กลับสู่หน้าหลัก

เพื่อนคู่ใจของนักปฏิบัติ

โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 11:25:23

ถ้าเราศึกษาประวัติของพระมหาเถระในอดีต หรือครูบาอาจารย์ในยุคปัจจุบัน
จะพบว่าบางท่านจะมีสหธรรมิกที่สนิทสนมคุ้นเคยเป็นพิเศษ
เช่นท่านพระสารีบุตร จะเป็นเพื่อนสนิทกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ
และเมื่อทั้งสองท่านต่างมีภารกิจมากขึ้น มีโอกาสสนทนากันเองน้อยลง
ท่านพระสารีบุตรก็มีท่านพระมหาโกฏฐิตะ เป็นคู่สนทนาอยู่บ่อยครั้ง

ในยุคสมัยของเรานี้  ท่านพระอาจารย์มั่นกับท่านพระอาจารย์เสาร์
ท่านก็มีความใกล้ชิดต่อกันตราบจนมรณภาพ
หลวงปู่แหวนกับหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่หลุยกับหลวงปู่ชอบ ฯลฯ
ก็เป็นตัวอย่างของเพื่อนสหธรรมิกที่เห็นได้ชัดเจน
ถึงผมเองก็มีพุทธินันท์ เป็นเพื่อนร่วมศึกษาธรรมมาด้วยกัน

นักปฏิบัติที่มีเพื่อนคู่ใจหรือเพื่อนสหธรรมิกก็มี ที่ปฏิบัติเดี่ยวๆ ก็มี
และที่ปฏิบัติพร้อมๆ กันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ก็มี
ซึ่งการปฏิบัติเป็นกลุ่มใหญ่
เหมาะสำหรับการศึกษาวิธีปฏิบัติในเบื้องต้นเท่านั้น
เมื่อทราบวิธีแล้ว ก็ต้องแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามลำพัง
หรือแยกย้ายไปปฏิบัติเป็นกลุ่มย่อยๆ
จะเอาแต่นั่งรวมกลุ่มคุยธรรมะกันทั้งวัน แบบนั้นเห็นจะไปไม่รอด

ถึงพระมหาเถระในอดีต และในปัจจุบัน 
ท่านก็ศึกษาธรรมจากพระศาสดาหรือครูบาอาจารย์ แล้วแยกย้ายกันปฏิบัติ
หากถูกอัธยาศัยกับใครเป็นพิเศษ ก็อาจจะไปหาที่ปฏิบัติร่วมกัน
หรือแยกย้ายกันปฏิบัติ แต่มาพบกันเป็นครั้งคราว
เพื่อตรวจสอบหรือปรึกษาหารือการปฏิบัติกัน
และเมื่อถึงเวลาอันสมควร ต่างองค์ก็กลับไปหาครูบาอาจารย์
แล้วจึงไปพบกันเป็นกลุ่มใหญ่ในสำนักของครูบาอาจารย์
ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติที่ไหนก็หอบหิ้วกันไปเป็นจำนวนมากๆ เป็นร้อยเป็นพันองค์
ทั้งนี้เพราะพระศาสดาไม่ประสงค์จะให้สาวกคลุกคลีกันอย่างนั้น

****************************************

การมีเพื่อนสหธรรมิก นับแต่ครูบาอาจารย์ลงมา
จนถึงเพื่อนที่ถูกใจกันในด้านการศึกษาและปฏิบัติธรรม 
หรือเพื่อนที่ถูกอัธยาศัยกันเป็นส่วนตัว
ก็ยังจัดเป็นเพื่อนภายนอก
ไม่อาจจัดเป็นเพื่อนคู่ใจอย่างแท้จริงของนักปฏิบัติได้
เพราะถึงจะอยู่ใกล้ชิดกัน ก็อยู่ได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
แล้วต่างคนต่างก็ต้องแยกย้ายกันไป
เพื่อทำสงครามกับกิเลสตัณหาภายในจิตใจของตนเอง

