กลับสู่หน้าหลัก

ผู้พร้อมสำหรับการบวช

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 10:01:20

การบวชเป็นเรื่องง่าย
แต่บวชแล้วจะทำประโยชน์ของตนให้ถึงพร้อม
และตลอดรอดฝั่งนั้น
ยากนัก


***********************************

ใกล้เข้าพรรษาเข้ามาแล้ว
เพื่อนหลายคนมาขอปรึกษาเรื่องการออกบวช
เช่นให้แนะนำพระอุปัชฌาย์ให้บ้าง
หรือให้แนะนำสถานที่ควรไปปฏิบัติธรรมให้บ้าง
การจะให้คำแนะนำนั้นมีประเด็นต้องพิจารณามากทีเดียว 
เพราะการบวชไม่ได้มีเรื่องต้องพิจารณา
เฉพาะพระอุปัชฌาย์กับวัดที่จะอยู่
แต่มีประเด็นที่ละเอียดอ่อนยิ่งกว่านั้น คือความพร้อมของผู้อยากบวช

ถ้าจะบวชเพียงชั่วคราว ก็ไม่มีปัญหาอะไรนัก
แต่บางคนมีศรัทธาแก่กล้า คิดจะบวชแบบไม่สึกตลอดชีวิต
บุคคลกลุ่มหลังนี้แหละ ที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบทีเดียว

ผมรู้จักพระเณรเถรชีจำนวนมาก
พบว่าการดำรงชีวิตของท่านที่มุ่งหวังความดีจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ไหนจะต้องเผชิญกับความอดอยาก หรืออย่างน้อยก็อดในสิ่งที่อยาก
ต้องเผชิญกับกิเลสของนักบวชด้วยกัน หรือชาววัดที่ไม่ใช่นักบวช
ต้องอยู่ในกฏเกณฑ์กติกาต่างๆ ทั้งพระวินัย ศีล ตลอดจนกติกาสงฆ์
และต้องเผชิญกับการยกขึ้นหิ้งบูชา 
คือมีสถานะทางสังคมที่ผู้คนคาดหวังว่าจะต้องดี
ทั้งที่กิเลสยังเต็มหัวใจเหมือนฆราวาส เป็นต้น

ผมเคยทราบประวัติครูบาอาจารย์ 
ตลอดจนพระเณรหลายองค์ที่ท่านคุยแบบเปิดใจด้วย
ทราบว่าท่านต้องทนทุกข์ทรมานมากทีเดียว
บางองค์ไปเจ็บไข้อยู่กลางป่า 
เดินก็ลำบากเพราะตกเขาเป็นแผลลึกที่เข่าและแข้ง ทั้งเท้าก็แพลง 
ต้องเอาผ้าพันห้ามเลือดไว้ แล้วพยายามเดินได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
เพราะถ้าไม่เดิน ก็ต้องอดตายอยู่กลางป่าลึกนั่นเอง
กลางคืนท่านนอนระบมเจ็บปวดและเป็นไข้หนัก
น้ำตาไหลออกมา มดก็เข้ามากินเหงื่อและคราบน้ำตาของท่าน

บางองค์เกิดความรู้สึกสะเทือนใจในยามค่ำคืน
รู้สึกอนาถและสงสารตนเองว่า
ในเวลาอย่างนี้ คนอื่นเขากินข้าวอิ่ม นอนอุ่นอยู่กับครอบครัว
แต่ท่านเองเหตุใดต้องมาลำบากว้าเหว่
เหมือนลูกไม่มีพ่อแม่ อยู่คนเดียวกลางป่า
ทั้งหิว ทั้งหนาว ทั้งหวาดกลัว

