กลับสู่หน้าหลัก

ธรรมมงคล(2-4)

โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 08:00:31

จากหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 24 มิถุนายน 2543
เห็นว่าน่าอ่านดีก็เลยcopy เอามาให้อ่านกันครับ
ว่างๆก็แวะไปเว็บเขาหน่อยนะครับ ก๊อบเขามาเฉยๆ : )
www.matichon.co.th
(ธรรมมงคล(1) หาไม่เจอทั้งหนังสือพิมพ์ธรรมดาและ
หนังสือพิมพ์บนเว็บเลยมาเริ่มที่ธรรมมงคล(2)ครับ )

ธรรมมงคล(2)

'ในหลวง-ราชินี'ปุจฉา
'หลวงพ่อพุธ'วิสัชนา
 
หมายเหตุ- เพื่อให้เนื้อหาพิเศษในหนังสือที่ระลึกงานศพ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเป็นคำสนทนาธรรม โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นองค์ปุจฉา และหลวงพ่อพุทธ เป็นองค์วิสัชนา ได้แพร่หลายเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของพุทธศาสนิกชนยิ่งขึ้น "มติชน" จึงได้นำเนื้อหาดังกล่าวมาเสนอเป็นตอนๆ โดยใช้ชื่อว่า "ธรรมมงคล" ดังนี้


พระปัจเจกพุทธเจ้า

ไม่แสดงธรรมและไม่ตั้งศาสนา

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : ดิฉันขอยกข้อดีว่า ถ้าไม่มีพระบวรพุทธศาสนานี้คงจะอยู่บนโลกนี้ด้วยความยากลำบาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่ช่วยเป็นแสงสว่างจริงๆ ทำให้สามารถระงับความโกรธ ความเกลียด ความผิดหวังอะไรได้ทุกอย่าง และน้อมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้มีพระเมตตาคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าอย่างไรเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรงที่ไม่แสดงธรรมและไม่ตั้งศาสนาถ้าใครทำบุญทำทานกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านเพียงแต่ให้ศีลให้พร หรือถ้าแสดงธรรมก็ไม่เป็นเรื่องเป็นราวพอที่จะจับเอามาปฏิบัติได้ อย่างดีก็เพียงแต่แนะนำให้รักษาศีล ให้ภาวนาให้ทาน เป็นแต่เพียงแนะนำเท่านั้น ส่วนมากไม่แสดงธรรมเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยวิสัยของท่านพระปัจเจกพุทธไม่มุ่งที่จะมีสาวก ถ้าหากจะมีคำสอนปรากฏอยู่บ้าง ก็เป็นไปเพื่อชีวิตของท่านเท่านั้น ไม่ไว้สาวกเพื่อสืบพระศาสนา

การตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ก็มีความเสมอกันกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั่วๆ ไปก็คือ ความเป็นอาสวักขญาณ คือความสามารถทำกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป

พระปัจเจกพุทธเจ้าบางองค์ก็ทำให้จิตให้เป็นสมาธิ มีความละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป จนกระทั่งสามารถตัดกิเลสออกจากจิตไปได้โดยไม่ต้องอาศัยเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น

ส่วนมากพระปัจเจกพุทธเจ้าจะสำเร็จเป็นพระปัจเจกได้โดยเจโตวิมุตติ คือ การทำจิตให้ละเอียดลงไป แล้วก็ตัดกิเลสด้วยกำลังจิตที่เข้มแข็งเหล่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะพระองค์ท่านแล้ว ท่านจึงไม่สามารถแสดงธรรมได้อย่างกว้างขวางอย่างมีเหตุมีผล เหมือนกับพระพุทธเจ้าโดยทั่วๆ ไป

นี่คือข้อแตกต่างระหว่างพระปัจเจกพุทธเจ้าและสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : ดิฉันอยากจะถามว่า สมัยนี้มีพระปัจเจกพุทธเจ้าบ้างไหม

หลวงพ่อพุธ : หากอาศัยหลักเกณฑ์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธเจ้าของเราทรงกำหนดอายุพระศาสนาไว้ 5,000 ปี พระศาสนาขณะนี้ได้ดำเนินมา 2,500 ปีเศษแล้ว ศาสนาพุทธก็ยังปรากฏอยู่ในโลก ยังไม่ว่างจากพระศาสนาในช่วงที่ยังมีพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ยังไม่สิ้นอายุของพระศาสนา พระปัจเจกพุทธเจ้ายังไม่มี ถ้าอาศัยหลักฐานตามคัมภีร์แล้ว ก็จะยืนยันได้ตามนั้น ปัจจุบันนี้พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มี

ฆราวาสบรรลุธรรมได้หรือไม่

ฆราวาสก็สามารถที่จะชำระจิตให้ถึงวิมุตติความหลุดพ้นได้

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : หากเผื่อว่าไม่ได้บวชเป็นพระนี้ จะสามารถชำระจิตของท่านจนสามารถบรรลุถึงธรรมไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : อาศัยตามหลักฐานในพระคัมภีร์ ผู้ที่เป็นฆราวาสก็สามารถที่จะชำระจิตให้ถึงวิมุตติความหลุดพ้นได้

ยกตัวอย่างเช่น สมเด็จพระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา พระองค์ก็สำเร็จพระอรหันต์ ในขณะทรงเป็นฆราวาสอยู่ เพราะเมื่อได้ฟังเทศน์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็สำเร็จพระอรหันต์ทั้งๆ ที่ยังเป็นฆราวาสอยู่

ในปัจจุบันนี้ คฤหัสถ์ที่ยังครองเพศอยู่ก็สามารถที่จะปฏิบัติในทางจิต ทำให้มีจิตสงบเป็นสมาธิ รู้ธรรมรู้เห็นธรรมได้เหมือนกับพระในพระพุทธศาสนา

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : หมายความว่า ถ้าแม้ว่าเขาถึงพระอรหันต์แล้ว ถ้าไม่บวชก็ซางเบญจขันธ์ได้อย่างสิ้นเชิงใช่ไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : ตามพระคัมภีร์ก็ยืนยันว่าเป็นอย่างนั้น แต่ถ้านำมาพิจารณาให้รู้แน่นอน และจะหาเหตุผลมาขัดแย้ง ก็อาจจะมีทาง เพราะในแง่ที่จะขัดแย้งได้มีว่า โดยธรรมชาติของพระอรหันต์แล้ว ท่านจะวางเบญจขันธ์ คลายความยึดมั่นหมดกิเลสตัณหา มานะทิฐิ แม้อาสวะน้อยหนึ่ง ก็ไม่มีในจิตใจของท่าน อาจจะดำรงชีพอยู่จนกระทั่งอายุขัยก็ย่อมเป็นได้ ถ้าหากว่าหามติมาขัดแย้งได้ แต่ว่าคุณของความเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นคุณธรรมหรือเป็นสัจธรรมที่สูง ซึ่งโดยหลักธรรมชาติของธรรมะขั้นนี้แล้วจะไปสิงสถิตอยู่ในร่างของคฤหัสถ์ซึ่งเป็นร่างของชาวบ้านธรรมดา เป็นการไม่คู่ควรกัน จึงสามารถทำให้ร่างของฆราวาสผู้สำเร็จอรหันต์แล้วต้องสลายตัวไป อันนี้เป็นกฎของความจริงของธรรมชาติในขั้นนี้

ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนกับแร่ธาตุบางอย่างในโลกนี้ ในเมื่อมาพบกันเมื่อใดแล้ว จะต้องมีปฏิกิริยาสลายตัวหรือเกิดธาตุใหม่ขึ้นมา ในกรณีเช่นนี้ ธาตุแท้แห่งพระอรหันต์บริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง เมื่อเกิดอยู่ในร่างของคฤหัสถ์ธรรมดา จึงมีประสิทธิภาพหรือมีอำนาจที่จะทำให้ร่างกายของคฤหัสถ์สลายตัวลงไปได้ เพราะเป็นร่างกายที่ไม่ควรจะรองรับคุณธรรมของพระอรหันต์