การทำศึกกับกิเลสตัณหาเป็นกิจเฉพาะบุคคล 
ประเภทตัวใครตัวคนนั้น ช่วยกันไม่ได้
ข้าศึกคือกิเลสตัณหา ก็กล้าหาญชาญชัยเสียเหลือเกิน
มีอุบายพลิกแพลงเข้าโจมตีผู้ปฏิบัติอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งกลางวันกลางคืน
ด้วยสงครามร้อนบ้าง สงครามเย็นบ้าง
เข้ามาทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ... ทางใจบ้าง
ในยามที่ต่อสู้ในสงครามชนิดนี้ ผู้ปฏิบัติจะเหลือเพียงตัวคนเดียว
ทำนองเดียวกับที่พระศาสดาของเรา ทรงผจญมารตามลำพังพระองค์เอง
เพราะทวยเทพทั้งหลาย พากันหลบลี้หนีหน้าไปหมด
ถึงพวกเราเหล่าสาวกทั้งหลาย
ในยามที่จะปฏิบัติธรรม ก็ต้องต่อสู้ตามลำพังเช่นกัน
ครูบาอาจารย์ หรือเพื่อนสหธรรมิก ก็เข้าไปช่วยต่อสู้ด้วยไม่ได้

ในยามนี้แหละ เราจะรู้ว่า เพื่อนคู่ใจที่แท้จริงของเราคืออะไร

วันนี้เขียนเท่านี้ก่อนนะครับ
พวกเราใครมีเพื่อนคู่ใจแบบไหน 
จะลองนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ดี
แต่ขอแบบประสบการณ์จริงๆ
ส่วนเพื่อนคู่ใจของผมก็มีเหมือนกัน
แต่จะเป็นเพื่อนคนเดียวกันหรือเปล่า ก็ยังไม่แน่ใจครับ

***********************************
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 11:25:23

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ปิ่น วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 13:28:31
เพื่อนคู่ใจของผมที่เจอกันอยู่ทุกวันคือกาย
นี่เลยครับ จะสุขจะทุกข์ก็อยู่กับใจผมตลอดเลย
แยกกันยังไม่ขาดซะที แต่กำลังพยายามอยู่ครับ
( ^_^ )
โดยคุณ ปิ่น วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 13:28:31

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ โจโจ้ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 13:29:51
เพื่อนคู่ใจในยามยากที่ผมมีคือสติ-สัมปชัญญะครับ
เสมอมาและเสมอไปครับ แต่ก็น่าสงสัยว่าทำไมยังเผลออยู่บ่อยๆนะ =)
โดยคุณ โจโจ้ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 13:29:51

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 14:45:22
มีเพื่อนซี้ที่คบกันมานานแล้วครับ รักกันมากชื่ออวิชชาครับ ;)
โดยคุณ มะขามป้อม วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 14:45:22

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 16:16:34
น้าเอ็คค่อน(มะเหมี่ยว)แอบมากระซิบว่า
ตอนนี้มีแต่เพื่อนคู่ใจที่มีชีวิต:-)
(ขออภัย ไม่ได้ตั้งใจจะเอามาเผานะ)
ตัวเองก็กำลังเหล่หาเพื่อนคู่ใจทั้งที่มีชีวิต
และไม่มีชีวิต ที่มีชีวิตก็ยังไม่เจอผู้โชคร้าย:-)
ที่ไม่มีชีวิตก็ยังหาไม่เห็นเหมือนกัน
เห็นแต่ศัตรูคู่ใจเต็มไปหมดเลย
เช่น ความฟุ้งกระจาย ความเผลอ
ความง่วง ความอยาก และอื่ินๆอีกมากมาย
คงต้องรอให้ศัตรูมันหายสาบสูญไปซะก่อน
แน่ๆเชียว แล้วเพื่อนคู่ใจคงโผล่มาเอง:-)

โดยคุณ ไพ วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 16:16:34

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ aek123 วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 19:12:16
ความว่าง  เป็นเพื่อนที่ผมรู้สึกดีมากๆๆครับ
แต่ยังมีโอกาสได้พบน้อยมาก  แต่กำลังพยายาม
จะพบบ่อยๆๆ   
โดยคุณ aek123 วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 19:12:16

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ หนึ่ง วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 21:12:07
จำได้ว่าช่วงปลายๆปีที่แล้วเคยมีอยู่ครั้งหนึ่งครับ
ที่พยายามภาวนาไปเรื่อยๆแล้วไปสังเกตพบว่า ตัว
เองมีนิสัยชอบหลีกเลี่ยงความเศร้าหมองด้วยการ
เร่งให้รู้สึก active เข้าไว้ตลอดเวลา

