ในปฏิปทานี้ว่า เป็นไปเพื่อความเจริญก้าวหน้าหรือเป็นไปเพื่อความ พ้นทุกข์ได้จริงนั้น เมื่อปฏิบัติมาถึงตอนนี้แล้ว หลักใหญ่ๆที่ดำเนินอยู่โดยมากยึดเอาอะไรเป็น เครื่องดำเนิน
อุบาสิกา เท่าที่ดิฉันตรึกตรองอยู่ ดิฉันเข้าใจว่าในการปฏิบัติ อาศัยหลักพิจารณาเริ่มต้น บางครั้งก็พิจารณากายเจ้าค่ะ บางครั้งก็พิจารณาจิต บางครั้งก็อาศัยธรรม แต่บางคราว ที่เกิดไม่สบายใจมีความร้อนใจ ดิฉันก็พิจารณา อารมณ์คือเวทนาเป็นครั้งคราว แต่สรุปแล้วก็ไม่พ้น ไปจากสติปัฏฐาน 4นี้ค่ะ ท่านอาจารย์
พระอาจารย์ ถูกแล้ว ชอบแล้ว ขอให้ยึดเอาแนวนั้นดำเนินอยู่ ให้ชำนาญเถิด
อุบาสิกา เจ้าค่ะ บางครั้งจากการที่มันรู้แจ้งขึ้นมาเอง ถามตัวเองต่อไปว่าจะทำอย่างไรล่ะ จึงจะสงบมั่นคง ติดต่อ บางครั้งก็แจ้งขึ้นมาว่า ต้องให้อยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรมมันแจ้งขึ้นมาเองค่ะ ก่อนหน้านี้ดิฉันก็อาศัย หลักนี้โดยที่ไม่รู้ตัวเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ คือเรื่องสติปัฏฐาน 4 นั้น ที่ตั้งไว้ตามบัญญัติขึ้นต้น ก็คือว่า กาย เวทนาจิต ธรรม แท้ที่จริงมันไม่จำเป็น ต้องไปขึ้นกายก่อนหรอก บัญญัติทั้งหมดที่ท่านแสดง ไว้นั่นเป็นลำดับ 1-2-3-4 ถ้าหากว่าปฏิบัติจะต้องดำเนิน อย่างนั้นทุกคนจึงจะสำเร็จ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว การปฏิบัติให้ถึงมรรคผลนิพพานเป็นของง่ายนิดเดียว แต่นี่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านบัญญัติ 4 อย่างคือ ยกอะไรขึ้นก่อนก็ได้ 1-2-3 ครบ 4 ก็ใช้ได้ทั้งนั้น ฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติจะเห็นชัดในสติปัฏฐานทั้งสี่ ไม่จำเป็นต้องเห็นกายก่อน คือปรารภอะไรขึ้นก่อนก็ได้ เวทนา หรือจิต หรือธรรม ก็แล้วแต่ ถ้ามันชัดมันก็เนื่อง ถึงกั่นทั้งหมด มันอยู่อันเดียวกันนั้น
อุบาสิกา ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ดิฉันระลึกได้ว่าก่อนที่จะ ชัดแจ้งขึ้นมานี้ มีอยู่คราวหนึ่งเกิดความไม่พอใจโมโห เจ้าค่ะ ก็เลยปลีกตัวไปจากคนที่เราโมโห ไปเดินจงกรม อยู่คนเดียวดับโมโห ทำอย่างไรมันก็ไม่ดับ ก็นึกขึ้นได้ ว่าทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วมันตั้งอยู่ แล้วมันดับไป ตั้งอยู่ ตลอดไปไม่ได้ ไอ้โมโหของเรานี้มันก็ต้องตั้งอยู่ไม่ได้ ตลอดไป ดูซิว่าเมื่อไรมันจะหาย ดิฉันก็เดินกลับไปกลับ มา ท่องอยู่แต่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปๆ ประเดี๋ยวเดียวก็ รู้สึกมันดับไป เย็นสบาย เบา ทุกอย่างมันผิดไป มีความ อิ่ม ปิติ เบิกบาน แจ่มใส อันนี้เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้รู้จัก ว่า อ้อ! อนิจจัง ไม่เที่ยง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันคงอยู่ ไม่ได้จริงๆ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ตอนนั้นดิฉันยังไม่รู้จัก พิจารณากายค่ะ
พระอาจารย์ ทราบไหม ขณะนั้นฐานที่ตั้งของใจในเวลาพิจารณานั้น ได้ตั้งอย่างไรบ้าง มันจึงชัดเจน หรือว่าพิจารณาไปเรื่อย เปื่อยอย่างนั้น
อุบาสิกา ก่อนที่จะพิจารณา โดยมากดิฉันตั้งใจไว้ก่อนแน่วแน่ว่า วันนี้จะพิจารณาเรื่องกาย โดยมากเมื่อพิจารณาเรื่องกาย ดิฉันมักจะตั้งต้นด้วยอาการ 32 เจ้าค่ะ ก็ว่าไป พอจบแล้ว ก็ขึ้นใหม่ โดยที่ไม่นับว่ามันจะกี่ครั้งหรือกี่รอบ สาเหตุโดย มากมักจะโมโหตัวเองว่า ทำไมมันง่วง ทำไมมันเรื่อยเฉื่อย ฟุ้งซ่านอย่างนี้ โมโหเลยบอกว่า เอาละ จะเดินอยู่อย่างนี้ จะท่องอยู่อย่างนี้ ถ้าแกไม่สงบ ฉันไม่ยอมให้นั่ง ตายเป็น ตาย แบบนี้เจ้าค่ะ แล้วก็เดินไป ไม่ได้ตั้งใจอะไรเลย มันอยากลงโทษตัวเอง แล้วก็ท่องอยู่อย่างนั้นเจ้าค่ะ แล้วก็ อยู่ๆมันก็แจ้งชัดขึ้นมา ดิฉันก็ไม่ทราบเพราะเหตุใด
พระอาจารย์ อันนี้ก็หมายความว่าเมื่อเราตั้งใจอธิษฐานในใจของเรา ถ้าไม่สงบฉันก็จะไม่ท้อถอยละ ฉันจะยอมตายในที่นี้ เรียกว่าอธิษฐานจิต มันก็หมายความถึงเอกัคคตารมย์ นั่นเอง ใจมันแน่งลงอันเดียวปักมั่นลง เพราะว่าเรายอม ละทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากไม่สงบเรายอมตายจริง อุบายใน การยอมตายนี่ละมันดีจัง มันสละเสียทุกอย่างถ้าหากลงถึง ตายแล้ว คนไหนถ้าภาวนาไม่เป็นก็แย่ที่สุด ความตายเป็น ของสำคัญที่สุด อานาปานสติก็อยู่ในความตาย เราพิจารณา ลมหายใจเข้าออก ถ้ามันไม่ออกไม่เข้ามันก็ต้องตาย มันก็อยู่ในมรณานุสติเหมือนกัน ต่อนั้นล่ะ เมื่อพิจารณา อย่างนั้นอยู่ มันมีความรู้อะไรแปลกประหลาดขึ้นมาอีกไหม ตอนนั้น
อุบาสิกา มีบางครั้งบางคราวมันไม่ได้ชัดขึ้นมาในเรื่องที่เราท่องอยู่ หรอกค่ะ ท่านอาจารย์ มันชัดขึ้นมาในเรื่องอื่น มันชัดมันแจ้ง ขึ้นมาทั้งรู้ทั้งเห็น ดิฉันไม่สามารถจะอธิบายเรียนให้ท่าน อาจารย์ทราบได้ในความรู้ความเห็นอันนั้นได้ แต่มันทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งเชื่อแน่นอนหมดสงสัยเจ้าค่ะ