บาปกรรมอยู่ที่ใจ

แนะนำวิชาอาชีพแต่มิได้สั่งให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นฆ่าสัตว์

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : ดิฉันสนับสนุนให้ประชาชนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนี้เจ้าค่ะ เคยมีลูกศิษย์ของท่านอาจารย์แบนเรียนด้วยความหวังดีว่า "อย่าทำเลยหม่อนไหม วันๆ หนึ่งชาวบ้านต้มไหมเป็นล้านๆ ตัว"

เพราะเหตุว่าเห็นสภาพที่เขาอดอยาก พิการ ตาบอด ก็เลยคิดว่าการสนับสนุนให้เขาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนี้จะทำให้เขาอยู่ดีกินดีขึ้น แม้ว่าเขาผลิตแล้วไม่นำออกมาขายก็ไม่ได้เงินมาเลี้ยงชีพ

ดิฉันอยากจะช่วยเด็กๆ ที่ยากจน แต่ลูกศิษย์พระอาจารย์ก็เตือนมาเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่าเราได้ช่วยคนมามากๆ ดีกว่าคนที่เขาไม่ได้เข้าวัด ไม่ทำอะไรเลย เราหากินสุจริต ทำบุญได้หากินได้ ทำอะไรได้ เลี้ยงลูกได้ พระคุณเจ้ามีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร

หลวงพ่อพุธ : ตามที่แนะนำให้ราษฎรเขาทำอย่างนั้น เพียงแต่ว่าได้แนะนำให้เขาเลี้ยง แต่ไม่ได้แนะนำให้เขาต้มตัวไหม ในเมื่อเขาทำขึ้นมาแล้ว เขาจะทำอย่างไรเป็นเรื่องของเขา

ส่วนจะขัดข้องกังวลใจ เพื่อความเบาใจก็ถือเสียว่าเพียงแต่ได้แนะนำวิถีทางดำเนินชีวิตเท่านั้น ซึ่งมีหลายวิธีการที่เขาจะทำ ในเมื่อเขาทำลงไปแล้ว เขาจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหม แม้ว่าจะไม่สั่งให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาทำไปเอง ถ้าหากสมมุติว่าทำใจได้อย่างนี้ก็เป็นที่เบาใจมากขึ้น

และข้อเปรียบเทียบเวลานี้ เป็นการแนะนำวิชาอาชีพแต่มิได้สั่งให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นฆ่าสัตว์ เพราะไม่ได้สั่งว่าให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นแต่เพียงว่าปลูกหม่อนนะ เลี้ยงไหมนะ ทำอะไรเพียงแค่นี้ ในเมื่อมีผลิตผลแล้ว เขาจะทำอะไรเป็นหน้าที่ของเขา เช่นอาจจะแต่งตั้งใครสักคนหนึ่งที่มีความชำนิชำนาญในเรื่องนี้ให้คำแนะนำ ถ้าจะเปรียบก็คล้ายกับว่าหมอทั้งหลายเขารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนมากหมอจะไม่มีคำพูด หรือความตั้งใจเจาะจงลงไปว่าฉันจะฆ่าเชื้อโรคอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นแต่เพียงว่าคนนี้ป่วยเป็นโรคอย่างนี้ จะให้ยาอย่างนี้เพื่อให้เขาหายจากโรคภัยไข้เจ็บ