มีอยู่องค์หนึ่งฟังท่านเล่าอย่างซื่อๆ แล้วน่าสงสารมาก
องค์นี้เป็นปัญญาชน พ่อแม่ฐานะดี รูปหล่อทรมานใจสาว
แต่ด้วยความรักธรรม ท่านจึงบวชอยู่กับครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่หลายองค์
วันหนึ่งขณะกวาดลานวัดอยู่ด้วยกัน ท่านก็เล่าให้ฟังว่า
ชีวิตของนักบวชนั้นทรมานใจมาก
กิเลสเล็กน้อยสำหรับฆราวาสนั้น พอเป็นพระเข้า 
มันกลายเป็นกิเลสใหญ่ที่นึกไม่ถึงทีเดียว
ตอนที่ท่านบวชแล้วสัก 2 - 3 พรรษา มีวันหนึ่งอยากฉันข้าวเหนียวถั่วดำ
ท่านคิดถึงแต่ข้าวเหนียวถั่วดำทุกวันทุกคืน
หลายวันเข้า ท่านถึงกับสลดใจ สงสารตัวเอง แทบจะสึก
กิเลสเล็กน้อยที่ไร้ความหมายของฆราวาส
กลายเป็นกิเลสใหญ่ของนักบวชไปได้

ผู้มีความศรัทธาขึ้นหน้า (คล้ายๆ เลือดขึ้นหน้า)
ตอนที่จะกระโดดจากเพศฆราวาสไปเป็นนักบวชนั้น
ในใจก็คิดแต่ว่าตนเองพร้อมที่จะสละชีวิตเพื่อการปฏิบัติธรรม
ไม่ว่าจะต้องเผชิญอะไรก็จะไม่หวั่นไหว

เรื่องคิดนั้น ใครคิดได้
แต่เรื่องการปฏิบัติจริงแบบไม่มีเวลาสิ้นสุด(ตลอดชีวิต)
มันไม่ง่ายเหมือนที่คิดหรอกครับ
พอผ่านชีวิตนักบวชไปช่วงหนึ่งแล้ว 
คราวนี้คิดจะถอยก็ลำบากเสียแล้วสำหรับบางคน
เช่นทางบ้านยากจน ไม่มีกิจการหรือสมบัติอะไรมากนัก
การงานก็ลาออกและหางานใหม่ยาก
ที่แย่กว่านั้นคือ บางคนทิ้งการเรียนไปบวช
พอคิดจะสึกออกมาเริ่มต้นชีวิตฆราวาสใหม่ ก็แทบจะเริ่มจากศูนย์

ดังนั้น ใครคิดจะบวช(ไม่สึก) ควรวัดใจตนเองให้ดีเสียก่อนการเข้าวัด
และอย่างน้อยก็ต้องเหลือทางถอยให้ตนเองเอาไว้บ้าง
ประเภทเรียนยังไม่จบ จะเลิกเรียนไปบวชนั้น ผมไม่เห็นด้วยเลย

ถ้าให้ผมวิเคราะห์ว่า คนประเภทไหนคือคนที่พร้อมสำหรับการบวช
ผมก็เห็นว่าจะต้องมองปัจจัย 2 ด้านคือ
ปัจจัยภายนอก กับปัจจัยภายใน

ปัจจัยภายนอก ได้แก่ความพร้อมทางร่างกาย
ถ้าป้อแป้แบบคุณดังตฤณ ไปบวชก็ลำบากมากหน่อย
นอกจากนี้ก็ต้องดูว่า มีภาระอะไรในโลกอีกหรือเปล่า
ถ้าเป็นประเภทละทิ้งหน้าที่ในการเลี้ยงดูพ่อแม่ลูกเมียไปบวช
หรือเรียนหนังสือไม่ทันจบ ก็โลเลอยากบวช
แบบนี้ก็แย่หน่อย เพราะแค่เป็นฆราวาสก็ขาดความรับผิดชอบเสียแล้ว
ถ้าเป็นพระจะรับผิดชอบกับพระศาสนาไหวหรือ
สำหรับผู้หญิงที่คิดจะบวช ก็ต้องมีความพร้อมในด้านทรัพย์สินพอสมควร
ถ้าไม่มีด้วยตนเอง ก็ต้องมีผู้ที่ยินดีจะสนับสนุน
เพราะผู้หญิงบิณฑบาตไม่ได้

ปัจจัยภายใน ที่สำคัญก็คือ
เป็นผู้มีเครื่องมือสำหรับการปฏิบัติธรรมเพียงพอหรือยัง
ถ้าเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะ 
สามารถปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้แล้ว
ก็ถือว่ามีความพร้อมพอที่จะออกบวชได้แล้ว