พระอาจารย์ คำว่าความร้ความเห็นในขณะนั้นมันยากที่เราจะอธิบาย ให้คนอื่นฟังนอกจากผู้รู้ด้วย่กัน ผู้รู้ด้วยกันเมื่อพูดตรงนั้น รู้กันได้ทันที เพราะรู้เห็นอย่างไรในลักษณะอาการอย่างนั้น รู้เห็นอย่างไร มีรสชาติอย่างไร รู้เฉพาะในพวกนักปฏิบัติด้วย กันในที่นั้น ที่ว่ารู้ได้ชัดแจ่มแจ้งใสสะอาด จิตใจเบิกบาน มันมีปิติ ปัสสัทธิพร้อมหมด สมบูรณ์บริบูรณ์ในที่นี้ ทุกอย่าง มันเป็นอันเดียวกันหมด เช่นมองเห็นเป็นธาตุอย่างนี้ มันก็ เป็นธาตุทั้งนั้น ถ้าเห็นเป็นไตรลักษณ์ก็เป็นไตรลักษณ์ไปหมด มันเลยไม่มีเรื่องสงสัยลังเลในขณะนั้น แต่ว่านี้เป็นคำพูดที่เรา พูด แต่เวลาเราไปเห็นเฉพาะตนเองในตรงนั้น เรียกว่าปัจจัตตัง เห็นเฉพาะตนเอง แต่มันไม่ทราบจะพรรณนาอย่างไรจึงจะให้ คนอื่นทราบด้วยได้
อุบาสิกา ใช่เจ้าค่ะ คือมันรอบโลกเจ้าค่ะ มันเป็นอย่างนี้ทุกอย่าง ในโลกนี้แล้วโดยมากดิฉันมาพิจารณาดูแทบทุกครั้ง ที่ได้ความรู้แจ้งขึ้นมานี้ มันไม่พ้นหลักไตรลักษณ์ไปเลย
พระอาจารย์ เรียกว่าปัญญาวิปัสสนาที่เราพิจารณา ไม่ว่าพิจารณาอะไร ก็ตามเถิด ไม่หนีจากไตรลักษณ์ นอกจากนั้นอีก ท่านยัง แสดงเรื่องมรรคเรื่องผลของภูมิของปริยัติ ตั้งแต่เสขบุคคล จนถึงอเสขบุคคลเดินไตรลักษณ์ทั้งนั้น ไม่หนีจากไตรลักษณ์ ทำไมถึงเดินทางเดียวกัน ทำไมถึงต่ำสูงต่างกัน มันเข้ากับ หลักโบราณท่านว่า คน 3 หมู่กินน้ำบ่อเดียว เดินทางเดียว กัน แต่ไม่เหยียบรอยกัน นี่คนโบราณท่านว่าไว้คือ ว่าเดิน ไตรลักษณ์ก็เหมือนกัน จะหยาบละเอียดชัดเจนแจ่มแจ้ง ผิดกัน เพราะภูมิปัญญาถึงจะเดินทางเดียวกัน แต่ไม่เหยียบ รอยกัน มันน่าคิดเหมือนกันนะ
อุบาสิกา เจ้าค่ะ เพราะว่าบางทีจากระยะเวลาต่างๆกัน ต่างคราวต่าง วาระกัน ดิฉันก็ตั้งต้นจากคนละเรื่อง ดิฉันนี้เป็นคนอย่างไร ก็ไม่ทราบค่ะ เวลาพิจารณาอะไรไปครั้งหนึ่ง ในระยะเวลานั้น แล้วก็หยุดเว้นไป ไม่ได้ทำความเพียรต่อ พอมาถึงคราวหน้า โอกาสมาทำความเพียรต่อใหม่ในเรื่องนั้นมันไม่เอาเสียอีกแล้ว มันจืดไปเสียแล้ว
พระอาจารย์ เรื่องนั้นเป็นกันโดยมาก ที่ว่ามันจืดนั้นคือความชัดมัน ผิดจากเดิม คราวนี้เราชัดเจนอย่างนี้แล้ว ทีหลังจะให้มัน เดินรอยนี้มันเดินไม่ได้ มันชัดไม่ได้ เนื่องจากว่า 1. คือสมถะความสงบของเราไม่ได้ระดับเดิม มันอาจจะ ดีกว่าละเอียดกว่าหรือหยาบกว่าก็ได้ ข้อที่ 2. เกิดจาก เราปรารภเหตุนั้นๆ มันไม่เหมือนกัน บางครั้งบางคราว เราก็ปรารภเหตุนั้นอย่างอุกฉกรรจ์ อย่างหนักแน่น อย่างกล้าหาญ บางทีเราปรารภเหตุที่เราพิจารณานั้นเพียง แต่ยกขึ้นเป็นเพียงธรรมดานี่มันผิดกันตรงนั้น