ไปศาลาพบคุณอา คุณอาก็สอนว่า ดีแล้ว แต่ต้อง
คอยดูนะ ไปปล่อยสิ่งที่กดทับแบบนี้ให้ออกมาเมื่อ
ไร จะพุ่งเป็นภูเขาไฟระเบิดเลย

เมื่ออยู่ต่อที่ศาลาก็เลยปล่อยจิตปล่อยใจตามสบาย
เลยครับ พยายามตามรู้ไปเฉยๆ ปรากฏว่า ได้ผลครับ
ไม่รู้ทั้งทุกข์ ทั้งซึมเศร้า ทั้งหดหู่ เฮโลมาจากไหนกันเป็น
แถว ราวกับโดนรถบรรทุกทุกข์ทับเป็นขบวนเลย
(สงสัยเจ้าพวกนี้จะรอโอกาสแก้แค้นกันมานานมากแล้ว)

พอขับรถกลับจากศาลาในวันนั้น เห็นทุกข์เต็มจิตไป
หมดมากมายเหลือเกิน ราวกับเปิดกล่อง pandora
ออกมา ตัวเองพอมีก็แต่สติ แต่ไม่มีสัมปชัญญะเอาเสีย
เลย คิดถึง คุณอาบ้าง พี่ตุลย์บ้าง ใครต่อใครบ้างราว
กับจะร้องว่า "ช่วยผมทีครับ เจ้าพวกนี้มากันเยอะ
จนหน้ามืดแล้ว" :-)

ตอนนั้นเอง ก็ได้รู้อย่างชัดเจนในใจว่า ถึงเวลาเข้า
จริงๆ ทุกข์เอย อะไรเอย ก็กองอยู่ในจิตของเรานี่เอง
ไม่ว่าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้วิเศษ ใครๆ หรืออะไรภาย
นอกก็ตาม ....... ไม่มีเลยแม้แต่ท่านเดียวหรือสิ่งเดียวที่
สามารถช่วยเราได้ ไม่ว่าท่านจะต้องการช่วยขนาดไหน
เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราก่อเอง อยู่ในตัวเราเอง เราต้อง
เผชิญหน้าและปฏิบัติเอาด้วยตนเอง...

-----

พยายามมีสติ+สัมปชัญญะเป็นเพื่อนคู่ใจครับ ยามเขาอยู่
ด้วยนี่ ช่างแสนสบายราวกับไม่มีอะไรจะมาทำให้ทุกข์ได้
แทรกมาด้วยความรู้สึกชุ่มชื่น จากความเป็นอิสระนิดๆหน่อยๆ
บ้างเรื่อยๆ (ก็พยายามรู้ทันเจ้าพวกนี้ไปด้วยครับ :-))
ทำให้พออนุมานได้ว่า ถ้าปฏิบัติได้ดีๆจะเป็นสุขขนาดไหน

แต่มาพักหลังนี่ งานหนักแถมย่อหย่อน เพื่อนยาก (สติ
สัมปชัญญะ) เลยไม่ค่อยโผล่หน้ามาเยี่ยม จากที่มาน้อยอยู่แล้ว
คราวนี้หายตัวไปนานมาก (สงสัยถึงเกือบถึงขนาดเลิกคบ
หรือไม่ก็เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ อิอิ)

ตอนนี้กำลังพยายามอย่างหนักทุกวันที่จะเรียกเจ้าเพื่อนคนนี้
กลับมาครับ เพราะเมื่อไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว ลำบากเหลือเกิน :-)
โดยคุณ หนึ่ง วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 21:12:07

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ ต๊าน วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 23:28:46
เพื่อนคู่ใจชองต๊านช่วงนี้คือความเผลอค่ะ แฮะๆ
แต่จะพยายามทำตามที่คุณอาและพี่ๆเพื่อนๆแนะนำไว้ในกระทู้ข้างล่างค่ะ
โดยคุณ ต๊าน วัน พุธ ที่ 21 มิถุนายน 2543 23:28:46

