เรามาคุยกันต่อเรื่องเพื่อนคู่ใจของนักปฏิบัติ
หลายท่านมาเล่าถึงเพื่อนคู่ใจอย่างน่าฟัง เรื่องนี้ไ่ม่มีใครผิด เพราะเป็นคำตอบที่ถูกเฉพาะตัวทั้งสิ้น และเพื่อนคู่ใจที่เล่ากันนั้น ก็มีทั้งเพื่อนดี เช่นกาย ความว่าง สติสัมปชัญญะ และเพื่อนชั่ว เช่นอวิชชา และกิเลสนานาชนิด ช่างเหมือนชีวิตจริงภายนอกนี่ ที่เราก็มีทั้งเพื่อนดีและเพื่อนชั่ว
คนมีปัญญา ก็ย่อมได้ประโยชน์ทั้งจากเพื่อนดีและเพื่อนชั่ว อย่างน้อยที่สุด การเห็นเพื่อนชั่วในจิตใจของเรา ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตนเอง
สำหรับผมเอง โยนิโสมนสิการ คือเพื่อนคู่ใจในการปฏิบัติอย่างแท้จริง ถ้าปราศจากโยนิโสมนสิการเสียอย่างเดียว ผมจะไม่มีทางปฏิบัติมาถึงปัจจุบันนี้ได้เลย แต่ก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์จริง ขออธิบายคำว่า โยนิโสมนสิการ ตามตำราเสียก่อน
โยนิโสมนสิการ - การทำในใจโดยแยบคาย, - กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, - การพิจารณาโดยแยบคาย คือพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ และความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว ยังกุศลธรรมให้บังเกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา, - ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี (จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก)
********************************
คราวนี้ขอนำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง เกี่ยวกับการใช้โยนิโสมนสิการ ทั้งที่ตอนนั้น ไม่ทราบหรอกว่า นั่นคือการใช้โยนิโสมนสิการ ผมไปฟังธรรมครั้งแรกจากหลวงปู่ดูลย์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2525 ครั้งนั้นหลวงปู่สอนให้ดูจิตตนเอง ตอนฟังก็คิดว่าเข้าใจ แต่พอลาท่านกลับกรุงเทพแล้ว จึงรู้ว่าผมเองดูจิตไม่ได้หรอก เพราะยังไม่ทราบว่า จิตเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน จะเอาอะไรไปดู
เมื่อไม่สามารถเรียนถามจากครูบาอาจารย์ อันเป็นยอดกัลยาณมิตรได้ ผมก็จำเป็นต้องพึ่งตนเอง โดยการพิจารณาอย่างแยบคาย เพื่อทำความรู้จักจิต รู้จักที่อยู่ของจิต และพัฒนาเครื่องมือดูจิต เริ่มแรกก็พิจารณาว่า จิตจะต้องอยู่ในขันธ์ 5 นี้เอง จึงทำใจให้สบายๆ กำหนดสติตรวจสอบลงในร่างกายทีละส่วน เมื่อไม่พบจิต ก็พิจารณาแยกแยะหาจิตในเวทนา สัญญา และสังขาร ในที่สุดก็เข้าใจชัดว่า จิตเป็นธรรมชาติรู้ อะไรถูกรู้ อันนั้นไม่ใช่จิต ตรงกับตำราที่ท่านกล่าวว่า โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ สิ่งที่ผมทำ คือการแยกแยะจนรู้สภาวะของขันธ์และจิต แล้วทำให้รู้ถึงเหตุผล หรือความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับอารมณ์ทั้งปวง
ในช่วงแรกเริ่มปฏิบัตินั้น พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมากมาย เช่นรู้ความไหวยิบยับขึ้นมาจากความว่างบ้าง รู้ความไหวกลางอกเมื่อเวลาอายตนะภายในกระทบกับอายตนะภายนอก บางวันก็เกิดก้อนอัดแน่นขึ้นกลางอก บางวันจิตก็ว่าง สว่าง เบา สบาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ ในการพิจารณาว่า สิ่งนี้คืออะไร เกิดด้วยเหตุใด มีบทบาทอย่างไร และเราควรกระทำต่อสิ่งนั้นอย่างไร
เพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์ และไม่มีเพื่อนภายนอกจะปรึกษาด้วยได้ ผมมีสิ่งเดียวเป็นเพื่อน คือโยนิโสมนสิการ บางอย่างต้องพิจารณาโดยการเฝ้ารู้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกนานนับเดือน จนเข้าใจชัดและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสภาวะที่ปรากฏนั้น การที่ต้องลูบคลำค้นคว้าแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตนเองนั้นเอง จึงพอจะได้ความรู้ความเข้าใจมาบอกกับหมู่เพื่อนในวันนี้ เพราะสิ่งใดที่ผู้อื่นผิด เกือบทั้งหมดนั้นผมเคยผิดมาก่อนแล้ว
โยนิโสมนสิการ เหมือนกับเสนาธิการใหญ่ของจิต เป็นผู้เปิดเผยกลศึกของศัตรูร้ายคือกิเลสตัณหาอุปาทานทั้งปวง เป็นผู้กำหนดกลศึกในการรับมือกับข้าศึกนั้นๆ และเป็นผู้เลือกเฟ้น มอบหมายให้ขุนศึกฝ่ายธรรมะทั้งหลาย ทำงานในแต่ละช่วงจังหวะ เช่นบางขณะก็เจริญศรัทธา บางขณะเร่งความเพียร บางขณะเจริญสติ บางขณะเจริญสมาธิ และบางขณะเจริญปัญญา
กิเลสเป็นของเร็วและว่องไวยิ่งนัก เวลาที่ผู้ปฏิบัติเผชิญหน้ากับมันนั้น จะมัวเที่ยวถามครูบาอาจารย์ก็ไม่ทันแล้ว อาศัยโยนิโสมนสิการนี้แหละ เป็นเพื่อนคู่ใจ เพราะเป็นของทันกันกับกิเลสตัณหา
เพราะประจักษ์ชัดถึงคุณค่าของโยนิโสมนสิการนี้แหละ ทำให้ผมซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเมื่ออ่านคำสอนของพระศาสดา ที่ท่านทรงสอนไว้อย่างชัดเจนว่า กัลยาณมิตรหนึ่ง โยนิโสมนสิการหนึ่ง คือบุพนิมิตหรือเครื่องหมายแรกแห่งการปรากฏของอริยมรรค
กระทู้นี้ยังไม่จำเป็นต้องปิดเพียงเท่านี้นะครับ ท่านใดมีประสบการณ์ที่มีเพื่อนคู่ใจในการปฏิบัติอย่างใด ก็เชิญเผื่อแผ่แบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ให้หมู่เพื่อนได้ทราบด้วย ถือว่าเป็นกระทู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันก็แล้วกันครับ |
|