แต่ถ้ายังทำไม่ได้ ยังเตาะแตะในเรื่องการปฏิบัติ
แบบนี้ก็จัดว่ายังขาดความพร้อมในใจของตนเอง
ถ้าจะบวชจริงๆ ก็ยังน่าห่วง เพราะมีงานที่ต้องทำอีกมากทีเดียว

สำหรับพวกเราที่เป็นฆราวาสนี้
ขอให้พากเพียรเจริญสติกันให้มากนะครับ
ทำให้ได้ในปัจจุบันนี้แหละ
ถึงไม่บวชก็เป็นชาวพุทธที่แท้
ถ้าได้บวช ก็จะได้เป็นเพชรพลอยประดับพระศาสนากันต่อไป
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 10:01:20

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ดังตฤณ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 10:13:34
มารับรองว่าเป็นความจริงครับ
วันก่อนที่นั่งสวดมนต์ท่าเทพบุตรที่วัดหินหมากเป้ง
ลุกขึ้นเกือบเป็นเทพบุตรพิการเลยครับ
สงสัยถ้าคิดบวชต้องไปออกกำลังกายกับพี่ตุ้มก่อน อิอิ
โดยคุณ ดังตฤณ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 10:13:34

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ กระต่าย วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 10:49:09
เมื่อก่อนเคยมีความคิดอยากจะบวชเอามากๆเหมือนกัน
แต่ติดปัญหาเรื่องแม่ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ต้องคอยดูแล
แต่ครั้นพอได้มีโอกาสไปอยู่เขาสวนหลวงซะ 14 วัน ก็เลยประจักษ์ได้ว่า
สงสัยตัวเองยังบวชไม่ได้แน่ๆ อย่างนึงคือ ยังไม่มีระเบียบวินัยเอาซะเลย
เวลาทำวัตร สวดมนต์ก็ไม่ค่อยอยากจะไป นั่งพับขานานๆก็ไม่ไหว
เพราะหลังไม่ค่อยดี ต้องนั่งเก้าอี้มีพนักเวลานั่งสมาธิ
แถมนานๆไปก็พาลคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านขึ้นมาซะอีก
ยังจำได้ เมื่อคราวไปครั้งนั้น ประมาณวันที่ 13 - 14
เริ่มเกเร บ่นกระปอดกระแปดว่า ทำไมตัวเองต้องมาลำบากลำบนที่นี่
ขณะที่คนอื่นก็นอนหลับกินอิ่ม แบบที่คุณอากล่าวข้างบนเลยค่ะ
สรุปว่า ยังรักสบาย แล้วก็กิเลสยังหนาเหลือเกิน
เอาไว้ออกปลีกวิเวก ติวเข้มบ่อยๆดีกว่า เพราะยังอยู่ถาวรไม่ได้แน่ๆ :-)
โดยคุณ กระต่าย วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 10:49:09

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 11:20:52
สาธุครับ กระทู้นี้มีข้อเตือนใจมากมายครับ

ผมเองเคยมีความคิดที่จะไปบวชแบบไม่หันหลังกลับมาเหมือนกันครับ แต่เมื่อพิจารณาดู ตนเองก็ขาดความพร้อมอยู่เหมือนกัน เพราะในตอนนั้นก็มีหนี้สินอยู่บ้าง เพราะกู้เงินแบงก์มาซื้อที่ดินไว้ที่เชียงใหม่ และยังต้องดูแลพ่ออยู่ ยังต้องหาเงินส่งไปให้ทุกเดือน ก็เลยทำไม่ได้ ในตอนนั้นใจก็ร่ำๆอยากไปบวชเพราะคิดว่าตนเองเบื่อทางโลกมามากพอแล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่าตนเองได้เสวย วิภวตัณหาเข้าไปเต็มที่แล้ว
โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 11:20:52

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 12:36:20
เท่าที่จำได้สมัยบวชนะครับ มีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง
ที่พี่ปราโมทย์ยังไม่ได้พูดถึง (อาจเป็นปัญหาของผมคนเดียวก็ได้)
ก็คือเรื่อง ความว่าง

ไม่ใช่ความว่างจากตัวตนนะครับ :)
เป็นความว่างงาน ที่อยู่เฉยๆ ภาวนาทั้งวัน พยายามหาอย่างอื่น
ทำเช่น อ่านหนังสือ กวาดลานวัด ก็ยังรู้สึกชีวิตมันว่างเกินไป