เพราะฉนั้น จึงว่ารสชาติผิดกันถ้าหากเราใช้สติปัญญาอย่างขนาดหนัก หรือปรารภเหตุอย่างขนาดหนัก ใจมันต้องใช้พลังงานมาก ความรู้มันก็ชัดเจนและกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ถ้าธรรมดาๆมันก็ ไม่เท่าไรนัก เหตุนั้นจะให้มันเหมือนกัน มันไม่เสมอเหมือน กันหรอก แต่แล้วทั้งหมดนั้นล่ะ ถ้าหากเราไม่พิจารณาก็ช่าง เถิด มันเป็นไปตามเรื่องของมัน ถ้าหากเราพิจารณาจะได้ ความรู้ชัดอย่างว่ามานี่แหละ มันมีผิดแปลกตรงนี้เอง หลักที่ จะให้เกิดผิดแปลกกันตรงนี้ ตรงนี้มันเป็นแยบคายอุบายของ แต่ละบุคคล ความฉลาดของผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่ฉลาดก็ปล่อยไว้ ตามเรื่องเพราะเกี่ยวด้วยความชำนาญนะเรื่องพรรค์นี้
อุบาสิกา ดิฉันสังเกตุดูมีอีกหนึ่งค่ะท่านอาจารย์ ที่มันขัดขวางแล้ว ดิฉันรู้สึกยังแก้ไม่ได้ คือถ้าลองพยายามพิจารณาเรื่องซ้ำจาก คราวก่อน คือหมายความถึงต่างวาระกัน สัญญาเก่ามันมักจะ ขึ้นมา อันนี้คิดว่าจิตไปจับอยู่กับสัญญาเก่าอันนั้น ก็เลยรู้สึก ไม่ลึกซึ้งไม่เอาเรื่อง จะคอยคิดถึงเรื่องสัญญาอันนั้น
พระอาจารย์ ใช่ละซิ คือว่าของเก่ากับของที่เกิดใหม่ๆมันผิดกัน เกิดขึ้น ทีแรกครั้งแรกเราไม่ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ คือว่ามันพร้อมด้วยสติ สมาธิ พร้อมมูลบริบูรณ์ เรียกว่าถึง กาลเวลา มันคล้ายๆกับลูกไม้ผลไม้ถึงฤดูกาลของมันต้นมัน ก็แก่ ใบมันก็ผลัดหมดเสียแล้ว ถึงฤดูกาลมันค่อยผลิดอกออก ผลใหม่โดยไม่ตั้งใจให้มันเกิดออกมาหรือไม่มีใครบังคับ มันเกิดมาเอง ออกมาเองอย่างนั้นล่ะ จึงว่าเป็นของแปลกของ อัศจรรย์ ทีหลังมามันไม่ใช่อย่างนั้น เราจะให้มันเป็นอย่างนั้น คือสัญญาเก่าเราเคยได้รับรสชาติ เคยได้รับความสุขสงบ เห็นอานิสงส์อันนั้น พอมาทีหลังมันไม่ได้ปล่อย มันมุ่งหน้าไป สัญญามันจดจ่อคือมันอยากให้เป็นอย่างนี้ เมื่อเรามีสัญญาแล้ว ใจมันไม่บริสุทธิ์ มันก็ไม่แจ่มใสเต็มที เพราะเหตุนี้จึงเข้าไม่ ถึงของเดิมหรอก เหตุนั้นเรื่องเก่าเราจะพิจารณาให้มีรสชาติ อย่างเดิมไม่ได้ทั้งนั้น
อุบาสิกา เจ้าค่ะ พอมาพูดถึงตรงนี้แล้ว ดิฉันมีปัญหาจะเรียนถาม ท่านอาจารย์คือ ทุกวันนี้ละค่ะ หากหลบไปอยู่ในที่ที่ได้เงียบๆ คนเดียวแล้ว ดิฉันมักจะมีหนังสือธรรมที่ติดใจติดไปด้วย ชอบใจก็เอาขึ้นมาอ่านตอนที่ถูกใจ พออ่านไปแล้วมันชัดไป เรื่อยๆตลอดเวลา บางอันมันชัดเป็นพิเศษเจ้าค่ะ ตัวอย่างเช่น เวลาดิฉันอ่านถึงว่าชีวิตประจำวัน-คอยระวังไม่ให้จิตมันแส่ส่าย