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน 2543 20:08:35
เรามาคุยกันต่อเรื่องเพื่อนคู่ใจของนักปฏิบัติ 

หลายท่านมาเล่าถึงเพื่อนคู่ใจอย่างน่าฟัง 
เรื่องนี้ไ่ม่มีใครผิด เพราะเป็นคำตอบที่ถูกเฉพาะตัวทั้งสิ้น 
และเพื่อนคู่ใจที่เล่ากันนั้น ก็มีทั้งเพื่อนดี 
เช่นกาย ความว่าง สติสัมปชัญญะ 
และเพื่อนชั่ว เช่นอวิชชา และกิเลสนานาชนิด 
ช่างเหมือนชีวิตจริงภายนอกนี่ ที่เราก็มีทั้งเพื่อนดีและเพื่อนชั่ว 

คนมีปัญญา ก็ย่อมได้ประโยชน์ทั้งจากเพื่อนดีและเพื่อนชั่ว 
อย่างน้อยที่สุด การเห็นเพื่อนชั่วในจิตใจของเรา 
ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาตนเอง 

สำหรับผมเอง โยนิโสมนสิการ คือเพื่อนคู่ใจในการปฏิบัติอย่างแท้จริง 
ถ้าปราศจากโยนิโสมนสิการเสียอย่างเดียว 
ผมจะไม่มีทางปฏิบัติมาถึงปัจจุบันนี้ได้เลย
 
แต่ก่อนจะเล่าถึงประสบการณ์จริง 
ขออธิบายคำว่า โยนิโสมนสิการ ตามตำราเสียก่อน 

โยนิโสมนสิการ 
- การทำในใจโดยแยบคาย, 
- กระทำไว้ในใจโดยอุบายอันแยบคาย, 
- การพิจารณาโดยแยบคาย คือพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง 
โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ 
แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ 
และความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย 
หรือตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีที่ชั่ว 
ยังกุศลธรรมให้บังเกิดขึ้นโดยอุบายที่ชอบ 
ซึ่งจะมิให้เกิดอวิชชาและตัณหา, 
- ความรู้จักคิด, คิดถูกวิธี 
(จากพจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก) 

******************************** 

คราวนี้ขอนำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง 
เกี่ยวกับการใช้โยนิโสมนสิการ 
ทั้งที่ตอนนั้น ไม่ทราบหรอกว่า นั่นคือการใช้โยนิโสมนสิการ 
 
ผมไปฟังธรรมครั้งแรกจากหลวงปู่ดูลย์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2525 
ครั้งนั้นหลวงปู่สอนให้ดูจิตตนเอง 
ตอนฟังก็คิดว่าเข้าใจ แต่พอลาท่านกลับกรุงเทพแล้ว 
จึงรู้ว่าผมเองดูจิตไม่ได้หรอก เพราะยังไม่ทราบว่า 
จิตเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน จะเอาอะไรไปดู 

เมื่อไม่สามารถเรียนถามจากครูบาอาจารย์ อันเป็นยอดกัลยาณมิตรได้ 
ผมก็จำเป็นต้องพึ่งตนเอง โดยการพิจารณาอย่างแยบคาย 
เพื่อทำความรู้จักจิต รู้จักที่อยู่ของจิต และพัฒนาเครื่องมือดูจิต 
เริ่มแรกก็พิจารณาว่า จิตจะต้องอยู่ในขันธ์ 5 นี้เอง 
จึงทำใจให้สบายๆ กำหนดสติตรวจสอบลงในร่างกายทีละส่วน 
เมื่อไม่พบจิต ก็พิจารณาแยกแยะหาจิตในเวทนา สัญญา และสังขาร 
ในที่สุดก็เข้าใจชัดว่า จิตเป็นธรรมชาติรู้  อะไรถูกรู้ อันนั้นไม่ใช่จิต 
ตรงกับตำราที่ท่านกล่าวว่า 
โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาเพื่อเข้าถึงความจริง 
โดยสืบค้นหาเหตุผลไปตามลำดับจนถึงต้นเหตุ 
แยกแยะองค์ประกอบจนมองเห็นตัวสภาวะ 
สิ่งที่ผมทำ คือการแยกแยะจนรู้สภาวะของขันธ์และจิต 
แล้วทำให้รู้ถึงเหตุผล หรือความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับอารมณ์ทั้งปวง 