ครั้นจะใช้ชีวิตนักบวช ตามหาอาจารย์ดีๆ ที่นู้นที่นี่
ก็มีความคิดว่า เราปฏิบัติลงที่กายและจิตนี้
ทำไมต้องดิ้นรนแสวงหา จากที่อื่น
แค่มีหนึ่งกายหนึ่งจิตก็พอแล้ว

ก็เป็นอันว่า ไม่รู้จะจัดการกับเวลาว่างอย่างไรนอกจากภาวนา
ก็ทำให้รู้สึกเบื่อเหมือนกัน คิดไปว่านี่แค่บวช
2 เดือนยังไม่รู้จะทำอะไร ถ้าบวชตลอดชีวิต
คงจะแย่แน่

ใครคิดจะบวชก็คอยรับมือกับความว่างงานนี้ด้วยครับ
โดยคุณ มะขามป้อม วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 12:36:20

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ ไพ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 15:22:27
อ่านที่คุณมะขามป้อมพูดเรื่องว่างแล้ว
มานั่งนึกอยู่ว่า เออ..ท่าจะจริง
ให้อยู่นิ่งๆหาอะไรทำไม่ได้ จะอยู่ได้เหรอเนี่ย
แต่ถามพี่ปราโมทย์แล้ว พี่บอกว่า
"ปฏิบัติไม่เป็นน่ะ เลยมีเวลาว่าง ถ้าเจริญสติตลอด
จะไม่มีเวลาว่างเลย"
นึกขึ้นได้ว่าเคยได้ยินหลวงปู่บุดดาท่านบอกว่า
"วันๆแค่ทะเลาะกับตัวเอง ก็ไม่มีเวลาไปทะเลาะกับ
ใครแล้ว" (คือแค่ว่านี่รู้ นี่เผลอ ก็ยุ่งทั้งวัน)
โดยคุณ ไพ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 15:22:27

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 18:26:16
ข้อความที่เขียนกันตามกระดานข่าว
ง่ายต่อความเข้าใจผิดจริงๆ ครับ
ที่หมอไพนำข้อความที่คุยกับผม
มาเขียนต่อกับข้อความของคุณมะขามป้อมนั้น
อาจจะก่อความเข้าใจผิด ว่าผมไปว่าคุณมะขามป้อม ปฏิบัติไม่เป็น

คุณมะขามป้อมนั้น เลยปัญหาเรื่องปฏิบัติไม่เป็นมานานแล้ว
ส่วนข้อความที่ผมคุยกับหมอไพ
เป็นการปรารภของหมอไพเกี่ยวกับตนเอง
ว่าถ้าออกไปบวช คงรู้สึกว่างมากเกินไป
เพราะปกติเป็นคนชอบทำกิจกรรมมากมายในแต่ละวัน
ผมจึงตอบว่า "ปฏิบัติไม่เป็นน่ะ เลยมีเวลาว่าง
ถ้าหมอไพเจริญสติตลอด จะไม่มีเวลาว่างเลย"

สำหรับข้อเขียนของคุณมะขามป้อมนั้น
ผมเข้าใจดีว่า เป็นคำเตือนน้องๆ
จากประสบการณ์ สมัยที่คุณมะขามป้อม ยังปฏิบัติไม่ได้อย่างเดี๋ยวนี้
ซึ่งเป็นคำเตือนที่น้องๆ หลานๆ ควรใส่ใจฟังอย่างยิ่ง
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 13 มิถุนายน 2543 18:26:16

