จิตหนึ่งของพระป่า
เมื่อหาคำตอบจากตำราไม่ได้ จึงต้องขอยกเรื่อง จิตแท้หรือจิตดั้งเดิมของเถรวาท และเรื่อง จิตเดิมแท้หรือจิตหนึ่งของเซ็น ไว้ก่อน แล้วหันมาคุยอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยวกันเลยก็ได้ คืออยากจะเล่าว่า พระป่าบางองค์ ท่านก็พูดถึงจิตหนึ่ง เหมือนกัน แต่อาจจะมีความหมายไปอีกทางหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับ จิตแท้หรือจิตดั้งเดิม ของเถรวาท และ จิตเดิมแท้หรือจิตหนึ่งของเซ็น ก็ได้
ผมได้พบสภาพจิตชนิดหนึ่งของพ่อแม่ครูอาจารย์บางองค์ ซึ่งบางท่านเรียกว่า จิตหนึ่ง บางท่านเรียกว่า ฐีติจิต ฐีติภูตํ บางท่านเรียกว่า จิตพุทธะ บางท่านเรียกว่า ธรรม
ถ้าจะอธิบายถึงสภาวะของจิตชนิดนี้ คงต้องเริ่มอธิบายตั้งแต่จิตที่พวกเรารู้จักกันเสียก่อน
พวกเราที่ทำความรู้ตัวเป็นแล้ว คงจำกันได้ว่า จิตของพวกเราตอนที่ยังไม่เริ่มปฏิบัตินั้น มันคลุกเป็นเนื้อเดียวกันกับอารมณ์เสมอ ดีบ้าง ชั่วบ้าง และอารมณ์ที่เป็นกลางๆ บ้าง เรียกว่าหลับฝันทั้งที่ลืมตาตื่นอยู่ตลอดเวลา ขณะใดเราสนใจในอารมณ์ใด สติจะพุ่งเข้าไปที่อารมณ์นั้น จิตก็เคลื่อนไปเกาะไปยึดที่อารมณ์นั้นอย่างเหนียวแน่น
พอเริ่มปฏิบัติบ้างแล้ว เราจะพบความเปลี่ยนแปลง คือเวลาที่จิตสนใจสิ่งใด สติจะจดจ่อเข้าที่สิ่งนั้น แต่เราจะมีสัมปชัญญะคือความรู้ตัว เป็นเครื่องรักษาจิตเอาไว้ ไม่ให้หลงเคลื่อนเข้าไปยึดอารมณ์ ถึงเคลื่อนเข้าไปยึดอารมณ์ ก็สามารถรู้ชัดว่าเคลื่อนแล้ว กล่าวได้ว่า เรามีความสำรวมระวัง รักษาจิตใจตนเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อพัฒนาศีล สมาธิ และปัญญาให้แก่จิตใจอย่างต่อเนื่อง
แต่จิตของครูบาอาจารย์บางองค์ ไม่ได้เป็นเหมือน 2 อย่างแรก เวลาที่ท่านสนใจอารมณ์ใด สติจะจดจ่อลงที่อารมณ์นั้น แต่จิตไม่ได้เคลื่อนไปยึดอารมณ์ เหมือนคนที่ปฏิบัติไม่เป็น โดยที่ท่านก็ไม่ต้องสำรวมระวังรักษาจิต เหมือนพวกเราที่ปฏิบัติกันอยู่ แต่จิตของท่านคงความเป็นปกติ ไม่มีกิจอะไรที่จะต้องระวังรักษาอีก
จิตของท่านคงความเป็นหนึ่ง สงบสันติ ไม่มีจุด ไม่มีดวง หรือกลุ่มก้อน บางครั้งประกอบด้วยความเบิกบาน บางครั้งสงบสงัดมีอุเบกขาอยู่ภายใน, บางครั้งประกอบด้วยปัญญา บางครั้งเฉยๆ ไม่พิจารณาอะไร, บางครั้งสนใจรู้สิ่งภายนอกเมื่อมีเหตุอันควร บางครั้งสงบอยู่ภายใน, เป็นสภาพจิตดั้งเดิม เป็นตัวของตัวเอง เป็นอิสระ ไม่ถูกกิเลสตัณหาครอบงำชักพาให้วิ่งไปหาอารมณ์ด้วยความหิวโหย การกระทำทั้งปวงทางกาย และวาจา ไม่ก่อให้เกิดกรรมขึ้นอีก เป็นแต่เพียงกิริยาล้วนๆ ทำไปตามเหตุผลความจำเป็น เป็นคราวๆ ไปเท่านั้นเอง
จิตชนิดนี้ ถ้าย้อนสติน้อมเข้ามารู้ ตัดความสนใจอารมณ์ภายนอก แล้วเข้ารูปฌาน อรูปฌานไปตามลำดับ ก็น่าเชื่อว่าจะเป็นอุบายนำไปสู่นิโรธสมาบัติโดยง่าย ดังที่ ท่านพระกามภูเถระ ได้กล่าวไว้ เพราะเป็นจิตที่หมดความแส่ส่ายไปในรูปและนาม และอายตนะทั้งปวง
************************************
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเล่าให้ฟังเพื่อความบันเทิงใจเท่านั้นนะครับ ขออย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า "จิตเดิมแท้หรือจิตหนึ่งของเซ็น" "จิตแท้หรือจิตดั้งเดิมของเถรวาท" กับ "จิตหนึ่งของพระป่า" เป็นสิ่งเดียวกัน
หากจะหาความจริงให้มากกว่านี้ คงต้องให้ปราชญ์ทางปริยัติที่ท่านใจกว้าง เป็นผู้ศึกษาต่อไป ส่วนพวกเรานักปฏิบัติ ก็ปฏิบัติรู้รูปรู้นามที่กำลังปรากฏกันต่อไป
ถึงจะไม่มีความรู้กว้างขวางก็ไม่เป็นไร ขอให้จิตพ้นจากทุกข์ก็แล้วกัน |
|