ในช่วงแรกเริ่มปฏิบัตินั้น พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมากมาย 
เช่นรู้ความไหวยิบยับขึ้นมาจากความว่างบ้าง 
รู้ความไหวกลางอกเมื่อเวลาอายตนะภายในกระทบกับอายตนะภายนอก 
บางวันก็เกิดก้อนอัดแน่นขึ้นกลางอก 
บางวันจิตก็ว่าง สว่าง เบา สบาย 
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการ 
ในการพิจารณาว่า สิ่งนี้คืออะไร เกิดด้วยเหตุใด มีบทบาทอย่างไร 
และเราควรกระทำต่อสิ่งนั้นอย่างไร 

เพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์ และไม่มีเพื่อนภายนอกจะปรึกษาด้วยได้ 
ผมมีสิ่งเดียวเป็นเพื่อน คือโยนิโสมนสิการ 
บางอย่างต้องพิจารณาโดยการเฝ้ารู้ ซ้ำแล้วซ้ำอีกนานนับเดือน 
จนเข้าใจชัดและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสภาวะที่ปรากฏนั้น 
การที่ต้องลูบคลำค้นคว้าแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตนเองนั้นเอง 
จึงพอจะได้ความรู้ความเข้าใจมาบอกกับหมู่เพื่อนในวันนี้ 
เพราะสิ่งใดที่ผู้อื่นผิด เกือบทั้งหมดนั้นผมเคยผิดมาก่อนแล้ว 

โยนิโสมนสิการ เหมือนกับเสนาธิการใหญ่ของจิต 
เป็นผู้เปิดเผยกลศึกของศัตรูร้ายคือกิเลสตัณหาอุปาทานทั้งปวง 
เป็นผู้กำหนดกลศึกในการรับมือกับข้าศึกนั้นๆ 
และเป็นผู้เลือกเฟ้น มอบหมายให้ขุนศึกฝ่ายธรรมะทั้งหลาย ทำงานในแต่ละช่วงจังหวะ 
เช่นบางขณะก็เจริญศรัทธา บางขณะเร่งความเพียร 
บางขณะเจริญสติ บางขณะเจริญสมาธิ และบางขณะเจริญปัญญา 

กิเลสเป็นของเร็วและว่องไวยิ่งนัก 
เวลาที่ผู้ปฏิบัติเผชิญหน้ากับมันนั้น 
จะมัวเที่ยวถามครูบาอาจารย์ก็ไม่ทันแล้ว 
อาศัยโยนิโสมนสิการนี้แหละ เป็นเพื่อนคู่ใจ 
เพราะเป็นของทันกันกับกิเลสตัณหา 

เพราะประจักษ์ชัดถึงคุณค่าของโยนิโสมนสิการนี้แหละ 
ทำให้ผมซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเมื่ออ่านคำสอนของพระศาสดา 
ที่ท่านทรงสอนไว้อย่างชัดเจนว่า 
กัลยาณมิตรหนึ่ง โยนิโสมนสิการหนึ่ง 
คือบุพนิมิตหรือเครื่องหมายแรกแห่งการปรากฏของอริยมรรค
 

กระทู้นี้ยังไม่จำเป็นต้องปิดเพียงเท่านี้นะครับ
ท่านใดมีประสบการณ์ที่มีเพื่อนคู่ใจในการปฏิบัติอย่างใด
ก็เชิญเผื่อแผ่แบ่งปันประสบการณ์ดีๆ ให้หมู่เพื่อนได้ทราบด้วย
ถือว่าเป็นกระทู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันก็แล้วกันครับ
โดยคุณ ปราโมทย์ วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน 2543 20:08:35

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน 2543 20:36:02
_/\_
ขอบพระคุณครับ
เพื่อนคู่ใจที่เป็นคน ก็ภรรยาผมเอง
เพื่อนปฏิบัติที่คุยกันรู้เรื่องก็มีเจ้เอี้ยง ช่วงใหนอารมณ์บ่จอย
ผมชอบโทรไปล้งเล้งกับเจ้แก เจ้แกก็ใจดีเหลือหลาย
คอยฟังผมล้งเล้งแล้วก็หัวเราะก๊ากๆ ทำเอาหายเครียดไปได้เหมือนกัน