เพลิดเพลินไปตามกิเลสตัณหา อุปาทาน พออ่านถึงตอนนี้ มันเกิดภาพขึ้นมา มันเป็นภาพข้างใน ถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน เขาคงว่าบ้าจินตนาการ แต่ว่ามันเห็นชัดค่ะท่านอาจารย์ เห็นสัญญาเกิด สัญญาดับ แล้วจิตของเราไปเกิดไปดับ ไปปรุง แต่งไปกันใหญ่ เที่ยวกันใหญ่ทีเดียว สนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นตั้งนานมันถึงจะกลับมาอีก แล้วตอนนั้นมันมีความรู้สึก มันมีสัมผัสอย่างที่เคยเรียนท่านอาจารย์มาก่อน มันสัมผัสลึกๆ เจ้าค่ะ มันรู้รสถึงโอชะที่จิตได้เสพ เสพแล้วเกิดความเพลินหรือ ความพอใจเจ้าค่ะ อันนี้มันเป็นสัญญาหรือเปล่าคะ
พระอาจารย์ เมื่อเราหาที่สงัดได้แล้วจะอ่านหนังสือ จะท่องบทธรรมบทใด บทหนึ่งอยู่ก็ดี นั่นเป็นบริกรรมภาวนาอยู่แล้ว ตอนอ่านถึง ชีวิตประจำวันไม่ให้จิตแส่ส่ายนั้น มันเป็นช่วงพอเหมาะกับ แยบคายของเราที่จะทำใจของเราให้หยุดรวมเป็นสมาธิ เลย เกิดภาพนิมิตขึ้น ภาพนิมิตหากจะเรียกว่าสัญญาก็ใช่ เพราะ มันยังอยู่ในขั้นสัญญา แต่ขณะที่มันเกิดไม่ได้เกิดเพราะสัญญา จิตรวมละสัญญาแล้วจึงเกิด เหตุนั้นมันจึงชัดด้วยตนเอง ตอนที่เห็นสัญญาเกิดดับและจิตของเราก็ไปปรุงแต่ง เกิดดับเช่นเดียวกัน ตอนนี้มันมิใช่สัญญา-สังขารธรรมดา เสียแล้ว นี่แหละที่อาตมาเคยพูดเสมอว่า สัญญา สังขาร ขันธ์ใน ที่นำให้สัตว์ไปเกิดต่อภพต่อชาติ ความซาบซึ้งในรสชาติของ สัมผัสนั้นจึงเป็นของเลิศ เรื่องขันธ์ในเป็นของพูดยากถ้าผู้นั้น ยังไม่เข้าถึงและรู้ด้วยตนเองแล้วจะพูดอย่างไรๆก็ไม่เข้าใจ
อุบาสิกา นานมาแล้วค่ะ เวลาดิฉันภาวนามีภาพปรากฎชัดเจนในใจ ในเรื่องของสมุทัยโดยเฉพาะ เจ้าตัวสัญญา-สังขารเกิดดับๆ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา มาเห็นโทษทุกข์ของการที่จิตเข้าไป ยึดเอาสัญญา-สังขารนั้นๆมาเป็นตนเป็นตัวแล้วเกิดความ กลัวในเรื่องนั้นมาก หลังจากนั้นมานาน เวลาไปอ่านหนังสือ เข้า ภาพเช่นนั้นก็มาปรากฏขึ้นอีก แต่ปรากฏไม่นานเหมือน เมื่อเกิดจากเวลาภาวนา ดิฉันไม่แน่ใจว่านั่นมันจะเป็นสัญญา เก่าที่เคยได้เห็นแต่ก่อนหรือเปล่า
พระอาจารย์ ความรู้เบื้องต้นซึ้งเกิดจากสมาธิภาวนาโดยที่เราไม่คาดฝัน ไว้แต่ก่อน กับความรู้ที่เกิดภายหลัง ไม่ว่าจะเกิดในขณะอ่าน หนังสือหรือจากการภาวนาก็ตาม ซึ่งในเรื่องทำนองเดียวกัน นั้นจะมีรสชาติและความซาบซึ้งผิดกันทีเดียว จะอะไรก็ตาม ทีเถิด หากเมื่อเกิดความรู้และแจ้งชัดจนเป็นเหตุให้เห็นโทษ ทุกข์ในอุปาทานนั้นๆ ได้แล้วก็ใช้ได้ ข้อสำคัญขอให้ทำใน เรืองนั้นๆให้ชำนาญก็ใช้ได้