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 08:28:20
โดยส่วนตัวแล้วความคิดเรื่องบวช กับผม ยังห่างไกลกันเยอะครับ
แต่เท่าที่ดู ไม่ได้มีจิตอคตินะครับ ปัจจุบันมีผู้พร้อมสำหรับการบวช
ใน100คนจะมีพร้อมจริงๆสักกี่คน ตั้งแต่ไปงานบวชมา
เพิ่งจะเห็นเพียง 1 เดียวเท่านั้นเองที่พร้อมที่จะบวชจริง
คือบวชเณรมาก่อน แล้วสึกจากเณรแล้วจึงบวชพระ(คงไม่สึก)
ปัจจุบันโดยส่วนใหญ่แล้ว เป็นการบวชก่อนเบียด คิดว่าคงจะบวชเพราะประเพณีที่
ทำต่อๆกันมา ก็คงจะดี ถ้าไม่เข้าไปเจอสภาพ พระมีเมีย,พระยักสังฆทานไปขาย,ฯลฯ
ซึ่งการบวชแบบหลังนี่ ศรัทธาไม่มั่นคงอยู่แล้วเนื่องจากการบวช ไม่ได้เห็นประโยชน์จาก
การบวชและหนำซ้ำไปเจอพวกเปรตในผ้าเหลืองอีก
หลังจากสึกเลยพาลจะไม่ไหว้พระเอาซะอย่างนั้นแหละ

สำหรับทั่วๆไป พระบวชใหม่พอบวชเสร็จปุ๊บ คนเฒ่าคนแก่ จะเปลี่ยนคำพูดคำจาไปเลย
ผมว่ามันพลิกเกินไปหน่อย จากเคยที่โดนเรียกไอ้ มาเป็นท่าน จากที่เคยโดนด่า
ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นให้พรคน? ซึ่งหลายๆอย่างที่มันเกิดแบบพลิกหน้ามือ
เป็นหลังมือนี้แหละถ้ายังไม่รู้จักกับหน้าที่ หรือหลงใหลในคำเรียกขาน,
การแสดงความเคารพ,ฯลฯ   จะทำให้เสียพระไปง่ายๆ

เหตุที่การบวชกับผมยังห่างไกลกันเยอะนั้นมันมาจากว่า ตอนเล็กๆ เคยคิดถึงกิจวัตร
ประจำวันของพระ คิดแล้วหายอยากไปเลยครับคือ

03.00-05.00 ตื่น สวดมนต์ ทำสมาธิ (สองชั่วโมงก็หนาวแล้ว
เพราะลำพังการทำสมาธิอย่างเก่งก็ได้แค่ชั่วโมงเดียว)
05.00-07.00 บิณทบาตร
07.00-09.00 ฉัน+สวดมนต์ (ปกติ กินแค่4-5นาที ขืนไปนั่งกินช้าๆสงสังทุรนทุรายตาย)
เอาละทีนี้ตั้งแต่09.00ไปจนถึงดึกล่ะจะทำอะไร
อย่างที่คุณมะขามป้อมกล่าวไว้ แค่คิดก็หนาวใจแล้ว
จริงอยู่ปฏิบัติเป็น แต่แน่ใจหรือเปล่าว่า ทนกิเลสไหว
คิดจนถึงขั้นนี้ทีไร ความคิดที่จะบวชหายหมดเลย แต่ตอนนี้ก็ได้คิดทางออกไว้
พอสมควรแล้วคือ ไม่บวชพระ แต่จะบวชผ้าขาวสักระยะแล้วจึงจะบวช
ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นเปรตไม่รู้ตัว
เอากันแค่ตอนนี้สติไม่ให้หลุดผมว่าน่าจะพอเพียงต่อการปฏิบัติแล้วล่ะครับ
ขอบคุณครับ
โดยคุณ ธีรชัย วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 08:28:20

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ อี๊ด วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 10:00:50
สาธุครับ...
ผมพิจารณาเรื่องนี้มากเหมือนกัน
เคยได้ยินมาว่า  พระธรรมวินัยนั้นเปรียบเหมือนกับทะเล
ผมไม่ค่อยจะรู้ความหมายสักเท่าไร...แต่เป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ
ขอบพระคุณครับ
โดยคุณ อี๊ด วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 10:00:50

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 10:23:56
นึกถึงความหลัง สมัยตัวเองไปบวชครับ ที่วัดใกล้ๆบ้าน (ตามคำขอร้องของอาๆ เพื่อที่อาท่านจะได้ใส่บาตรได้ทุกวัน)

ตั้งใจมากเลยครับ ว่าจะเข้าไปฝึกการภาวนาให้มาก แม้ว่าตอนนั้นไม่รู้จักสติ แต่ก็ตั้งใจที่จะภาวนาพุทโธนี้ให้มาก แต่เข้าไปแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้น มีกิจต้องทำและน่ารำคาญมากเหมือนกัน