ในส่วนตัว ความเห็น ณ.ปัจจุบันของผม
ผมเห็นว่าทุกข์ เป็นเพื่อนคู่ใจ แต่เพื่อนนี้ชอบเล่นเจ็บๆ
แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าไม่เล่นเจ็บ มันก็ไม่จำไม่กลัวสักที

ความสุข เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่(จะว่าเป็นศัตรูก็ไม่ได้เพราะถ้า
เป็นศัตรูก็คงต้องเป็นอริกัน เห็นกันเมื่อไรต้องฟัดกันเมื่อนั้น)

ทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนเครื่องส่งและหนุนให้ผมปฏิบัติมากขึ้น
เพราะทุกข์นั้น ผมไม่ชอบ แต่ในขณะเดียวกัน สติก็คอยเตือนว่า
อย่าหนีทุกข์แล้วเข้าไปหาสุข เพียงรู้ก็พอ เพราะขืนวิ่งไปฝั่งตรงข้าม
คือสุข เดี๋ยวทุกข์ก็มาเยือนอีก
สำหรับโยนิโสมนสิการที่ครูกล่าวถึงนั้น ตอนนี้ผมเห็นเป็น
กุนซือ(ที่ปรึกษา)ครับ เพราะถ้าทุกข์เกิดขึ้นแล้วกุนซือไม่อยู่นี่
ผมคงวิ่งไปหาสุขอีกนั่นแหละครับ : )
โดยคุณ ธีรชัย วัน พฤหัสบดี ที่ 22 มิถุนายน 2543 20:36:02

ความเห็นที่ 10 โดยคุณ นิพ วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 10:09:06
เห็นเพื่อนคู่ใจของแต่ละท่านน่าคบหาเป็นสหายด้วยทั้งนั้นครับ สำหรับผมแล้วเพื่อนคู่ใจของผม
คือ"ใจสู้" ครับ เดิมก่อนปฎิบัติผมเป็นพวกชอบหนีทุกข์ คือพอมีเรื่องทุกข์ใจก็จะพยายามหนี
ไปคิดเรื่องอื่นหรือทำอย่างอื่น บางทีไม่ไหวก็นอนหลับหนีมันซะเลย แต่ตั้งแต่หัน
มาฝึกสติ ก็พบว่าเวลามีความทุกข์ใจไม่สบายใจเกิดขึ้น จะเห็นอาการหนีทุกข์ได้ชัดเจน
คือพอจะหนีโดยวิธีเดิมๆ(เปลี่ยนเรื่องคิด, นอน, หรือทำอย่างอื่น) ผมก็จะเบรคเอาไว้
ว่าถ้ามัวแต่หนีเราก็จะยังเป็นทาสมันฉนั้นให้เผชิญหาดูมันไปเลย เอาหล่ะพอหันไปดูทุกข์นั้นๆ
ก็จะยิ่งทุรนทุรายหนีให้ได้ยิ่งรู้สึกทุกข์มาก ผมก็ได้"ใจสู้"นี่แหล่ะครับ ที่ช่วยให้ผมดู
ความทุกข์ใจที่เกิดขึ้นได้จนจบเกมส์(เหนื่อยแทบตาย) หรือบางครั้งความขี้เกียจ
มันเกิดขึ้นไม่อยากปฎิบัติ ก็ได้สังเกตุว่าใจสู้นี่แหล่ะ ที่คอยทำให้เราทนปฎิบัติต่อไป
หรือบางครั้งความท้อเกิดขึ้น ก็ได้ใจสู้นี่แหล่ะช่วยครับ ซึ่งจะเกิดขึ้นในวินาทีที่สำคัญ
บางครั้งผมสังเกตุดูว่าใจสู้นี่มาจากการอยากพ้นทุกข์หรือไม่ แต่เท่าที่สังเกตุได้นั้น
ไม่ได้มาจากความอยากครับแต่มันเป็นนิสัยที่ซ่อนอยู่ลึกๆที่จะไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆครับ
ดังนั้น "ใจสู้"จริงๆแล้วผมว่ามันก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งมั้งครับ แต่ก็เป็นกิเลสที่น่าคบหาเพื่อ
เอาไว้กำจัดเพื่อนกิเลสด้วยกันครับ เข้าทำนองที่ว่าหนามยอกก็ต้องเอาหนามบ่งหน่ะครับ
โดยคุณ นิพ วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 10:09:06

