จากหนังสือฐานิยัตเถรวัตถุ หลวงปู่มั่นท่านเปรียบเทียบจิตของคนเราเหมือนกับงูที่นอนอยู่ในโพรง /b ธรรมดางูในเวลาที่มันอิ่มอาหารแล้ว มันจะนอนขดสบายอยู่ในโพรง แต่เมื่อมันเกิดหิวขึ้นมามันจะเลื้อยออกไปเที่ยวจับกินสัตว์เป็นอาหารจนกว่ามันจะดิ่ม ในเมื่อมันอิ่มแล้วมันก็จะยอ้นกลับมาขดอยู่ในโพรงของมันตามเดิม /b นี่เราลองมาวินิจฉัยโอวาทของครูบาอาจารย์ข้อนี้ดู จะได้ความว่าอย่างไร ตามนี้หลวงพ่อได้วิพากษ์วิจารณ์วิจัยดูแล้วจึงได้ความว่า ในการปฏิบัติขณะใดจิตของเราที่มันคิดไปข้างนอก ฟุ้งไปข้างนอกที่เขาเรียกว่าจิตฟุ้งซ่าน มันก็เปรียบเหมือนงูที่หิวอาหาร ในเมื่อมันออกไปรับรู้อารมณ์ภายนอก พารมณ์เป็ฯอาหารของจิต ในเมื่อมันได้รับประทานอาหารของมันอิ่มแล้ว มันก็ย้อนเข้ามานิ่ง นิ่งอยู่ในถ้ำคือหทัยจิต ในท่ามกลางร่างกายนั่นเอง ลักษณะของจิตที่มันเป็นไปก็เปรียบเหมือนงูนั่นแหละ เพราะฉะนั้นในการปฏิบัติ ในเมื่อเรากำหนดจิตบริกรรมภาวนาก็ดี ในช่วงใดที่จิตของเราอยู่ในการควบคุมของเรา คือควบคุมจะให้เขาพิจารณาอะไร นึกถึงอะไร เราตั้งใจ ตั้งใจที่จะพิจารณาหรือนึกถึงสิ่งนั้นๆ ความตั้งใจนี้เป็นภาคปฏิบัติ ความตั้งใจมันถึงช่วยให้จิตสั่งงาน คือมีสมาธิมีสติปัญญาเข้มแข็งขึ้น จิตเขาก็อยากจะเป็นอิสระ เพราะฉะนั้นในบางครั้งเขาจึงนึกถึงอารมณ์อื่นที่เราไม่ได้ตั้งใจจะนึกถึง เพราะเขามีพลังงานพอที่จะหางานหรืออาหารมาป้อนให้กับตัวเองได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้ปฏิบัติก็ควรจะปล่อยให้เขาคิดไปปรุงไป อย่าไปเข้าใจผิดว่าต้องดึงมาหาคำบริกรรมภาวนาอีก ในเมื่อเราปล่อยไป ๆ มีสติกำหนดตามรู้ไป ๆ ถ้าจิตมันจะสงบขึ้นมา จะรู้สึกว่ากายเบาจิตเบา กายสงบจิตสงบ ทีนี้ถ้าหากสมาธิเริ่มจะมีความมั่นคงแข็งแรงขึ้น มันจะเกิดปิติ เกิดความสุข เมื่อเกิดปีติ เกิดความสุข ความคิดที่เชื่องช้าอยู่แต่ก่อนนั้น มันจะเพิ่มความเร็วขึ้น เร็วขึ้น ๆ จนกระทั่งเรารู้สึกแปลกใจ แปลกใจอยู่ตรงที่ว่าเราตั้งใจจะภาวนาให้จิตสงบนิ่ง แล้วทำไมจึงมีความคิดอย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจผิดก็ไปมัวคุมให้มันหยุดนิ่ง หรือให้มันอยู่กับภาวนาของเก่าตามเดิม ถ้าไปทำอย่างนั้นมันก็ต้องย้อนกลับมาเริ่มต้นใหม่
|
|