1. ต้องฉัน 2 มื้อ มื้อที่สองหรือมื้อเพลนี้ ไม่ทันหิวเลยครับ เพราะตอนเช้าฉันเสร็จก็เกือบ 9 โมงแล้ว 11 โมงก็ต้องฉันอีกแล้ว ไม่ฉันก็ไม่ได้ เดี๋ยวไม่เข้าหมู่ แล้วยังอาจจะมีข้อหาว่ากินกับข้าวชาวบ้านไม่ลง แอบกลับไปกินที่บ้าน เป็นต้น
2. ต้องไปสวดงานศพ มีทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 โดยเฉลี่ย

ที่มากไปกว่านั้นคือ ต้องเรียนนักธรรมตรีด้วย เพราะต้องไปสอบ ใครไม่ไปสอบ ไม่ได้เด็ดขาด (เข้าใจว่า เจ้าคณะจังหวัดต้องการยอดหรือจำนวนผู้ไปสอบให้ได้มากๆ) เลยต้องเรียนทุกบ่าย

เวลาฉัน จะฉันสำรวมก็ไม่ได้ หากฉันน้อย ชาวบ้านก็หาว่าเป็นพวกหัวสูงกินกับข้าวชาวบ้านไม่ได้ เฮ้อ... เป็นไงไป

หลบไปนั่งภาวนาก็หาว่าจะเป็นบ้า จนต้องหนีไปหอระฆังไม่ให้ใครเห็น ส่วนกุฏิผมเองอยู่ไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าอยู่ติดกับกุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งมีแขกตลอดเวลาครับ

เรื่องหัดเดินจงกรมไม่ต้องพูดถึง หากไปเดิน ต้องเจอข้อหาประหลาดๆอีกมาก

แต่ว่าโดยรวมก็ยังดี เพราะในการบวชครั้งนี้ ยังได้รู้จักปีติในสมาธิบ้าง ว่าเป็นอย่างไร กับได้อ่านหนังสือ มิลินทปัญหา กับพระสูตรที่พระพุทธเจ้าโต้ตอบกับเทวดา แล้วก็เดินท่อมๆมองหาผัสสะ(แต่หาไม่เจอ)

บวชในวัดพระบ้าน ก็ปฎิบัติยากอย่างนี้แหละครับ (ส่วนพระอุปัชฌาย์ท่านก็ไม่ค่อยได้สอนอะไร ยังดีอยู่หน่อยที่ท่านนำทำวัตร และจับนั่งสมาธิทุกวัน ส่วนเวลาอื่นๆท่านก็วุ่นกับการพัฒนาวัดพัฒนาชุมชนครับ)

โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 10:23:56

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 11:26:38
เขียนกระทู้นี้เพื่อให้เพื่อนที่คิดจะบวชเตรียมกายเตรียมใจให้ดี
ไม่ได้เขียนเพื่อชวนไม่ให้บวชกันนะครับ :)
สำหรับผมกับภรรยาก็เตรียมตัวบวชเหมือนกัน
ในด้านปัจจัยภายในนั้นพร้อมมานานแล้ว
แต่ติดที่ยังมีภาระเลี้ยงดูผู้เฒ่าอยู่ท่านหนึ่ง

การเป็นพระนั้นยากก็จริง แต่เป็นความยากที่มีผลเกินค่า
ส่วนการเป็นฆราวาสแม้จะสบายหลายอย่าง
แต่ก็เป็นทางคับแคบ เกลือกกลั้วด้วยธุลี
ยากที่จะปฏิบัติธรรมให้หมดจดถึงที่สุดได้

ดังนั้น ใครพร้อมแล้วไปบวช ก็น่าอนุโมทนา
คนที่ไม่พร้อม ก็เป็นฆราวาสที่ดีมีคุณธรรมกันไป
ทั้งพระ ทั้งโยม ต่างก็หาสิ่งที่ดีที่สุดให้ตนเองตามกำลัง
และต่างก็เป็นผู้เกื้อหนุนพระศาสนาด้วยกันทั้งสองฝ่าย
จะขาดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ลำบากครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 11:26:38