ที่ได้มีเมตตาแก่ประชาชน ที่แนะนำให้เขาทำอยู่ในปัจจุบัน พยายามทำใจว่าได้แนะนำให้เขาทำอย่างนี้ เมื่อเขาปลูกหม่อนแล้วจะต้องมีสัตว์สำหรับกินหม่อน เขาจะหาอะไรมาทำนอกจากตัวไหมใบหม่อน เมื่อเขามาเลี้ยงเติบโตขึ้นมาแล้ว เขาจะทำไปทำรวงทำรังที่ไหน รวงรังของเขาจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา คนที่เขาเลี้ยงเขาย่อมรู้จักหน้าที่ของเขาว่าควรทำอย่างไร

เพื่อไม่ให้เป็นการกังวลใจมากนัก อาตมาขอแนะนำวิถีทางทำให้เบาใจ เมื่อแนะนำให้เขารู้จักประกอบอาชีพ พยายามนึกในใจว่าเราไม่ได้แนะนำให้เขาฆ่าสัตว์ เขาจะทำอะไรเป็นหน้าที่ของเขา ให้พยายามทำใจอย่างนี้ อาตมาเห็นว่าความกังวลใจอาจจะลดน้อยลง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : บาปกรรมทั้งหลายนี้อยู่ที่ใจจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : อยู่ที่ใจ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : ทีนี้ถ้าเผื่อว่า จิตใจของดิฉันมิได้ใฝ่ใจในเรื่องตัวไหมเลย แต่ใฝ่ใจในเรื่องชีวิตเด็ก ไม่ให้ตาย ไม่ให้พิการ อันนี้สำคัญกว่าใช่ไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : สำคัญกว่า
โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 08:00:31

กลุ่มวิมุตติ ขอสงวนสิทธิ์ที่จะ ห้าม ไม่ให้มีการคัดลอกข้อความบางส่วนหรือทั้งหมด ไปใช้ใน webboard หรือ กระดานข่าวอื่นโดยมิได้รับ อนุญาตอย่างเป็นทางการ จากทางกลุ่มวิมุตติในทุกกรณี

ความเห็นที่ 1 โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 08:06:14
ฉบับประจำวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2543


ธรรมมงคล (3)
"ในหลวง-ราชินี" ปุจฉา
"หลวงพ่อพุธ" วิสัชนา


บาปกรรมอยู่ที่ใจ

แนะนำวิชาอาชีพแต่มิได้สั่งให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นฆ่าสัตว์



สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : ดิฉันสนับสนุนให้ประชาชนปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนี้เจ้าค่ะ เคยมีลูกศิษย์ของท่านอาจารย์แบนเรียนด้วยความหวังดีว่า "อย่าทำเลยหม่อนไหม วันๆ หนึ่งชาวบ้านต้มไหมเป็นล้านๆ ตัว"

เพราะเหตุว่าเห็นสภาพที่เขาอดอยาก พิการ ตาบอด ก็เลยคิดว่าการสนับสนุนให้เขาปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนี้จะทำให้เขาอยู่ดีกินดีขึ้น แม้ว่าเขาผลิตแล้วไม่นำออกมาขายก็ไม่ได้เงินมาเลี้ยงชีพ

ดิฉันอยากจะช่วยเด็กๆ ที่ยากจน แต่ลูกศิษย์พระอาจารย์ก็เตือนมาเรื่อยๆ ก็เลยคิดว่าเราได้ช่วยคนมามากๆ ดีกว่าคนที่เขาไม่ได้เข้าวัด ไม่ทำอะไรเลย เราหากินสุจริต ทำบุญได้หากินได้ ทำอะไรได้ เลี้ยงลูกได้ พระคุณเจ้ามีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไร

หลวงพ่อพุธ : ตามที่แนะนำให้ราษฎรเขาทำอย่างนั้น เพียงแต่ว่าได้แนะนำให้เขาเลี้ยง แต่ไม่ได้แนะนำให้เขาต้มตัวไหม ในเมื่อเขาทำขึ้นมาแล้ว เขาจะทำอย่างไรเป็นเรื่องของเขา