ความเห็นที่ 11 โดยคุณ เจื้อย วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 14:50:26
สาธุค่ะ เห็นกระทู้นี้แล้วเกิดอาการอยากคุยด้วย : )

เพื่อนคู่ใจของหนูคือความฟุ้งซ่าน (เพื่อนคนนี้ไม่ค่อยอยากจะคบเลย แต่ทำไมชอบตื๊อเราจัง พยายามหาเรื่องมาคุยกับเราและอยู่คู่ใจเราตลอดเวลา) แต่ไหนแต่ไรมา ก็ไม่รู้ตัวเองเท่าไหร่หรอกว่าเป็นคนฟุ้งซ่าน ช่างคิดช่างฝัน ไม่เคยสงบนิ่ง  แต่พอได้มาเรียนรู้ธรรมะและพอได้มีโอกาสดูจิตตัวเอง ถึงได้ตระหนักว่า เรานี่เป็นพวกฟุ้งจริตซะจนแทบจะ incurable ไม่ฟุ้งเรื่องโลก ก็ฟุ้งเรื่องธรรม ที่จะให้จิตว่างๆ ไม่คิดอะไรเลยนี่ แทบจะไม่มี

เคยตั้งภารกิจและเป้าหมายหลักในการปฏิบัติธรรมของตัวเองไว้ที่ การเอาชนะความจับจดฟุ้งซ่านและความเผลอสติให้ได้ ไอ้เรื่องอยากจะบรรลุธรรมได้มรรคผลนิพพานนี่ยังไม่มีอยู่ในหัว เพราะแค่จะทำตัวให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมได้ต่อเนื่องกันเกิน 5 นาทีนี่ ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญจะตายอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ดีขึ้นมากแล้วค่ะ เพราะจะฟุ้งในเรื่องที่เศร้าหมองน้อยลง (แต่ยังไม่ค่อยสามารถฟุ้งในเรื่องรื่นรมย์ได้น้อยลง) คือพอรู้ทันว่าเริ่มฟุ้งคิดอะไรบ้าๆบอๆที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ คือสร้างภาพขึ้นมาเองว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะไม่เป็นแล้ว จะตัดออกจากใจได้ทันก่อนที่เราจะจมไปกับมันมากกว่านั้น แบบว่ามันจะผุดรู้ ได้สติขึ้นมาเอง แล้วใจก็เกิดธรรมะสอนใจตัวเองขึ้นมา ทั้งๆที่ขณะนั้นก็ไม่ค่อยจะมีสติเท่าไหร่หรอกนะ คือกำลังอยู่ในช่วงเผลอ (ซึ่งเป็นช่วงประจำของชีวิต) อาศัยว่ามีสัญญาในทางธรรมไว้เยอะ มันก็เลยกระโดดเข้ามาช่วยไว้ทัน

หลังจากที่ได้คอยดูจิตมาเรื่อยๆในยามที่นึกขึ้นได้ (แต่ไม่ค่อยบ่อย) ที่เคยคิดว่าจะต้องทำให้ตัวเองเลิกนิสัยช่างฟุ้ง ให้จิตว่าง สงบนิ่งให้ได้นี่ เลิกคิดไปแล้วล่ะค่ะ เพราะสันดานมันเป็นมาแบบนี้ (พูดคำว่าสันดานแล้วฟังดูหยาบจัง แต่ไม่รู้จะใช้คำไหนดี) ตอนนี้ก็เลยเอาแค่ พยายามรู้เท่าทันมันในเวลาที่มันกำลังเข้ามาทำตัวเป็นเพื่อนคู่คิดคู่ใจเรา และก็ไม่ปล่อยให้มันชักจูงเราไปไหนต่อไหนเลยเถิดกับมันอย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว คือมันต้องค่อยๆถอนตัวออกมาน่ะ ค่อยๆรู้ไปสบายๆ (อันนี้ในความหมายของหนู หมายถึงเผลอบ้าง รู้บ้างนะ อิอิ) ไปทำตัวเป็นศัตรูกับมัน คอยนั่งจ้องจับมันไม่ได้ เพราะไม่งั๊นก็กลายเป็นเผลอเพ่งไปอีก ส่วนใหญ่ชีวิตมีอยู่แค่เนี๊ย เผลอรู้ กับเผลอเพ่ง
โดยคุณ เจื้อย วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 14:50:26