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 11:39:15
ไม่ได้สรุปตบท้ายไว้ครับ ว่า หากคิดจะบวชเพื่อให้เกิดผลที่ดีกับตนบ้าง ก็ควรจะพยายามเลือกๆวัดบ้างครับ หากบวชเพื่อประเพณีก็ว่ากันไปตามถนัดก็แล้วกันครับ
โดยคุณ พัลวัน วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 11:39:15

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 12:30:05
คุณพัลวันบวชแล้วยุ่งเกินไป
ผมบวชแล้วว่างเกินไป อิอิ

ที่จริงสมัยนั้นก็พอจะรู้จักจิตผู้รู้แล้วครับ
แต่รู้จักหน้าไม่รู้จักชื่อเท่านั้นเอง
เพราะไม่รู้จะไปสอบจิต สอบอารมณ์กับใคร
ปฏิบัติเองลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ
โชคดีที่มันถูกมากกว่าผิด :)

อ้อ...มีอยู่ประโยคหนึ่งครับที่ผมยึดเป็นหลักไว้ในใจ
คือบวชแล้วให้ไหว้ตัวเองได้อย่างสนิทใจ
ทุกวันนี้ ผมมีรูปถ่ายตอนบวชที่สวนโมกข์
ตั้งอยู่บนโต๊ะหมู่ และก็ไม่รู้สึกกระดากที่จะไหว้ตัวเอง
ในอดีตเลยครับ เพราะเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์
แห่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ตนได้ทำไว้ กราบไหว้
ได้แน่นอน เป็นสังฆานุสติให้ตัวเองได้อีกด้วยครับ

โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 12:30:05

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ tana วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 14:33:23
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 14:35:15
แหะๆ ขออภัยคุณมะขามป้อมด้วย
ไม่ได้เจตนา :-)
โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 14:35:15

ความเห็นที่ 15 โดยคุณ บอย วัน พุธ ที่ 14 มิถุนายน 2543 17:38:26
เห็นด้วย ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 16 โดยคุณ ปิ่น วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 13:50:57
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 17 โดยคุณ ฐิติมา วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน 2543 18:53:41
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 18 โดยคุณ บอยเอง วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 17:46:10
เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะบวชเหมือนกันครับ. ตอนนั้นเข้าข่ายเลือดขึ้นหน้า กับว่างงาน. ตอนนี้นับอายุดูแล้ว ดูภาระที่เกิดขึ้น และที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เห็นทีต้องพักเรื่องการบวชยาวเลยครับ.
เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองเป็นฅนขี้เกียจ เลยอยากใช้วินัย
ข้อบังคับของการเป็นพระมาตีกรอบให้ตัวเอง. ตอนนี้ก็ยังคิดแบบนี้อยู่นะครับ. ไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่า สำหรับฅน
ขี้เกียจอย่างผม ?
โดยคุณ บอยเอง วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 17:46:10

ความเห็นที่ 19 โดยคุณ บอยเอง วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 17:47:36
เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะบวชเหมือนกันครับ. ตอนนั้นเข้าข่ายเลือดขึ้นหน้า กับว่างงาน. ตอนนี้นับอายุดูแล้ว ดูภาระที่เกิดขึ้น และที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เห็นทีต้องพักเรื่องการบวชยาวเลยครับ.
เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองเป็นฅนขี้เกียจ เลยอยากใช้วินัย
ข้อบังคับของการเป็นพระมาตีกรอบให้ตัวเอง. ตอนนี้ก็ยังคิดแบบนี้อยู่นะครับ. ไม่รู้ว่าผิดหรือเปล่า สำหรับฅน
ขี้เกียจอย่างผม ?
โดยคุณ บอยเอง วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 17:47:36

ความเห็นที่ 20 โดยคุณ บอยเอง วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 17:50:14
ถ้าเป็นฅนขี้เกียจ แล้วกะจะใช้วินัยข้อบังคับของสงฆ์มา
บังคับตัวเรา. ความคิดนี้ถือเป็นความคิดที่อันตรายหรือ
เปล่าครับ ?
โดยคุณ บอยเอง วัน พฤหัสบดี ที่ 29 มิถุนายน 2543 17:50:14

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com