ส่วนจะขัดข้องกังวลใจ เพื่อความเบาใจก็ถือเสียว่าเพียงแต่ได้แนะนำวิถีทางดำเนินชีวิตเท่านั้น ซึ่งมีหลายวิธีการที่เขาจะทำ ในเมื่อเขาทำลงไปแล้ว เขาจะปลูกหม่อนเลี้ยงไหม แม้ว่าจะไม่สั่งให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ เขาทำไปเอง ถ้าหากสมมุติว่าทำใจได้อย่างนี้ก็เป็นที่เบาใจมากขึ้น

และข้อเปรียบเทียบเวลานี้ เป็นการแนะนำวิชาอาชีพแต่มิได้สั่งให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นฆ่าสัตว์ เพราะไม่ได้สั่งว่าให้เขาทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นแต่เพียงว่าปลูกหม่อนนะ เลี้ยงไหมนะ ทำอะไรเพียงแค่นี้ ในเมื่อมีผลิตผลแล้ว เขาจะทำอะไรเป็นหน้าที่ของเขา เช่นอาจจะแต่งตั้งใครสักคนหนึ่งที่มีความชำนิชำนาญในเรื่องนี้ให้คำแนะนำ ถ้าจะเปรียบก็คล้ายกับว่าหมอทั้งหลายเขารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนมากหมอจะไม่มีคำพูด หรือความตั้งใจเจาะจงลงไปว่าฉันจะฆ่าเชื้อโรคอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นแต่เพียงว่าคนนี้ป่วยเป็นโรคอย่างนี้ จะให้ยาอย่างนี้เพื่อให้เขาหายจากโรคภัยไข้เจ็บ

ที่ได้มีเมตตาแก่ประชาชน ที่แนะนำให้เขาทำอยู่ในปัจจุบัน พยายามทำใจว่าได้แนะนำให้เขาทำอย่างนี้ เมื่อเขาปลูกหม่อนแล้วจะต้องมีสัตว์สำหรับกินหม่อน เขาจะหาอะไรมาทำนอกจากตัวไหมใบหม่อน เมื่อเขามาเลี้ยงเติบโตขึ้นมาแล้ว เขาจะทำไปทำรวงทำรังที่ไหน รวงรังของเขาจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา คนที่เขาเลี้ยงเขาย่อมรู้จักหน้าที่ของเขาว่าควรทำอย่างไร

เพื่อไม่ให้เป็นการกังวลใจมากนัก อาตมาขอแนะนำวิถีทางทำให้เบาใจ เมื่อแนะนำให้เขารู้จักประกอบอาชีพ พยายามนึกในใจว่าเราไม่ได้แนะนำให้เขาฆ่าสัตว์ เขาจะทำอะไรเป็นหน้าที่ของเขา ให้พยายามทำใจอย่างนี้ อาตมาเห็นว่าความกังวลใจอาจจะลดน้อยลง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : บาปกรรมทั้งหลายนี้อยู่ที่ใจจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : อยู่ที่ใจ

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : ทีนี้ถ้าเผื่อว่า จิตใจของดิฉันมิได้ใฝ่ใจในเรื่องตัวไหมเลย แต่ใฝ่ใจในเรื่องชีวิตเด็ก ไม่ให้ตาย ไม่ให้พิการ อันนี้สำคัญกว่าใช่ไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : สำคัญกว่า



คุณธรรมพระอริยะ

มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงไม่กวัดแกว่ง

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : เมื่อพระอริยบุคคล อันมีพระโสดาบัน ท่านไม่ผูกพยาบาท ท่านไม่ทำร้ายคนเบียดเบียนคน ท่านอยู่ในศีล 5 ใช่ไหมเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : อยู่ในศีล 5

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : มีกล่าวไว้ในพระพุทธศาสนา

หลวงพ่อพุธ : มีกล่าวในพระพุทธศาสนา

ลักษณะน้ำใจของพระโสดาบัน เป็นผู้มีศรัทธาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย คือ มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงไม่กวัดแกว่ง มีความรักในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง มีความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงไม่เปลี่ยนแปลง