อุบาสิกา เรื่องที่จะรักษาความรู้และสภาพเช่นนั้นไว้ให้อยู่ได้เสมอไป ดิฉันว่ายากกว่าการที่จะทำให้เกิดสมาธิเสียอีก นอกจากเรื่อง การบากบั่นฝึกสติแล้ว ท่านอาจารย์มีอุบายอย่างอื่นไหมคะ ที่จะช่วยให้รักษาไว้ได้
พระอาจารย็ ความรู้ภาพดังว่านั้นก็เกิดจากสมาธิเหมือนกัน สมาธิเป็นเหตุ ความรู้และภาพที่ว่านั้นเป็นผล เมื่อสมาธิมั่นคงดีแล้ว ความรู้ และภาพดังว่ามันค่อยเกิดเองดอก ชาวสวนเขาบำรุงต้นไม้ ของเขาไว้ดีแล้ว ถึงฤดูกาลแล้วมันหากจะผลิดอกออกผลเอง ไม่มีใครบังคับมัน ถ้าไม่ถึงฤดูกาลของเขาแล้ว ใครจะบังคับ อย่างไรๆมันก็ไม่ออกดอกผลมาให้ เราควรอบรมสติเท่านั้นให้ มั่นคง ไม่ควรไปสนใจในเรื่องความรู้และภาพที่เคยปรากฏมา แล้วนั้น หากเราไปยึดเหนี่ยวเอาความรู้และภาพที่เคยปรากฏ มาแล้วนั้นเป็นอารมณ์ เดี๋ยวมันจะเกิดความอยากขึ้นมา สมาธิของเราจะเสียไป แล้วผลก็จะไม่เกิด เรายังกำลังฝึกฝน เราจึงยังตกอยู่ในฐานะความเป็นผู้ประมาทอยู่ ท่านที่ได้สำเร็จ แล้ว ท่านเป็นผู้ไม่ประมาท สติของท่านเป็นสติสมบูรณ์โดย อัตโนมัติ
อุบาสิกา ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องคำว่าประมาท ดิฉันก็นึกขึ้นได้ มีอยู่คราวหนึ่งดิฉันได้จากสมาธิเจ้าค่ะ มันแจ้งขึ้นมาเรื่อง อื่นก่อนแล้วจึงมาถึงเรื่องประมาท อ้อ! อย่างนี้เองที่พระพุทธเจ้า สอนไว้ว่าอย่าประมาทแม้แต่น้อย และมันก็ชัดขึ้นมาให้รู้ จักคำว่าประมาท ดิฉันไม่เคยนึกเลยว่า "ประมาท" จะมี ความหมายลึกซึ้งอย่างนั้น ที่เราพูดทุกวันนี้ คำว่า "ประมาท" มันคล้ายคนละความหมายกับคำว่าประมาทของท่านในที่นั้น และคำว่า "แม้แต่น้อย" ของท่านในที่นั้น แหม! มันน้อย ที่สุดที่จะประมาณค่าได้จริงๆ ไม่ทราบว่าจะบรรยายได้ อย่างไร
พระอาจารย์ มันหลายชั้น ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าใช้ตั้งแต่ หยาบถึงละเอียด ประมาท เลินเล่อ ไม่เอาเรื่อง ไม่เอา การงานอะไรต่างๆ ท่านที่มาฝึกอบรมสมาธิหรือสมถะ เผลอสติก็เรียกว่าประมาทเหมือนกัน ถ้าเข้าไปถึงความ ละเอียดในตรงนั้นแล้ว ความรู้ความชัดเกิดขึ้นมาเช่น นั้นแล้ว จิตใจแน่วแน่ใสแจ๋วอยู่ ถ้าหากแวบออกไปก็ เรียกว่าประมาทเหมือนกัน
......................................จบ.....................................
หมายเหตุ จากหนังสือปุจฉาวิสัชนาในประเทศ โดย หลวงปู่เทศน์ เทสรังสี |
|
โดยคุณ ไพ วัน เสาร์ ที่ 10 มิถุนายน 2543 22:07:01 |