ความเห็นที่ 12 โดยคุณ listener วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 20:27:39
เพื่อนคู่ใจในการปฎิบัติธรรมของผมคือ
1 หนังสือ
2 เทปธรรมมะ
3 วิทนุ AM
4 โคนไม้ใหญ่
5 ลานธรรมและวิมุติ
6 ความเป็นฟุ้งจริต แบบคุณหนู

สาธุในธรรมของคุณปราโมทย์ และท่านอื่นทุกท่าน
โดยคุณ listener วัน ศุกร์ ที่ 23 มิถุนายน 2543 20:27:39

ความเห็นที่ 13 โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 08:27:13
เห็นกระทู้นี้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่ไม่มีโอกาสที่จะเข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย เนื่องจากติดภาระกิจนอกสำนักงานครับ

ผมก็ทบทวนอยู่นานเหมือนกันครับ ว่าเรามีอะไรเป็นเพื่อนคู่ใจจริงๆหรือเปล่า? ก็มีความเห็นว่าไม่มีครับ เห็นแต่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าที่ต้องแก้ไขเท่านั้นเองครับ

หากแต่จะพยายามจัดให้ธรรมใดเป็นเพื่อนที่หวังพึ่งพิงกันได้บ้าง ก็คงต้องบอกว่า โยนิโสมนสิการ นี้คือเพื่อนตายครับ

โดยคุณ พัลวัน วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 08:27:13

ความเห็นที่ 14 โดยคุณ อี๊ด วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 08:30:52
ผมประเภทไปไหนมาไหน...ชอบไปคนเดียว
สะดวกดี...ไม่ต้องกังวลข้องเกี่ยวกับใคร...

ส่วนเพื่อนภายในเวลาคับขันเอาตัวรอด..<แดง>พละกำลัง..
จำได้ว่าประมาณต้นปี40..เย็นวันหนึ่งหลังจากเดินจงกรมเสร็จ
ก็ไปทานอาหารตอนค่ำ..เกิดอาการท้องหนัก(อาหารแน่นท้องไม่ย่อย)
เกิดอาการท้องร่วงบวกกับอาเจียนอย่างรุนแรงติดต่อกันตั้งตอนค่ำ
มีอาการอ่อนเพรียเสียน้ำมาก...อาเจียนรุนแรงออกแต่น้ำย่อยในกระเพาะ
อาการก็รุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พยายามกำหนดลมหายใจทำสมาธิ..สู้ไม่ถอย
เวลาผ่านไปหลังเที่ยงคืนประมาณตีสอง...
จิตเกิดมีกำลัง(เหมือนกับมีลมปราณรวมตัวกันเข้า..ที่หน้าท้อง)

จากนั้นเกิดแรงบีบกล้ามเนื้อหน้าท้องอย่างแรง..
ทำให้การอาเจียนอย่างแรง..เศษอาการออกมาเต็มห้องน้ำเลย.
(เศษอาหารที่ค้างอยู่..ทั้งในกระเพาะในลำไส้ออกมาหมด)

..รอดตายแล้วเรา..ล้มตัวนอนหมดแรง..กระกิดร่างกายไม่ไหว..
..เจ็บกล้ามเนื้อที่หน้าท้องจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อไปหลายวัน...

เป็นครั้งแรกที่เห็นอำนาจการกำหนดลมหายใจ
เห็นพลังของสมาธิในการรักษา..เพื่อเอาตัวรอด
เกิดกำลังใจเห็นได้ชัดว่า..ถ้าทำให้มากทำให้เป็นพละกำลังแล้ว
สามารถน้อมไปใช้งานได้หลายอย่าง

ขอบพระคุณครับ
โดยคุณ อี๊ด วัน จันทร์ ที่ 26 มิถุนายน 2543 08:30:52

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com