ทุกสิ่งทุกอย่าง จะทำบุญก็บุญ จะบาปก็บาป ไม่มีการคัดค้าน เป็นสมาธิจิต เมื่อมีการกระทบจิตใจ บางทีอาจจะโกรธ แต่ไม่ผูกพยาบาล พระโสดาบันเต็มไปด้วยการให้อภัยเรียกว่าให้อภัยทาน ไม่ผูกพยาบาทอาฆาตใครทั้งสิ้น

เช่นอย่างพระมหาบพิตร ต้องลงพระปรมาภิไธยรับสั่งให้ทำอะไรลงไป เช่น การให้อภัยโทษ และมีการประหารชีวิตผู้กระทำความผิด อาตมาเคยพิจารณาดูแล้วในเรื่องนี้สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปัจจุบัน คิดว่าไม่มีทางที่จะได้รับบาป เพราะรัฐธรรมนูญการปกครองมาจากมติคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงตราเป็นกฎหมายนั้นๆ ออกมา จึงเห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นการปลอดพ้นจากสิ่งที่เป็นบาปกรรมจริงอยู่ อาจจะมีพระปรมาภิไธย แต่ก็โดยกฎหมายโดยมติของปวงชน

ที่อาตมาต้องอธิบายดังนี้ ก็เพราะมีผู้มาถามบ่อยๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาตมภาพได้แก้ปัญหาเขาไว้อย่างนี้

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : พระสกทาคามี ท่านมีคุณสมบัติอย่างไร

หลวงพ่อพุธ : พระสกทาคามีละสังโยชน์ได้ 3 เหมือนกับพระโสดาบัน คือ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพต ปรามาส ระงับราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง แต่สังโยชน์นี้ที่ละได้เท่ากันกับพระโสดาบัน แตกต่างกันตรงที่ระงับ ราคะ โทสะ โมหะให้เบาบางลง จิตอยู่เหนือพระโสดาบันนิดหน่อย

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ : พระโสดา พระสกทาคามีนี้ กามราคะยังมีอยู่ คือ หมายถึง ความรักสวยรักงามยังติดอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ

หลวงพ่อพุธ : ยังติดอยู่ มีเรื่องในพระพุทธประวัติ เป็นเรื่องของนางวิสาขาว่า

นางวิสาขาไปลืมเครื่องประดับไว้ในอารามของพระพุทธเจ้า แล้วพระอานนท์เป็นผู้เก็บเครื่องประดับตกแต่งอันนั้นรักษาไว้

เมื่อนางวิสาขามาวัด พระอานนท์แจ้งให้ทราบว่านางลืมเครื่องประดับคุณค่ามหาศาลไว้ในวัดนี้ อาตมภาพเก็บเอาไว้ นางวิสาขาก็เรียนกับพระอานนท์ว่า เครื่องประดับของดิฉันที่พระคุณเจ้าได้เก็บรักษาไว้ ไม่ขอรับคืน ขอยกถวายเป็นสมบัติของสงฆ์

ฝ่ายพระพุทธเจ้าทรงทราบ พระองค์ก็รับสั่งว่า ของประดับเหล่านี้แม้จะเป็นของมีค่าสูงแต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรสำหรับสงฆ์

นางวิสาขาก็ทูลว่าถามว่า ถ้าเช่นนั้นจะทรงให้ปฏิบัติอย่างไร

พระพุทธเจ้าก็รับสั่งว่า ให้รับเอาของคืนไป

นางวิสาขาทูลว่า การที่รับของคืนนั้นเป็นการไม่สมควร ขอปวารณาสร้างพระวิหารถวาย

อันนี้เป็นหลักฐานที่พระโสดาบันยังใช้เครื่องประดับอยู่
โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 08:06:14

ความเห็นที่ 2 โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 08:11:11
ฉบับประจำวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2543

ธรรมมงคล(4)
ในหลวง-ราชินีปุจฉา
หลองพ่อพุธวิสัชนา


พลังใจ

ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : อยากขอให้พระคุณเจ้านั่งแผ่เมตตาให้กับพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ขอให้ท่านมีความร่มเย็นเป็นสุข

หลวงพ่อพุธ : อันนี้รู้สึกเป็นกิจวัตรที่ได้กระทำมาเป็นประจำแล้ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว : อยากเรียนถามพระคุณเจ้าว่า เคยฝันถึงท่านพระพุทธยอดฟ้า เคยฝันถึง ท่านหลายครั้ง ไม่ทราบว่าฝันถึงท่านเองหรือใจนึกถึง

หลวงพ่อพุธ : พลังใจที่ได้เคารพบูชา ที่มีความกตัญญูกตเวทีต่อบรรดาพระบรมมหากษัตราธิราชเจ้าทั้งหลายในอดีตนั้นย่อมเป็นพลังอันหนึ่งซึ่งสามารถทำให้จิตใจของพระองค์ปฏิพัทธ์ถึงพระองค์ท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความแน่นอน ซึ่งปกติแล้วความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของความดี ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นพื้นฐานให้เกิดความดี

ดังนั้น การที่ได้ฟังเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่คิดว่ายังไม่เป็น ยังไม่ชำนาญนั้นเพราะความกตัญญูกตเวทีอันนี้ จะช่วยเกื้อกูลอุดหนุนน้ำใจของท่านให้ดำเนินไปสู่สมาธิที่ถูกต้อง

เท่าที่เคยได้ฟังที่วัดป่าสาละวันเมื่อครั้งนั้นว่า เมื่อระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตสงบสว่างลงไปแล้ว หายหวาดกลัวในสิ่งต่างๆ อันนี้คือจิตของท่านมีสมาธิและเข้าสมาธิได้ง่าย

แต่การทำสมาธิบางครั้งบางคราวนั้น เราอาจจะไม่สมประสงค์ในการกระทำ คือจิตอาจไม่มีความสงบตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นการสะสมกำลังไว้ เมื่อเวลาเหมาะสมเมื่อใดจิตจะสงบลงเป็นสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อขณะใดที่เกิดความกลัว กลัวจะมีภัยอันตรายเกิดขึ้น จิตของผู้ปฏิบัติ เป็นผู้อบรมอยู่เป็นประจำนั้น จะวิ่งเข้าสู่ความเป็นสมาธิโดยไม่ตั้งใจ

อันนี้เคยมีปรากฏการณ์ให้อาตมาภาพได้ทราบหลายครั้งหลายหน ในชีวิตนี้รถเคยคว่ำถึง 2 หน

ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2520 ไปจังหวัดอุบลฯ กลับมาจะถึงจังหวัดนครราชสีมาอยู่แล้ว ห่างเพียง 10 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น รถคว่ำที่โค้งด่านเกวียน เขตตัวเมืองนครราชสีมา

ขณะที่รู้สึกตัวว่าเกิดอันตราย จิตจะวิ่งเข้าสู่สมาชิกโดยไม่ตั้งใจ ในขณะนั้นรู้สึกตัวว่าตัวเองลอยอยู่บนอากาศบริเวณรอบๆ สว่างไสวไปหมด ทั้งข้างหน้าข้างหลัง

ภายในจิตใจคล้ายๆ กับว่ามันสั่งให้รถหลบเสาซีเมนต์ข้างถนนซึ่งเขาปักไว้เป็นเขตเมื่อมองดูแล้วก็มองเห็นต้นเสาแต่ละต้นคล้ายมันปรากฏ และรถหลบเสาซีเมนต์นั้นไปได้ แต่ต้นสุดท้ายที่รถจะไปปะทะ มันมืดมองไม่เห็นต้นเสา รถก็ไปปะทะต้นเสาซีเมนต์นั้น แล้วหน้าพลิกคว่ำลงไป

คงจะเป็นเพราะเดชะบุญ จิตวิ่งเข้าสู่สมาธิโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นเอง ทำให้อาตมาภาพและทุกคนในรถไม่เป็นอันตราย

ดูสภาพของรถแล้วรู้สึกว่าเสียหายมาก ใครๆ มองแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีใครเหลือสักคนที่นั่งไปในรถ อันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 ที่ผ่านมานี้ครั้งนี้จะไปรับถวายที่ดินที่เขาอุทิศให้สร้างวัด พอไปถึงอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากนางรองประมาณ 13 กิโลเมตร บังเอิญยางแตกทั้งข้างหน้าและข้างหลังพร้อมกัน รถวิ่งลงไปข้างถนน เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะนั้น คล้ายๆ ตนเองลอยขึ้นไปบนอากาศ รู้สึกตัวเองเมื่อรถมันหายกลิ้งแล้ว พอรถหยุดได้ถามว่ามีใครเป็นอะไรบ้างไหม เขาบอกว่าไม่มีอะไรไม่มีใครเจ็บ

เหตุการณ์ทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นคล้ายๆ กัน แปลกตรงที่ว่าไม่ได้ตั้งใจเข้าสมาธิ พอเกิดขึ้นแล้วมันเกิดขึ้นของมันเอง

จึงได้คติมาเตือนใจบรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลายว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พุทโธ ธัมโม สังโฆนี้ระลึกไว้ให้ดี ควรระลึกไว้จนมันเกิดติดนิสัย

บางครั้งมิได้ตั้งใจจะนึก จิตจะนึกขึ้นมาเองว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ บางครั้งเมื่อทำอะไรผิดพลาด แทนที่จะไปนึกอย่างอื่นกลับมานึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ และพูดออกมาโดยมิได้ตั้งใจ

อันนี้ เพราะอาศัยติดจิตกับพุทโธ ธัมโม สังโฆ นั้นเมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นมา จิตมันก็วิ่งเข้าหาพุทโธ ธัมโม สังโฆโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาจะสิ้นใจ ถ้าหากเราไม่ได้สร้างพื้นฐานลมหายใจ ทุกขเวทนาต่างๆ มันจะมารบกวนจะทำให้จิตไขว่คว้าหาที่พึ่ง ถ้าว่าเราไม่นึกถึงอะไรให้มั่นคงไว้สักอย่างหนึ่ง จิตก็จะไม่มีที่ยึด ก็จะไขว่คว้าไปต่างๆ บางทีก็อาจจะไปเกาะสิ่งที่เป็นอบายภูมิ เพราะจิตไม่มีที่พึ่งที่ระลึก จิตนั้นก็จะไปสู่อบายภูมิ เป็นสภาพที่ไม่มีความเจริญ

พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้เป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ แม้จิตใจไม่สงบก็ตามเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ
โดยคุณ ธีรชัย วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 08:11:11

ความเห็นที่ 3 โดยคุณ listener วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 08:40:01
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 4 โดยคุณ ปราโมทย์ วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 09:42:00
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 5 โดยคุณ พัลวัน วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 11:51:39
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 6 โดยคุณ thesky วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 15:13:11
สาธุ  _/|\_
โดยคุณ thesky วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 15:13:11

ความเห็นที่ 7 โดยคุณ tana วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 18:48:29
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 8 โดยคุณ แมน วัน อังคาร ที่ 11 กรกฎาคม 2543 22:55:30
สาธุ ครับ / ค่ะ

ความเห็นที่ 9 โดยคุณ บัวใต้น้ำ วัน พุธ ที่ 12 กรกฎาคม 2543 08:20:31
สาธุ ครับ / ค่ะ

ติดต่อกลุ่มวิมุตติได้ที่ wimutti@hotmail.com